บทที่ 68 ตระกูลมู่
หนิงเทียนนั้นยกแขนขึ้นมามองไปยังคาบน้ำลายที่เปรอะเปื้อนอยู่หลังแขนเสื้อของมัน สายตาที่เคยเรียบสงบกลับแปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำไปด้วยสีเลือดอย่างน่าประหลาดใจ
เสื้อหนังสัตว์ที่มันสวมอยู่นี้เป็นของมารดาห้าที่ตัดเย็บให้ก่อนที่จะออกเดินทาง แต่ตอนนี้มันกลับเปรอะเปื้อนด้วยน้ำลายของสารเลวนามว่าซินเฉา
คิดออกเช่นนั้นจิตสังหารของหนิงเทียนทะยานขึ้นสูงเสียดฟ้า กดให้ผู้ฝึกตนที่อยู่ในระดับองครักษ์ต้องคุกเข่าราบไปกับพื้นและสำหรับบางคนที่จิตใจไม่เข้มแข็งพวกมันถึงกับอาเจียนออกมาและหายใจอย่างติดขัด
“เสี่ยวซวง ฆ่ามัน ฆ่ามัน”หนิงเทียนคำรามออกด้วยโทสะ จิตสังหารชวนหัวลุกแผ่ขยายออกไปในวงกว้าง
“เอ๋....”จินเหล่าต้ามองไปยังใบหน้าของหนิงเทียนที่ตอนนี้บิดเบี้ยวคล้ายกับปีศาจ มันแทบจะไม่เชื่อสองหูของตัวเอง เมื่อครู่พี่ชายหนิงเอ่ยออกว่า "ฆ่า...."
เมื่อทบทวนความคิดได้เช่นนั้น มันรีบหันกลับไปมองยังซินเฉาทันที แต่ภาพที่ปรากฎเห็นทำให้ดวงตาของมันเบิกกว้างจนแทบจะทะลุออกมากองอยู่บนพื้น
ร่างของซินเฉาเวลานี้ถูกดาบตัดภูผาแยกออกเป็นสองส่วนอย่างโหดร้าย สายโลหิตพุ่งกระจายราวกับแอ่งน้ำพุ มันย้อมพื้นของสมาคมการค้าจ้าวสมุทรให้เต็มไปด้วยเลือด
กลิ่นคราวของโลหิตคละคลุ้งไปทั่วลานประมูล ร่างซีกซ้ายและซีกขวาของซินเฉากระเด็นห่างกันราวๆ1จั้ง
เสี่ยวซวงนั้นทำตามคำสั่งของหนิงเทียนทันที นางนั้นไม่มีความสงสัยอันใดในคำสั่งของหนิงเทียนเลยแม้แต่น้อย และด้วยเหตุนี้ มันจึงรวดเร็วจนแม้แต่ผู้ฝึกตนในแดนวีรชนอย่างจ้าวเทียนไห่ก็ยังไม่ทันได้ขยับตัว
ทุกสายตามองไปยังสตรีที่แต่งกายเป็นบุรุษด้วยความตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีการฆ่าฟันกันเกิดขึ้นบนพื้นที่สมาคมการค้าจ้าวสมุทรแห่งนี้
แม้แต่หยูหยินเองยังกล่าวออกมาด้วยเสียงติดๆขัดๆ “ท่าน...ท่านทำอะไรลงไป”
ซินฉู่เองมองไปยังร่างของบุตรชายมันด้วยสายตาเบิกกว้าง มันนั้นลดการป้องกันลงเพราะว่าที่นี้คือสมาคมการค้าจ้าวสมุทร
มันไม่คาดคิดเลยว่าคนพวกนี้จะกล้าลงมือในที่เช่นนี้ได้ ซินฉู่ได้สลับสายตาไปซ้ายและขวา มันเหลือบมองครึ่งร่างที่แยกออกจากกันของซินเฉา ด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว มันตะโกนออกมาสุดเสียง “ลูกพ่อออออ!!!!”
