บทที่ 67 คฤหาสน์ซื่อจิ้ง 2
“46หยกนิล”เสียงลึกล้ำแห้งแหบดังมาจากผู้คนในสมาพันธ์ลัทธิเต๋า
“50หยกนิล” ฮุยฟางกล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ มันมั่นใจในความมั่งคั่งสองร้อยปีของนิกายมันมาก มันประกาศเกล้าออกอย่างยโส “คฤหาสน์ซื่อจิ้งนี้จะต้องเป็นของนิกายกระบี่เทวดาแน่นอน”
“55หยกนิล ฮุยฟางเจ้ากำลังฝันกลางวัน?” หรงจื่อกล่าวพร้อมเสนอราคาขึ้นสูง
“60หยกนิล” หนิงเทียนกล่าวแทรก
“65หยกนิล” หานเจิงหัวเราะออกมันกล่าวด้วยน้ำเสียงเหย่อหยิง “ถ้าไม่ถึง100หยกนิลอย่าหวังเลยว่าข้าจะยอม”
“ไม่มีปัญหา เท่าไรเท่ากัน 70หยกนิล”หรงจื่อกล่าวต่อ
“72หยกนิล” หมูตึกลมดำของเราต้องการย้ายมาอยู่ในเมืองฉางผิง ฉะนั้นพวกเราจะไม่ยอมพลาดมันเด็ดขาด
ราคาของคฤหาสน์ซื่อจิ้งนั้นสูงมากขึ้นเป็นหลายเท่าตัว แม้แต่หนิงเทียนเองยังอดแปลกใจไม่ได้ที่การเสนอราคาดำเนินมาถึงขนาดนี้
เดิมทีหนิงเทียนคิดเพียงว่าการจะบดขยี้กลุ่มคนเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องยาก แต่มันไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่า นี้เป็นการประมูลที่ต้องต่อสู้กับความมั่งคั่งนับร้อยๆปีของนิกายใหญ่ทั้งนิกาย
หนิงเทียนหวนคิดถึงรอยยิ้มของเอี้ยเซียวครั้งที่มันกล่าวออกว่าต้องการคฤหาสน์ซื่อจิ้ง เวลานี้มันรับรู้ความหมายของรอยยิ้มนั้นทันที
‘ข้ายังคงอ่อนต่อโลกใบนี้เกินไปนัก ถ้าไม่ได้โชคดีที่พ่อรองให้ป้ายเหล็กนิลกาลมา การที่จะได้คฤหาสน์ซื่อจิ้งมาครอบครองนั้นนับว่าเป็นความฝันลมๆแล้งๆเท่านั้น’
คิดได้เช่นนั้นมันระบายลมหายใจออกมาให้แก่ตัวเองก่อนจะกล่าวออกเสียงดัง “80หยกนิล”
“ไอเด็กเลวนั้น มันมีเงินในตัวมากมายเพียงไหนกันแน่”ซินฉู่อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา ขณะเดียวกันจ้าวเทียนไห่ส่งเสียงรอดลายฟันออกมา “81หยกนิล”
“82หยกนิล”ฮุยฟางตามมาติดๆ
“84หยกนิล” มันต้องเป็นของพวกเราหมู่ตึกลมดำ
“90หยกนิล”หรงจื่อสู้ไม่ถอย
จากเดิมที่มีตระกูลใหญ่และนิกายชั้นสูงเข้าร่วมประมูลนั้นเวลานี้มันเหลือเพียงแค่ นิกายกระบี่เทวดาของฮุยฟาง นิกายเคลื่อนเมฆาของหรงจื่อ เจ้าเมืองฉางผิง ตระกูลจ้าวและหมู่ตึกลมดำ เพียง5ขั้วอำนาจเท่านั้น
“100หยกนิล” หนิงเทียนกล่าวออกพร้อมกับยกจอกสุราเข้าปากอย่างไม่สนใจ
“เจ้าเด็กตระกูลซือหม่านั้น ต้องเมาสุราในมือของมันแน่ๆถึงได้กล่าวเสนอราคาอย่างไม่คิดเช่นนี้”
