ตอนที่47 ออกเดินทางและการลอบสังหาร
ตอนที่47 ออกเดินทางและการลอบสังหาร
“ข้ามีความสุขมากเลย!”
จวิ๋นอี้กล่าวขึ้น
“ตัวการทั้งหมดที่ทำให้ท่านแม่ตาย สุดท้ายก็ได้รับกรรมอย่างสาสม”
“แต่ข้าเองก็รู้สึกกังวลหมดเหมือนกัน”
“ทั้งพี่รั่วทั้งพี่ฉีเองก็ต้องกำพร้าแม่เหมือนข้า…”
หลี่หวงดึงจวิ๋นอี้เข้ามากอดอยู่ข้างฟูกนอนในอ้อมแขน พลางกล่าวปลอบใจไปว่า
“แต่เจ้ายังมีข้าอยู่”
“อืม! ข้ายังมีพี่หลี่หวงอยู่!”
“พี่หลี่หวง...พี่จะทิ้งข้าไปอีกคนไหม?”
“ไม่แน่นอน”
……….
งานแต่งงานของจวิ๋นจ้านจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย ไม่มีพิธีรีตองอะไรมากมายซับซ้อน งานเลี้ยงภายในจวนเชิญชวนแค่เพียงญาติสนิทมิตรสหายวงในเท่านั้น
ซึ่งภรรยาใหม่ของจวิ๋นจ้าน ว่ากันว่าเป็นคุณหนูแห่งตระกูลบัณฑิต เป็นสตรีผู้มีคุณธรรมสูงส่ง
งานเลี้ยงในคืนนั้น หลี่หวงไม่ได้เดินทางเข้าร่วมงาน อ้างเพียงว่าอาการป่วยยังไม่หายดี จำเป็นต้องนอนพักรักษาตัวตลอดหลายวัน
อย่างไรก็ตาม ฮูหยินคนใหม่แห่งจวนตระกูลจวิ๋นก็ยังเดินทางมาเยี่ยมหลี่หวงถึงเรือนวายุสงบ เพื่อทำความรู้จักและพูดคุยตามภาษาสตรี และหลังจากที่ได้คุยกันหลี่หวงก็รู้สึกได้ว่า นางคนนี้หาใช่คนธรรมดาไม่
หลี่หวงพูดคุยกับอีกฝ่ายเป็นมารยาทไม่กี่คำ และมองข้ามไม่สนใจคำกล่าวประจบสอพอของนางเลยสักนิด ก่อนจะเชิญออกไป
นางไม่ชอบผู้หญิงเช่นนี้เลย
ดูเหมือนว่าจวนตระกูลจวิ๋นจะสงบสุขได้ไม่นาน อีกสักพักคงมีปัญหาถาโถมเข้ามาอีกในไม่ช้า
แต่จะยังไง เรื่องราวหลังจากนี้มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับหลี่หวงอีกต่อไปแล้ว เพราะทางประมุขตระกูลสาขาหลักส่งสาสน์นกพิราบมาแจ้งให้จวิ๋นหลี่จิวเดินทางกลับเมืองหลวงโดยด่วน
ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม จวิ๋นหลี่จิวและพรรคพวกเดินนทางได้กล่าวคำอำลากับทุกคนในจวนตระกูลจวิ๋นอย่างเป็นทางการ และจากเมืองหงเฟิงมุ่งหน้าไปสู่เมืองหลวงทางตอนใต้
เนื่องจากโดนจวิ๋นหลี่จิวตื้อไม่หยุดหย่อน หลี่หวงจึงต้องจำใจนั่งรถม้าชมทิวทัศน์แทนที่จะได้ขี่ม้าอารักขาอยู่หน้าขบวน
บางครั้งบางที ขบวนเดินทางจำเป็นต้องพักผ่อนเป็นระยะให้ม้าเติมแรง ค้างแรมข้างทางอยู่หลายวัน จนในที่สุดสี่วันต่อมา พวกนางก็เดินทางผ่านเข้าเมืองราชาภูต!
รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปในตัวเมือง หลี่หวงชะโงกหน้าเปิดผ้าม่านขึ้นแช่มมองสองข้างทางด้วยความตื่นเต้น
“พี่จิว เมืองราชาภูตแห่งนี้ช่างงดงามยิ่งนัก”
หลี่หวงเอ่ยปากขึ้นชมเชย
นี่หาใช่เรื่องโกหกไม่ เรือนอาคารทุกหลังภายในเมืองราชาภูตแห่งนี้ รวมไปถึงกำแพงรอบนอกทั้งหมดล้วนทำมาจากหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์!