เวลานี้มันไม่สนใจอีกต่อไปแล้วว่ามันกำลังยืนอยู่บนที่ใด มันพุ่งร่างหมายจะล้างแค้นแทนโดยไม่สนหน้าอินหน้าพรมใดๆ
ซินฉู่โคจรพลังปราณทั่วร่าง มันพุ่งตัวด้วยท่าเท้าเหยียบอากาศที่ฝึกถึงระดับหลอมรวม ภายในเมืองฉางผิง ผู้ที่ฝึกวิชาได้ถึงระดับหลอมรวมนั้นนับได้ด้วยนิ้วมือเพียงข้างเดียวเท่านั้น และตัวมันเองก็เป็นหนึ่งในนิ้วมือข้างนั้น
จากนั้นซินฉู่สะบัดมือเรียกกระบี่สีแดงเข้มออกมา ไอปราณสีขาวอ่อนๆปกคลุมทั่วทั้งกระบี่ จิตสังหารของมันทะยานขึ้นสูง
ขณะที่ร่างของซินฉู่อยู่ห่างจากหนิงเทียนแค่เพียงสามก้าว ดวงตามันนั้นเบิกกว้างราวปีศาจกระหายเลือด ปากของมันขยับพึมพำไม่มีหยุด “ตายตายตายตายตาย”
มันง้างกระบี่สีแดงขึ้นสุดแขนหมายจะตัดศีรษะของหนิงเทียนให้ขาดภายในกระบี่เดียว
เวลาเดียวกันนั้น เสี่ยวซวงที่กำลังขยับร่างไปช่วยหนิงเทียนมันถูกฝ่ามือสีดำจู่โจมจากทางด้านซ้ายทำให้ต้องยกดาบตัดศิลาขึ้นมาป้องกันด้วยสัญชาตญาณ
แต่ถึงอย่างไรเจ้าของฝ่ามือสีดำนั้นก็เป็นถึงยอดยุทธในระดับวีรชน ไม่มีทางที่ผู้ฝึกตนในแดนแห่งปราชญ์จะรับมันได้ตรงๆ เสี่ยวซวงถูกแรงกระแทกจากฝ่ามือสีดำ ซัดกระเด็นถอยหลังออกไปถึงหกก้าว
ไม่ทันแล้ว!! นางได้แต่มองไปยังหนิงเทียนด้วยสายตาที่เปิดกว้างผิดปกติ
กระบี่สีแดงของซินฉู่พุ่งตรงมายังหนิงเทียน มันอยู่ห่างจากลำคอของหนิงเทียนเพียงแค่ไม่กี่ซุนเท่านั้น สีหน้าของหนิงเทียนจริงจังขึ้นมาทันทีปลายนิ้วทั้งห้าของมันคีบขวดยาหลากสีไว้สี่ขวด
ด้วยพลังลมปราณที่ไม่สามารถใช้ออกได้ เวลานี้มันจึงต้องฝากความหวังไว้ที่พิษทั้งสี่ชนิดในมือมันแล้ว
ทันใดนั้นแสงสีทองสาดสว่างไปทั่วลานประมูล ปรากฏร่างชายชราในชุดคลุมสีทองลอยอยู่กลางอากาศประดุจอวตารเทพที่ลงมาจุติ
เพียงแค่กระพริบตาครั้งเดียว ร่างของชายชราในชุดทองมาหยุดยืนอยู่เหนือศีรษะของซินฉู่ จากนั้นมันทิ้งน้ำหนักตัวลงไปยังร่างของซินฉู่
ด้วยน้ำหนักตัวของชายชราคนหนึ่งที่ไม่น่าจะเกิน100จิน(ประมาณ50กิโลกรัม) แต่เมื่อเท้าของชายชราในชุดทองวางไปบนศีรษะของซินฉู่
ทำให้เท้าของซินฉู่ค่อยๆจมลงไปยังพื้นธรณี ศีรษะของซินฉู่ก้มงอ กระดูกคอหักลงมาเรื่อยๆยันถึงกระดูกสันหลังในลักษณะที่ถูกกดทับ
จนกระทั้งร่างของซินฉู่เละเหลวติดไปกับพื้น ซากเนื้อกองใหญ่อยู่ภายใต้ฝ่าเท้าของชายชราผู้นี้ ราวกับว่าถูกบดด้วยเหล็กฉาบแผ่นใหญ่จนร่างแห้งแบนติดไปกับพื้น
เมื่อทุกสายตาได้มองไปยังชายชราในชุดทองอย่างแจ่มชัดมันปรากฏเป็นใบหน้าของหลวนคุน ผู้ดูแลสมาคมการค้าจ้าวสมุทรแห่งนี้
“กฎของสมาคมการค้าจ้าวสมุทร ใครฝ่าฝืนตายสถานเดียว”หลวนคุนกล่าวออกมาด้วยเสียงเย็นพร้อมกับประกายตา ที่คมราวกระบี่มันพร้อมจะตัดทุกอย่างให้ขาดเพียงแค่การมอง