“ด้วยความมั่งคั่งขนาดนี้ ข้าเกรงว่าเมืองฉางผิงเราจะเกิดตระกูลใหญ่ที่4ขึ้นมาอย่างแน่นอน”
ใบหน้าของจ้าวเทียนไห่ปรากฏเจตนาฆ่าอย่างชัดเจน มันสร้างความหวาดกลัวให้แก่ผู้คนที่ได้มองไปยังใบหน้าของมันเป็นอย่างมาก
ขณะเดียวกัน ฮุยฟางและหรงจื่อเริ่มจะมองหนิงเทียนใหม่อีกครั้งมันไม่รู้ว่าเบื้องหลังใดกันแน่ที่ทำให้เด็กนี้มีทรัพย์สินมากมายเพียงนี้และด้วยเหตุนี้พวกมันทั้งคู่นั้นฉลาดพอที่จะเลือก ไม่ตอแยหนิงเทียนอีกต่อไป
ซึ่งมันต่างจากความคิดของจ้าวเทียนไห่โดยสิ้นเชิง
แม้ฮุยฟางจะขึ้นออกเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรคฤหาสน์ซื่อจิ้งนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะยอมกันได้ง่ายๆ “110หยกนิล”ฮุยฟางกล่าวออกขณะสูดหายใจเข้าลึก
“120หยกนิล”หานเจิงคำรามออกด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนสีไป
“140หยกนิล”หมู่ตึกลมดำของเราคงต้องยอมแพ้ถ้ามีใครให้มากกว่านี้
“ถ้าเช่นนั้นก็รีบไสหัวไป” หรงจื่อกล่าวอย่างถือดี “150หยกนิล”
“นายน้อยหรงจื่อ คฤหาสน์นั้นตระกูลจ้าวของเราต้องการมันมาก ถ้านายน้อยยอมหลีกทางให้แก่พวกเรา ตระกูลจ้าวจะซาบซึ้งในน้ำใจเป็นอย่างสูง 160หยกนิล”
จ้าวเทียนไห่กล่าวออกอย่างยากลำบาก มันไม่คิดมาก่อนว่ามูลค่าของคฤหาสน์นั้นจะสูงถึงเพียงนี้
ด้วย160หยกนิลที่มันกล่าวออกไปนั้น คลังสมบัติของตระกูลจ้าวนับ100ปีที่สะสมมาคงจะต้องว่างเปล่าแล้ว
“นิกายเคลื่อนเมฆาของเราแม้จะเห็นมันเป็นสมบัติสำคัญแต่มันไม่สมควรมีราคาเกินกว่า 190หยกนิล ถ้าผู้นำจ้าวให้ราคามากกว่าพวกเรา ข้าจะยอมแพ้แต่โดยดี”มาถึงเวลานี้ความหยิ่งผยองของหรงจื่อลดลงอย่างมาก
“200หยกนิล” หนิงเทียนตะโกนออกทันที ในกลุ่มคนที่กำลังประมูลอยู่นี้เห็นทีจะมีแต่น้ำเสียงของหนิงเทียนเท่านั้นที่ไม่แปรเปลี่ยนความรู้สึกแม้แต่น้อยตั้งแต่ต้นจนจบ
“เจ้าเด็กนั้นรวยมาก บัดซบ!!!ที่เจ้าโง่ฉางอวี้กล่าวออกมานั้นเห็นได้ชัดว่ามันมีเจตนาให้พวกเราไปยั่วยุตัวตนอันตรายเช่นนั้น
เร็ว!! รีบส่งข่าวบอกแก่ท่านพ่อ คฤหาสน์ซื่อจิ้งนั้นเกินเพดานราคาที่ท่านมอบหมายมาแล้ว”ฮุยฟางกล่าวออกกับคนรับใช้ของมัน
“พี่ชายหนิงเทียน มัน....มันมาถึง200หยกนิลแล้ว”จินเหล่าต้ามองไปยังลานประมูลด้วยสายตาเบิกกว้าง
หนิงเทียนพยักหน้าแก่จินเหล่าต้า “ข้าต้องการมันเพื่อเหตุผลบางประการ”
การประมูลเดินทางมาถึง200หยกนิลเวลานี้เหลือเพียงแต่ หานเจิง หนิงเทียนและจ้าวเทียนไห่เท่านั้นที่จะคงกล่าวราคาสู้ต่อ