เรียบเนียนงดงามสะอาดดั่งงาช้างสีขาว มองปราดเดียวช่างรู้สึกรื่นรมย์โดยแท้
“เมืองราชาภูตเป็นเมืองใหญ่อันดับสองรองจากเมืองหลวงแห่งทวีปม่านเมฆา มีหรือจะไม่งดงาม!”
จวิ๋นหลี่จิวหัวเราะคิดคัก
เมืองราชาภูตแห่งนี้มิใช่มีดีแค่คาวมสวยงามเท่านั้น แต่ยังเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ผู้คนพลุกพล่านเต็มทั่วท้องถนน เจริญกว่าเมืองหงเฟิงไม่รู้เท่าไหร่
“พี่หลี่หวง ภายนอกดูคึกคักมากเลยกระมัง?”
จวิ๋นอี้ที่ได้ยินเสียงฝีเท้าและบทสนทนาของผู้คนต่างๆ นาๆ ด้านนอก ก็เผยรอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นมาเสียนานออกมา
“ใช่ ภายนอกคึกคักมากเลย!”
หลี่หวงพยักหน้าตอบ
ไม่นานรถม้าก็หยุดลง ณ หน้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง จวิ๋นหลี่จิวประคองจวิ๋นหลี่หวงและจวิ๋นอี้ลงมาจากรถม้า ก่อนจะเดินเข้าโรงเตี๊ยมไปด้วยกัน
“เสี่ยวเอ๋อ! จองสามห้อง!”
“ขอรับคุณชาย เชิญทางนี้เลยขอรับ!”
เสี่ยวเอ๋อเด็กรับใช้ของโรงเตี๊ยมดังกล่าวรีบวิ่งมาต้อนรับด้วยสีหน้าท่าทางกระตือรือร้น เขารีบผายมือเชิญทั้งสามขึ้นไปชั้นบนทันที
หลี่หวงมองสำรวจโดยรอบ ก็รู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่ง!
“ที่นี่ดูไม่เลวเลย!”
หลี่หวงเอ่ยปากชมเชยขึ้นคำหนึ่ง
“แน่นอน! ระดับข้าเลือกซะอย่าง!”
จวิ๋นหลี่จิวยกมือขึ้นมาทุบอกตัวเองเบาๆ เผยสีหน้าอันสุดแสนจะภาคภูมิใจ
“บรรยากาศน่าจะดี พินิจได้จากกลิ่นน้ำหอมที่ใช้”
จวิ๋นอี้เน้นจับสัมผัสจากทางจมูก พอได้กลิ่นหอมของที่แห่งนี้ก็เอ่ยปากชมเช่นกัน
โรงเตี๊ยมแห่งนี้ค่อนข้างดีมาก ทั้งในด้านสภาพแวดล้อมที่สะอาดเป็นสุขลักษณะ และกลิ่นภายในนี้ยังค่อนข้างหอมเหมือนที่จวิ๋นอี้กล่าวไว้ไม่มีผิด ทำให้ทั้งสามรู้สึกผ่อนคลายจิตใจอย่างมาก!
ภายในตัวห้องพักเองก็มีกลิ่นหอมจากดอกไม้ กลิ่นมิได้แรงจนเข้มข้น กล่าวได้ว่ากำลังดีไม่หนักหรือเบาเกินไป
หลั่หวงเลือกห้องที่ตนเองชอบและคว้ากุญแจมาทันใด
เนื่องจากนางไม่มีสัมภาระให้เก็บหรือจัดเตรียมเข้าห้อง ดังนั้นจวิ๋นหลี่หวงและทั้งสองจึงตัดสินใจลงมาหาอะไรกินก่อนที่ชั้นล่าง จากนั้นก็วางแผนกันว่า จะออกไปเดินสำรวจเมืองพลางซื้ออาหารแห้งเพื่อกักตุนสำหรับเดินทางไกลต่อ
“พี่หลี่จิว ไฉนสถานที่แห่งนี้ถึงมีชื่อว่า เมืองราชาภูต?”
จวิ๋นอี้เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“จะมีภูตผีโผล่มาหลอกหรือไม่...”
จวิ๋นอี้เอ่ยถามเจือน้ำเสียงสั่นกล้าๆ กลัวๆ
เห็นได้ชัดว่า เขาเป็นเด็กที่กลัวผีมาก
“ฮ่าฮ่า...ไม่มีแน่นอน ไม่มีแน่นอน!”