จ้าวเทียนไห่ใบหน้าซีดขาวเมื่อมองไปยังแอ่งเนื้อของซินฉู่ มันรีบดึงฝ่ามือของมันกลับมาไขว้ไว้ด้านหลังโดยเร็ว จากนั้นมันกล่าวด้วยน้ำเสียงติดๆขัดๆ
“ท่านอาวุโสหลวนคุน มันๆเป็นมันที่ลงมือสังหารคนของเราก่อน” มือของจ้าวเทียนไห่ยกชี้ไปยังเสี่ยวซวง
“ตัวข้าแม้จะแก่แล้วก็จริง แต่ดวงตาของข้าก็ยังดีอยู่ ข้านั้นไม่เห็นในสิ่งที่เจ้ากล่าวมาแม้แต่น้อย”หลวนคุนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“แต่นั้นร่างของหลานชายข้า” จ้าวเทียนไห่เลือกที่จะชี้ไปยังร่างของซินเฉาที่ถูกผ่าครึ่งแทน
“ที่ไหน?...ข้าไม่เห็นมีร่างของใครอยู่เลย” หลวนคุนกล่าวออกอย่างเป็นปกติ
ด้วยคำตอบของมันนั้นทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง สายตานับพันนั้นเป็นพยานได้ว่า ซินเฉานั้นถูกคนของหนิงเทียนผ่าร่างจนแยกออกเป็นสองส่วนแล้วเหตุใดอาวุโสหลวนคุนถึงมองไม่เห็นมันได้
แต่อย่างไรก็ตามเมื่อหลวนคุนบอกว่ามองไม่เห็น จะมีใครที่กล้ากล่าวคำใดออกมาได้อีก พวกมันยังจำภาพที่ร่างของซินฉู่ถูกหลวนคุนบนขยี้ให้แหลกเหลวไปกับพื้นได้อย่างติดตา
“ผู้นำจ้าว ข้านั้นขอเตือนอีกครั้ง ห้ามไม่ให้มีการต่อสู้กันในพื้นที่สมาคมจ้าวสมุทรเด็ดขาด”หลวนคุนกล่าวด้วยเสียงปกติ
แต่สำหรับจ้าวเทียนไห่ที่ได้ยินแล้ว มันรู้สึกเยือกเย็นไปทั่วร่างกาย มันพยามอย่างเต็มกำลังที่จะควบคุมขาทั้งสองข้างไม่ให้สั่นออกต่อหน้าผู้คน
“ผู้เยาว์ จะปฎิบัติตาม” จ้าวเทียนไห่กล่าวตอบอย่างยากลำบาก หลวนคุนพยักหน้าให้อย่างเชื่องช้าจากนั้นแรงกดดันอันมหาศาลค่อยๆลดลง
หลวนคุนประกาศออกเสียงดังพร้อมกับชี้ไปยังแอ่งเลือดใต้เท้ามันและร่างทั้งสองซีกของซินเฉา “เอี้ยเซียว เอี้ยหยวนเหตุใดพวกเจ้าถึงปล่อยให้มีเศษ *ซีกวา กองเลอะเทอะอยู่ตรงนี้
ยังไม่รีบเก็บไปให้พ้นสายตาทุกคนอีก? พวกเจ้าชักจะละเลยกับงานมากไปทุกทีแล้ว”กล่าวจบมันเดินจากไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
* ซีกวา แตงโม
หนิงเทียนที่เห็นร่างของสองพ่อลูกตระกูลซินกลายเป็นชิ้นเนื้อและกองเลือดแล้วมันจึงค่อยๆสงบโทสะภายในใจลง พร้อมเดินตามหลังหลวนคุนจากไป
ทิ้งจ้าวเทียนไห่และผู้คนทั่วทั้งลานประมูลมองตามหลังหนิงเทียนด้วยดวงตาเบิกกว้าง พร้อมทั้งคำถามในใจ “มันเป็นใครกันแน่”
“อาจารย์หรือว่ามันจะเกี่ยวข้องกับสมาคมการค้าจ้าวสมทุร”ฉางอวี้เอยถามขณะทีสายตาของมันไม่ได้ละไปจากแผ่นหลังของหนิงเทียนแม้แต่น้อย
“ไม่ ไม่ใช่แน่ๆ อาจจะเป็นเพราะมันนั้นใช้จ่ายเงินในการประมูลไปมากจึงทำให้ผู้อาวุโสหลวนคุนปกป้องมัน และเงินที่มันนำออกมานั้น