เวลานี้ ฮุยฟางและหรงจื่อได้ปิดม่านห้องส่วนตัวของพวกมันลงแล้ว มันทั้งสองได้ยอมรับความพ่ายแพ้และไม่กล่าวสู้ราคาอีกต่อไป
“บัดซบ!! บัดซบ!!” จ้าวเทียนไห่ทุบโต๊ะเสียงดัง ดวงตาทั้งสองของมันแดงก่ำเป็นสีเลือด มันตัดสินใจที่จะทุ้มทุกสิ่งที่อย่างที่มันมีไปกับการเปล่งเสียงออกครั้งนี้ “250หยกนิล”
เวลานี้หานเจิงเองก็หายใจหอบเข้าลึก แม้เจ้าเมืองฉางผิงจะร่ำรวยแต่ทรัพย์สมบัติตลอด30ปีมานี้มันเหลือเพียง300หยกนิลเท่านั้น
เมื่อคิดได้เช่นนั้นมันต้องการจะเสนอราคาขึ้นสู้กับจ้าวเทียนไห่ แต่ขณะที่มันกำลังจะกล่าวออกด้วยราคา 300หยกนิลอันเป็นทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มันได้รับมอบหมายมานั้น
จู่ๆเสียงดังแทรกมาจากห้องส่วนตัวหมายเลข4 จนทำให้มันต้องกลืนคำพูดทั้งหมดลงคอไป
“500หยกนิล”หนิงเทียนตะโกนออกมาเสียงดัง
ได้ยินเช่นนั้นหานเจิงจำใจต้องยอมรับความพ่ายแพ้ มันโกรธจนหูทั้งสองข้างแดงราวกับลูกตำลึง ฟันบนและล่างขบกันแน่นราวกับจะกัดมันให้แตกละเอียด
มันกล่าวออกด้วยเสียงที่รอดลายฟันออกมา “ถ้าข้าไม่ได้สังหารเจ้าเด็กนี้ด้วยตัวเอง ข้าไม่ขอเป็นคน”
หยูหยินนั้น ยกยิ้มขึ้นอย่างเปี่ยมสุข นางไม่สนใจว่าใครจะยั่วยุใครหรือใครจะสร้างศัตรูกับใคร ที่นางสนใจทั้งหมดมีเพียงราคาของมันเท่านั้น
500หยกนิลเพียงของชิ้นเดียวก็สร้างกำไรได้เท่ากับรายได้ประจำปีของสมาคมการค้าจ้าวสมุทรสาขาเมืองฉางผิงของนางแล้ว
“500หยกนิลครั้งที่หนึ่ง .....สอง....และ500หยกนิลครั้งที่3 คฤหาสน์ซื่อจิ้งตกเป็นของคุณชายผู้สูงศักดิ์หนิงเทียนเจ้าค่ะ” นางกล่าวออกด้วยเสียงเปี่ยมสุขยิ่งฟังยิ่งไพเราะไปถึงก้นบึ้งของจิตใจ
“สุดยอดจริงๆเป็นการต่อสู้กับด้วยเหรียญทองมหาศาลขนาดนี้”
“เจ้าบ้าหรือเปล่า!! มันเป็นการบดขยี้กันด้วยหยกนิลต่างหาก”
“ต่อไปนี้ข้าคงต้องระวังไม่ไปยั่วยุตระกูลซื่อหม่าเสียแล้ว”
“ข้าอยากรู้ว่า เจ้าเด็กหนิงเทียนจะออกจากที่นี้โดยปลอดภัยได้หรือไม่ มันนั้นถือสมบัติมหาศาลเช่นนี้ไว้กับตัว”
“ไม่ต้องห่วง สมาคมการค้าจ้าวสมุทรนั้น จะส่งแขกผู้มีเกียรติของมันให้ถึงที่หมายโดยปลอดภัย”
เสียงของผู้ฝึกตนทั้งหลายต่างชื่นชมและวิจารณ์ถึงการประมูลรอบนี้ด้วยเสียงดังที่แทรกกันพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“แม้คฤหาสน์ซื่อจิ้งจะถูกขายไปแล้ว แต่สมาคมการค้าจ้าวสมุทรของเรายังมีสมบัติมากมายนับสิบชิ้น พวกเรามาประมูลกันต่อไปเถอะ สินค้าชิ้นต่อไปนั้นเป็นทักษะระดับปราชญ์ขั้นต่ำ”หยูหยินยังคงกล่าวออกตามหน้าที่