จวิ๋นหลี่จิวกระดกสุราขึ้นอีกใหญ่และกล่าวอธิบายต่อว่า
“ที่แห่งนี้เดิมทีเป็นแค่หมู่บ้านเล็กๆ แต่ต่อมาก็มีผู้ใหญ่บ้านรุ่นบรรพบุรุษท่านหนึ่งบังเอิญไปค้นพบโบราณสถานที่ซุกซ่อนอยู่ขึ้นมา ภายในนั้นมีแต่สมบัติและคัมภีร์บ่มเพาะพลังล้ำค่ามากมาย ส่งผลให้หมู่บ้านดังกล่าวเริ่มมีเงินทองหลั่งไหลเข้ามา แถมชาวบ้านยังมีพลังฝีมือที่แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ พอเรื่องโบราณสถานแพร่กระจายออกไป มันก็กลายเป็นสถานที่ที่รวบรวมเหล่ายอดฝีมือจากทุกสารทิศ และขยับขยายเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็กลายมาเป็นเมืองใหญ่”
“เพราะผู้ใหญ่บ้านคนนั้นมีชื่อที่แปลได้ว่า ภูต ดังนั้นองค์จักรพรรดิจึงอนุญาตให้ตั้งชื่อเมืองแห่งนี้ว่า เมืองราชาภูต และเจ้าเมืองราชาภูตในรุ่นปัจจุบันก็คือรุ่นโหลนของผู้ใหญ่บ้านท่านนั้น”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง”
จวิ๋นอี้ที่เข้าใจแล้วจึงพยักหน้าตอบกลับไป
“เรื่องการรักษาความปลอดภัยที่แห่งนี้ก็ไม่เลวเช่นกัน”
หลี่หวงทอดสายตามองสองข้างทางพลางเอ่ยขึ้นมา
“ถูกต้อง เจ้าเมืองคนปัจจุบันได้ข่าวมาว่า เป็นยอดฝีมือที่แกร่งกล้า ผู้คนทั่วไปย่อมไม่กล้าสร้างปัญหาในเมืองแห่งนี้ มิฉะนั้นพวกเขาจะถูกขับไล่ออกและห้ามมิให้เข้ามาที่นี่ได้อีกตลอดชีวิต”
“ท่านเจ้าเมืองแห่งนี้แกร่งกล้าปานนั้นเชียว?”
จวิ๋นหลี่จิวยักไหล่ตอบ
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร? แค่ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามเท่านั้น แต่กลับไม่เคยพบเจอตัวจริง แต่การที่สามารถปกครองเมืองขนาดใหญ่เช่นนี้มิให้เกิดความวุ่นวายได้ ภาระหน้าที่ที่ต้องแบกรับหาใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ”
หลี่หวงพยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน หากเจ้าเมืองปราศจากพลังความแข็งแกร่ง แล้วจะบริหารจัดการผู้คนในเมืองให้อยู่กับร่องกับรอยได้อย่างไร?
หลังจากที่ทั้งสามรับประทานอาหารเสร็จสรรพ พวกเขาก็เดินเที่ยวตามท้องถนนคนเดินภายในเมือง
สองข้างทางเต็มไปด้วยแผงลอยและร้านค้ามากมาย
หลี่หวงเป็นพวกชอบเก็บตัว เรื่องเดินเที่ยวเลือกซื้อของกลับไม่ค่อยสันทัด ส่วนใหญ่มักจะเดินตามจวิ๋นอี้ที่ลากนางไปโน่นทีนั่นทีด้วยความตื่นเต้น
นี่ขนาดตาบอดยังขนาดนี้ ถ้าตามองเห็นวิ่งออกไปฉิวแล้วรึ?
“พี่หลี่จิว พาข้าไปดูตรงนั้นหน่อย! ข้าได้ยินคนกลุ่มนั้นพูดอะไรสักอย่าง มันน่าสนใจมากเลย!”
“พี่หลี่หวง ข้าได้กลิ่นหอม! ตรงนั้นต้องมีขนมอร่อยๆ ขายแน่นอน!”
“เอาล่ะ เอาล่ะ ไปดูกันเถอะ”
จนท้ายที่สุดจวิ๋นหลี่จิวต้องอุ้มจวิ๋นอี้ขึ้นมาในอ้อมแขนและพาอีกฝ่ายเดินไปดูตามรับสั่งราวกับพี่น้องกันจริงๆ
หลี่หวงที่เห็นทั้งสองสนิทสนมกันแบบนั้น ก็บอกขอตัวกลับที่พักเพราะขี้เกียจเดิน พลางเดินกลับเข้าโรงเตี๊ยมอย่างสบายใจ
แต่....