มีเหตุผลเดียวที่เป็นไปได้คือมันต้องโชคดีได้พบสุสานของตัวตนระดับราชันย์แน่ๆ”หานเจิงกล่าวตอบกับศิษย์ของมันอย่างไม่เต็มเสียงนัก
ฮุยฟางและหรงจื่อที่มองตามแผ่นหลังหนิงเทียนไปด้วยสายตาที่หรี่แคบ พวกมันตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่ ยุ่งเกี่ยวกับบุคคลอันตรายเช่นนี้อีกต่อไป
หยูหยินเองก็ไม่แพ้กันนางมองไปยังหนิงเทียนด้วยใบหน้าที่ปั่นยากเป็นที่สุด ประวัติศาสตร์นับ1000ปีของสมาคมการค้าจ้าวสมุทรสาขาเมืองฉางผิงไม่เคยมีเหตุการณ์นองเลือดมาก่อน
แต่บัดนี้กลับถูกทำลายโดยเด็กหนุ่มวัย16ปี ซ้ำร้ายอาวุโสหลวนคุนยังแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นอีกด้วย “เบื้องหลังของเขาคงเป็นตัวตนที่ไม่สามารถแตะต้องได้”
คิดได้เช่นนั้นหยูหยิน ระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะประกาศออกตามหน้าที่ “เป็นเพียงการแสดงปาหี่ของทางเราเล็กน้อยเท่านั้น แขกผู้มีเกียรติทุกท่านอย่าได้สนใจเลย มาดูรายการต่อไปของเรากันดีกว่า.....”
ภายในห้องตีราคาสินค้า หนิงเทียนนำแหวนมิติสีทองส่งให้เอี้ยเซียวและกล่าวกำชับว่า “นำสินค้าทั้งหมด ที่ข้าประมูลได้ ใส่ไว้ในนี้ให้หมด
ยกเว้นเพียงแต่เสื้อแพรพรรณรายและปลอกแขนตัดอากาศ ทั้งสองชิ้นนี้ให้เจ้าแยกใส่แหวนมิติไว้อีกสองวง และข้ายังต้องการถอนเงินจำนวน1แสนหยกนิลภายใน7วัน”
“หหหหนึ่ง...หนึ่งแสนหยกนิล”จินเหล่าต้าอุทานออกเสียงดัง
“เอี้ยเซียวจะรีบจัดการในสิ่งที่คุณชายต้องการโดยเร็วที่สุด” เมื่อเอี้ยเซียวเดินจากไป หนิงเทียนนั้นป้องมือทั้งสองขึ้นพร้อมกล่าวออก “ทำให้ผู้อาวุโสต้องลำบากใจแล้ว”
หลวนคุนยิ้มออกอย่างอ่อนโยน “คุณชายท่านหมายถึงเรื่องใด การผ่า*ซีกวา ในสมาคมการค้าจ้าวสมุทรไม่ได้เป็นเรื่องมากมายอันใดนัก”
*ซีกวา แตงโม
หนิงเทียนยกยิ้มขึ้นมา มันไม่ได้กล่าวอันใดออกมาอีก จากนั้นไม่นานนัก หยูหยูก็ได้ก้าวเข้ามา นางโค้งคำนับให้แก่หลวนคุน จากนั้นนางหันไปกล่าวออกแก่หนิงเทียน
“คุณชายหนิง หยูหยูได้รับข้อมูลของตระกูลมู่มาแล้ว ท่านต้องการรับฟังเลยหรือไม่”
“จงกล่าวออกมา ที่แห่งนี้ไม่มีคนนอก”หนิงเทียนกล่าวออกด้วยสีหน้าเรียบเฉย
หยูหยูมองไปยัง เสี่ยวซวงและจินเหล่าต้า นางนั้นลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างออกมา “เอ่อ..คุณชายหนิงเทียน หยูหยูต้องอธิบายก่อนว่า ท่านสามารถนำข่าวที่ซื้อจากทางเราไปบอกต่อผู้คนอื่นสักกี่คนก็เป็นสิทธิ์ของท่าน
แต่ถ้ามีคนร่วมฟังจากปากของพวกเราสมาคมการค้าจ้าวสมุทรแล้วละก็ มูลค่าของมันจะคิดเพิ่มเป็นรายบุคคล ถ้าคุณชายหนิงเทียนยินยอมที่จะจ่ายเพิ่มอีก2หยกนิลละก็....”