สำหรับหนิงเทียนแล้วการประมูลต่อๆไปนั้นไม่มีความหมายสำหรับมันอีกต่อไป มันได้ในสิ่งที่ต้องการมากเกินพอ หนิงเทียนลุกขึ้นพร้อมกล่าวออก “กลับกันเถอะ”
จินเหล่าต้านั่งด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่สายตาของมันจับจ้องไปยังหยูหยินอย่างไม่ละสายตา “พี่ชายท่านไม่ต้องการประมูลต่อหรือยังเหลืออีกหลายรายการเลยนะ”
“ถ้าเจ้าต้องการมองแม่นางหยูหยินต่อละก็ข้าจะไม่บังคับ”หนิงเทียนกล่าวอย่างไม่สนใจพร้อมเดินออกจากห้อง
“รอก่อนพี่ชายหนิง”จินเหล่าต้ารีบลุกขึ้นพร้อมทั้งเดินตามออกไป
ทั้งสามเดินออกจากห้องและกำลังมุ่งหน้าไปชำระเงินค่าสินค้าประมูล แต่ในระหว่างทางนั้น กลุ่มของจ้าวเทียนไห่ได้เดินตรงมายังพวกของหนิงเทียนด้วยใบหน้าเกรี้ยวกราด
“เจ้าชื่อหนิงเทียน? ข้าขอเชิญเจ้ากลับไปเป็นแขกของตระกูลจ้าวเราหน่อยได้หรือไม่” เด็กหนุ่มข้างกายสองคนที่จ้าวเทียนไห่นำมาเป็นผู้กล่าวออก
หนิงเทียนมองไปยังชายฉกรรจ์ทั้งคู่ที่ยืนอยู่ด้านหน้าของจ้าวเทียนไห่ด้วยมุมปากที่ยกยิ้มพร้อมกล่าวออก “ถ้าพวกเจ้าไม่กล้าลงมือภายในสมาคมการค้าจ้าวสมุทรแล้ว ก็อย่าได้ขวางทางข้า”
ซินฉู่กล่าวด้วยน้ำเสียงดุร้าย “เมื่อไหร่ที่เท้าของเจ้าเหยียบออกนอกสมาคมการค้าเจ้าสมุทร วันนั้นจะเป็นวันตายของเจ้า”
ที่ทางเดินลงไปชั้นล่างของลานประมูล ผู้ฝึกตนมากมายกำลังเบียดเสียดกันอยู่บนราวบันไดอย่างเนื่องแน่น ผู้คนต่างร้องตะโกนเสนอราคาสินค้ากันโดยไม่สนใจรอบข้าง แต่ก็ยังมีบางคนที่สังเกตเห็นเรื่องผิดปกติที่เกิดขึ้น
“นั้น!!! เหมือนจะมีเรื่องกันแล้ว”เสียงของผู้ฝึกคนหนึ่งกล่าวออกเสียงดังพร้อมทั้งยกนิ้วชี้ไปยังกลุ่มของหนิงเทียน ดึงดูดให้ผู้คนรอบข้างๆหันไปมองเป็นสายตาเดียวกัน
“คงไม่ใช่แน่ ไม่มีใครกล้าก่อเรื่องบนพื้นที่สมาคมการค้าจ้าวสมุทรหรอก”ผู้ฝึกตนอีกคนกล่าวออกขณะมองตามเส้นทางของนิ้วมือไป
ฝูงชนจำนวนมากมองไปยังหนิงเทียนที่ยืนอยู่ตรงทางเดินเข้าห้องตีราคา ร่างกายของหนิงเทียนนั้นเออล้นด้วยจิตสังหารที่ปกคลุมอยู่ทั่วร่าง ชวนให้ผู้ที่ได้มองนั้นบังเกิดอาการขนลุก วิงเวียนขึ้นมาในทันที
เวลานี้หนิงเทียนยืนอยู่ด้วยท่าทีเฉยชา ดวงตาของที่คมกริบดุจกระบี่ได้มองไปยังใบหน้าของซินเฉา พร้อมทั้งกล่าวออกด้วยเสียงเย็น “ไม่ใช่ว่าข้าได้เอ่ยเตือนเจ้าไปแล้ว?”