ทันทีที่นางกลับมาถึงโรงเตี๊ยม หลี่หวงพลันสังหรณ์ใจได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง!
ไม่มีใครในโรงเตี๊ยมเลยสักคน!
ทั้งเสี่ยวเอ๋อผู้แสนกระตือรือร้นคนนั้นหรือแขกคนอื่นๆ ที่เดินผ่านไปมา ยามนี้กลับหายไปไหนหมดก็มิทราบ!
เกิดบ้าอะไรขึ้นกัน?
เดี๋ยวก่อน...กลิ่นคาวเลือด! กลิ่นคาวเลือดมันฟุ้งกระจายทั่วบริเวณเลย!?
ใครกันที่บังอาจฆ่าคนกลางที่สาธารณะแบบนี้กัน?
หลี่หวงสัมผัสได้ว่า มีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ขณะที่กำลังจะถอยหลังกลับไป ก็พบว่าทางหนีทั้งหมดถูกปิดกั้นไว้โดยสิ้น!
กลุ่มชายชุดคลุมดำเข้าล้อมไว้โดยสมบูรณ์!
“พวกเจ้าเป็นใครกัน?”
หลี่หวงกล่าวเสียงเรียบใบหน้ายังคงรักษาความสงบเสงี่ยม
แต่อย่างไร นางกลับไม่สามารถมองผ่านอ่านระดับพลังบ่มเพาะของชายชุดคลุมดำกลุ่มนี้ออกเลยสักนิด!
เพราะทุกคนในที่นี้ล้วนแข็งแกร่งกว่านางทั้งสิ้น!
นางต้องรีบเร่งสงบสติอารมณ์ทันควัน คิดหาวิธีรับมือที่เหมาะสมที่สุด!
“คนที่จะมาฆ่าเจ้า!”
กลุ่มชายชุดคลุมดำเหล่านี้ไม่แม้แต่จะอธิบายเล็กน้อย พวกมันชักคมกระบี่ขึ้นมาโดยพร้อมเพรียง หมายลอบสังหารหลี่หวงในทันที
แย่แล้ว!
หลี่หวงลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ตอนนี้สถานการณ์ของนางค่อนข้างเสียเปรียบอยู่หลายส่วน
หลี่หวงชักกระบี่เทพฤทัยออกมารับมือ พลางคำรามขึ้นคำหนึ่งว่า
“ฮั่วหยาง ออกมา!”
ฮั่วหยางเองก็เร่งตอบรับและปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าหลี่หวง โดยไม่พูดพล่ำอันใดอีก มันเป่าเพลิงบัวโลหิตพ่นชโลมคมกระบี่เทพฤทัยในมือหลี่หวง และปราดพุ่งเข้ารับมือกับชายชุดคลุมดำจำนวนหนึ่ง
กระบวนท่าร่ายของชายชุดคลุมดำค่อนข้างเด็ดขาดมุ่งเน้นการสังหารเป็นหลัก ดูปราดเดียวก็พึงทราบว่าได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี กล่าวได้ว่า ทุกท่วงท่าหวังปลิดชีพในชั่วอึดใจ!
หากมิใช่เพราะความได้เปรียบของเพลงกระบี่ฤทัยรู้แจ้งที่ชนะทางศัตรูหมู่มาก หลี่หวงคงไม่มีความแข็งแกร่งใดไปสู้เช่นกัน
“ระบำโลหิต!”
เพลิงบัวโลหิตที่ชโลมคมกระบี่ลุกโชน ปลดปล่อยระบำโลหิตอานุภาพร้ายแรงเข้าสัประยุทธ์!
กลีบบุปผาสีเลือดนับร้อยพัน ดั่งโปรยปรายจากห้วงนภาหาวลงมา ทว่าคราวนี้กลับสร้างความเสียหายให้กับศัตรูไม่ได้มากนัก
จะอย่างไรก็ตาม กลุ่มชายชุดคลุมดำเหล่านี้ค่อนข้างมีฝีมือและไหวพริบสูงส่ง ยามเผชิญหน้ากับกลีบบุปผาสีเลือดร่วงโรย พวกมันสามารถเลี่ยงหลบได้อย่างทันท่วงที
เม็ดเหงื่อชั้นหนาเริ่มผุดปรากฏขึ้นกลางหน้าผากของหลี่หวง ลากตัดลงมาเป็นหยาดเหงื่อนไหลริน
หากเป็นเช่นนี้แล้ว นางควรจะทำอย่างไรดี?