หนิงเทียนมองไปยังสตรีในชุดครามด้วยสายตาหดแคบ “ไม่แปลกใจเลยทำไม สมาคมการค้าจ้าวสมุทรถึงมีความมั่งคั่งที่สุดในแดนสวรรค์ แม้กระทั่งสตรีตัวเล็กๆยังมีเขี้ยวที่ลากยาวจนถึงพื้นดินได้เพียงนี้”
คิดได้เช่นนั้นหนิงเทียนจึงกล่าวออก “เจ้าสามารถหักจากบัญชีของข้าได้”
“ขอบพระคุณสำหรับการค้าครั้งนี้เจ้าค่ะ”หยูหยูโค้งร่างอย่างอ่อนช้อยแสดงถึงความเคารพพร้อมกล่าวต่อ
“เรื่องของตระกูลมู่นั้น ต้องย้อนกลับไปเมืองสองปีก่อนในเวลานั้นผู้นำตระกูลเป็น มู่หยุนเจี่ย ตระกูลมู่ในช่วงนั้นตกต่ำอย่างที่สุด
พวกเขาไม่มีอัจฉริยะรุ่นเยาว์แม้แต่คนเดียว อีกทั้งผู้นำตระกูลยังคงเป็นเพียงแดนแห่งปราชญ์ขั้น9เท่านั้น ในขณะที่อีกสองตระกูลที่เหลือผู้นำของพวกมันเป็นยอดยุทธในแดนวีรชนทั้งหมด
ด้วยเหตุนี้ตระกูลชั้นต่ำและชั้นรองที่เคยอยู่ใต้อาณัติบริวารของตระกูลมู่ ได้จับอาวุธรุกขึ้นสู้เพื่อที่จะแยกตัวออก
ส่วนเรื่องที่คุณชายต้องการทราบ เกิดขึ้นที่แม่น้ำฉางยี่ เวลานั้นมู่หยุนเจี่ยได้รับข่าวว่าตระกูลซีและตระกูลฮัว ตระกูลพันธมิตรทั้งสองตกอยู่ในวงล้อมของเหล่าตระกูลกบฎนับสิบ
มันจึงรีบเดินทางไปช่วยเหลือและนั้นก็เป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายของมัน มู่หยุนเจี่ยไม่ได้กลับมาอีก
มันถูกสังหารที่ริมแม่น้ำฉางยี่ ศพของมันปรากฎบาดแผลนับสิบแห่งไม่ว่าจะเป็นแผลจาก เคียวอเวจี หอกทะลวงใจ ฝ่ามือเคลื่อนเมฆา และยังอีกมากมาย
แต่ด้วยทักษะวิชาที่หยูหยูได้เอ่ยออกมานั้น มันไม่สมควรที่จะมีอยู่ในตระกูลชั้นต่ำและชั้นรอง และอีกอย่างเหตุใด........”ก่อนที่หยูหยูจะกล่าวอันใดออกมา
เสียงของหลวนคุนได้ดังขึ้นมาเพื่อเป็นการหยุดคำพูดของหยูหยูลง “หยูหยู หน้าที่ของพวกเรามีเพียงการขายข่าวเท่านั้น
เจ้าอย่าได้ใส่ความคิดของตัวเองลงไปเด็ดขาด”หลวนคุนกล่าวเตือนด้วยสีหน้าอ่อนโยน ราวกับคุณตากำลังดุหลานสาวก็ไม่ปาน
“หยูหยูขออภัย” นางโค้งศีรษะให้แก่หลวนคุนเล็กน้อย
หนิงเทียนมองไปยังหยูหยูด้วยสายตาครุ่นคิด “เจ้ากำลังจะบอกว่า เหตุใดเรื่องใหญ่เช่นนี้ถึงพบศพของมู่หยุนเจี่ยเพียงผู้เดียว?