“เพียงแค่เจ้าบอก แล้วข้าต้องทำตามอย่างนั้น? ข้าซินเฉาเติบโตบนพื้นทวีปฟ้าสวรรค์ ข้านั้นวิ่งเล่นในเมืองฉางผิงมาตั้งแต่เล็กจนโต ไม่มีที่ใดในเมืองนี้ที่ข้าไม่สามารถเหยียบได้ ต่อหน้าเจ้าก็ไม่เว้นเช่นกัน”
ซินเฉากล่าวยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงถือดี แม้ว่าเวลานี้มันจะเหลือเพียงแขนข้างเดียวก็ตาม
หนิงเทียนหรี่ตาแคบลงพร้อมกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเงียบสงบ“บางครั้งคนเราก็ไม่รักในชีวิตของมันเอง”
ซินฉู่คำรามออกพร้อมกับก้าวมาหยุดยืนจับจ้องใบหน้าของหนิงเทียน และกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงดุดัน “สารเลวน้อยหนิงเทียน เจ้าหยุดทำตัวหยิ่งผยองและใช้คำพูดโอ้อวดเสียที วันนี้ข้าอยู่ที่นี้ ไม่มีใครสามารถทำร้ายลูกชายข้าได้แม้ปลายเล็บ”
มันยังคงกล่าวต่อ“แขนของบุตรชายข้า มีค่ามากกว่าศีรษะของเจ้าอย่างสุดประมาณ ตั้งแต่ที่เจ้าตัดสินใจตัดแขนบุตรชายข้าออกไปแล้ว นั้นก็เท่ากับเจ้าตัดศีรษะของตัวเองไปพร้อมกันด้วย”
จ้าวเทียนไห่พยักหน้าเห็นด้วยพร้อมกล่าวเสริม “เรื่องนี้ตระกูลจ้าวของเราก็อยู่ในเหตุการณ์
ถ้าบุตรชายข้าไม่มีความสามารถหลบหนีออกมาได้เกรงว่าจะถูกเจ้าและหญิงแพศยาสังหารไปแล้ว เรื่องที่เหลาชิงเยี่ยนนั้นข้าจะไม่ยอมปล่อยผ่านไปเด็ดขาด”
“ไม่มีบิดาคนใดไม่รักบุตร พวกเจ้าทำถูกต้องแล้ว แต่ข้าขอเตือนไว้อย่างหนึ่ง อย่าได้ยั่วยุข้า ในวันนี้ข้านั้นอารมณ์ดี ฉะนั้นข้าจะมองผ่านไป”
กล่าวจบหนิงเทียนก้าวเดินแทรกกลางระหว่างพวกมันไปอย่างไม่สนใจ จินเหล่าต้าและเสี่ยวซวงเองก็ยังคงเดินตามไปอย่างว่าง่าย
ขณะที่พวกมันกำลังเดินจากไปนั้นเด็กหนุ่มที่มากับจ้าวเทียนไห่ได้ยืนขวางปิดทางเดินของพวกหนิงเทียนไว้ “สารเลว ใครอนุญาตให้เจ้าไป”
หนิงเทียนขยับมุมปากเผยรอยยิ้มออกมามันยังคงกล่าวอย่างตลกขบขัน “นับว่าพวกเจ้าทั้งสองมีความกล้าที่จะก่อเรื่องในสมาคมการค้าจ้าวสมุทร แต่ว่าจะขวางทางข้านั้นเพียงลูกสุนัขสองตัวเกรงว่าจะไม่พอ”
ผู้ฝึกตนโดยรอบที่ได้ยินและยืนมองเหตุการณ์นั้นบังเกิดความตื่นตะลึงขึ้นภายในใจ “เจ้าเด็กนี้ต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ มันคิดว่าสมาคมการค้าจ้าวสมุทรปกป้องมันได้ตลอดเวลาหรืออย่างไร”
ไม่มีใครคาดคิดว่านอกจากหนิงเทียนจะร่ำรวยผิดปกติแล้วสมองของมันยังคงผิดปกติอีกด้วย มันควรที่จะรู้ว่าบุคคลที่กำลังยืนล้อมมันอยู่ หนึ่งในนั้นเป็นยอดยุทธในระดับวีรชนอีกคนก็เป็นถึงแดนแห่งปราชญ์ขั้นที่9