ซึ่งมันเป็นเรื่องผิดปกติอย่างมาก ไม่มีเหตุผลที่ตระกูลมู่จะปล่อยให้ผู้นำของมันเดินทางไปเสี่ยงอันตรายคนเดียว”
“คุณชายท่านคิดอ่านได้เหนือผู้คนทั่วไปมากนัก น่าอายแล้วที่หยูหยูบังอาจแสดงความคิดเห็นออกมา”
“แต่ข้ามีข้อสงสัย บาดแผลจากฝ่ามือเคลื่อนเมฆาที่ปรากฎบนร่างของมู่หยุนเจี่ย มันเกี่ยวข้องกับนิกายเคลื่อนเมฆาของดาบอัปลักษณ์หรงจื่อ?” ใบหน้าที่เคยเรียบเฉยของหนิงเทียนปรากฎท่าทีครุ่นคิดอย่างหนัก
“หยูหยูสามารถตอบคุณชายได้เพียงว่า ฝ่ามือเคลื่อนเมฆาเป็นทักษะหลักของนิกายเคลื่อนเมฆาและใน3เมืองใหญ่ 12เมืองย่อย ไม่มีผู้ใดสามารถใช้ทักษะวิชานี้ได้”
หนิงเทียนพยักหน้าอย่างช้าๆ “เรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆอย่างที่เคยคิด”
หยูหยูยิ้มออกเล็กน้อยและกล่าวถึงตระกูลมู่ต่อ “เวลานี้ผู้นำตระกูลมู่ คือมู่ซวนเฟิง1ใน10ยอดยุทธแดนวีรชน มันเป็นถึงขั้นที่5ในแดนวีรชนด้วยความสามารถบ่มเพาะที่รวดเร็วจนน่าตกตะลึง
เพียงเวลาแค่2ปีเท่านั้นมันก้าวหน้าจนเทียบได้กับผู้นำตระกูลจ้าวและซาง มันมีบุตรสาว3คนและบุตรชายบุญธรรมอีก1คน
บุตรสาวคนโตของมันนับได้ว่าเป็นอัจฉริยะในกระดานเหล็กหยินหยาง นางจึงได้ร่ำเรียนอยู่ในสำนักเทพหยินหยาง และบุตรชายบุญธรรมของมันมีพรสวรรค์ถึง4แก่นแท้ จนถูกนิกายหอกโลหิตนำตัวไปดูแล
ที่ยังเหลืออยู่ภายในตระกูลเห็นจะมีเพียง3คนเท่านั้น ได้แก่คุณหนูสาม มู่หยู่ คุณหนูสี่ มู่เฉียนและบุตรสาวของผู้นำคนเก่าอย่างคุณหนูใหญ่มู่เสวี่ยเท่านั้น
ยังมีอีกเรื่องสำคัญที่คุณชายหนิวควรรู้ไว้ มันมีคำเล่าลือกันอย่างหนาหูว่าผู้อาวุโสหลักในรุ่นของผู้นำมู่หยุนเจี่ยยังคงมีชีวิตและเก็บตัวอยู่ภายในตระกูลมู่”
กล่าวจบเช่นนี้นางยอเข่าลงเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อ “คุณชายหนิง หยูหยูได้เล่าข่าวสารที่คุณชายต้องการไปเรียบร้อยแล้วทางเราจะขอหักเงิน3หยกนิลจากบัญชีของคุณชายเลยนะเจ้าค่ะ”