ด้วยตัวตนของทั้งคู่นั้น เพียงพอแล้วที่จะทำให้บุคคลคนหนึ่งหายไปจากเมืองฉางผิงอย่างไม่เหลือร่องลอย
จินเหล่าต้าที่ยืนอยู่ข้างๆนั้นไม่ได้มีความรู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย มันกลับรู้สึกชื่นชมในตัวหนิงเทียนมากขึ้นไปอีก ภายในใจของมันคิดออกเสียงดัง ‘ถ้าข้าติดตามคนๆนี้ วันหนึ่งข้าจะได้ยืนอยู่หน้าประวัติศาสตร์ของทวีปฟ้าสวรรค์เป็นแน่’
ขณะที่ใบหน้าของเสี่ยวซวงยังคงไร้ความรู้สึกเช่นเดิม ไม่มีใครรู้ล่วงว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ มีเพียงอย่างเดียวที่เปลี่ยนไป คือดาบตัดศิลานั้นปรากฏอยู่ในมือของนางเรียบร้อยแล้ว
“นั้น!! พวกเขากำลังจะต่อสู้กัน”
“วันนี้นอกจากได้ดูการประมูลแล้วยังจะได้ดูการต่อสู้อีกหรือ?”
หยูหยินที่กำลังทำหน้าที่ของตัวมันเองอยู่นั้นถึงกับหยุดชะงักลงพร้อมทั้งมองไปยังกลุ่มของหนิงเทียน นางกล่าวประกาศออกด้วยเสียงเคร่งเครียด
“สมาคมการค้าจ้าวสมุทรได้เตือนพวกท่านแล้ว ถ้าผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่เคารพกฎ มันผู้นั้นจะถือว่าเป็นศัตรูของท่านราชันจ้าวสมุทร” หยูหยินนั้นยกตัวตนของจักรพรรดิขึ้นหมายจะยุติการวิวาทครั้งนี้
แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ได้ผลดียิ่ง เมื่อทั้งสองได้ยินถึงชื่อของ ราชันจ้าวสมุทร จ้าวเทียนไห่และซินฉู่เกิดอาการตัวเย็นด้วยความหวาดกลัวขึ้นมาทันที
ซินฉู่กล่าวออกอย่างจนใจ“ถือว่าเจ้าโชคดี ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะหดหัวอยู่ในที่แห่งนี้ได้ตลอดเวลา”
หนิงเทียนเผยรอยยิ้มอันเย็นชา “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ไม่ใช่ข้าที่โชคดีแต่เป็นเจ้าต่างหาก”
“โอหังสิ้นดี”ซินฉู่กัดฟันแน่ด้วยความโกรธ
หนิงเทียนไม่คิดจะสนใจในคำพูดของคนพวกอีกต่อไปดังคำที่ว่า หมาเห่ามักไม่กัด มันเพียงแต่เดินจากไปอย่างเงียบๆ
ขณะที่จินเหล่าต้ากำลังเดินตามหนิงเทียนไป มันได้เดินผ่าหน้าของซินเฉา จากนั้นมันระบายลมหายใจออกมา พลางยกมือซ้ายไปตบที่บ่าของซินเฉา
“อันดับ3 ข้าอันดับ2เสียใจเรื่องแขนด้วยจริงๆ” กล่าวจบมันพยามกลั่นหัวเราะพร้อมเดินจากไป
ได้ยินเช่นนั้นโทสะของซินเฉาทะยานขึ้นสูงสุด มันไม่สามารถทำอะไรได้ในสถานที่แห่งนี้
มีเพียงการกระทำเดียวเท่านั้นที่จะระบายโทสะของมันออกได้“ถุย!!!” มันพ่นน้ำลายของมันออกใส่จินเหล่าต้าด้วยความโมโห
จินเหล่าต้าที่เห็นเช่นนั้นมันบิดร่างเล็กน้อยหลบน้ำลายที่พ่นออกมาจากปากซินเฉาโดยเร็ว
แปะ!! น้ำลายที่พ่นออกมานั้นผ่านร่างของจินเหล่าต้าไปตกกระทบกับด้านหลังแขนเสื้อของหนิงเทียนอย่างจัง