ตอนที่46 ทุกอย่างล้วนถูกลิขิตไว้แล้ว
ตอนที่46 ทุกอย่างล้วนถูกลิขิตไว้แล้ว
“ไม่ได้ เจ้าต้องไปนอนพักผ่อนก่อน! ดูหน้าของเจ้ายามนี้สิ! สักงีบก็ยังดี!”
จวิ๋นหลี่จิวกล่าวเร่งเร้า สีหน้าการแสดงออกของหลี่หวงในขณะนี้ดูอิดโรยมากจริงๆ หากแต่งหน้าประแป้งให้ขาวสักหน่อยคงเหมือนผีไม่น้อย
ยังไม่ทันที่หลี่หวงจะได้ปริปากอันใดตอบ จวิ๋นหลี่จิวก็รีบผลักร่างของนางเข้าห้องนอนโดยไม่ถามความสมัครใจใดทั้งสิ้น
“เป็นแบบนี้คงต้องอยู่ที่นี่อีกสักพัก สภาพเช่นนี้เดินทางไม่ไหวแน่นอน เฮ้ออ..”
จวิ๋นหลี่จิวรำพึงกับตัวเองประโยคหนึ่ง
พอถูกอีกฝ่ายผลักเข้าห้องนอน นางก็เลยจำใจเปลี่ยนชุดและเข้านอนอย่างช่วยไม่ได้เช่นกัน
แต่ช่วงหลายวันที่ผ่านมา นางก็เหนื่อยล้าจริงๆ นั่นแหละ นอนพักสักงีบน่าจะดี...
ในช่วงบ่าย มีคนรับใช้หลายคนตรงเข้ามากล่าวรายงานว่า ฮูหยินรองกลายเป็นนางโลมระดับแนวหน้าในหอม่านพิรุณไปแล้ว มีแต่คนจ่ายหนักให้นางไปนอนด้วย แต่ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่ มีคนสังเกตเห็นว่า ฮูหยินรองแอบเดินทางไปซื้อยาทำแท้งเป็นจำนวนมาก
หลี่หวงที่ได้ฟังดังลั่นก็ระเบิดหัวเราะขึ้นลั่นโดยไม่รู้ตัว
“โอสถบำรุงครรภ์ของข้า หาใช่สิ่งที่โอสถทำแท้งทั่วจะกำจัดในท้องได้ ต่อให้เป็นโอสถชั้นต้นขนานแท้ก็เปล่าประโยชน์”
เชิญลองทุกวิถีทาง ถ้ามีปัญญา!
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา เรื่องทุกอย่างได้สงบลง
งานศพของหานชิงได้ผ่านพ้นไปแล้ว หลังจากที่เสร็จพิธีฝังศพอย่างสมเกียรติ จวิ๋นอี้ดูเหมือนกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขาตั้งใจฝึกปรือตลอดทุกคืนวันแม้จะตาบอดก็ไม่มีท้อ
จวิ๋นหลี่จิวที่เห็นว่าน้องสาวของตนพักเหนื่อยเก็บแรงจนเต็มอิ่ม ก็ตั้งใจออกเดินทางแล้วเช่นกัน
ทว่าในตอนนั้นเอง จู่ๆ ก็เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นกับจวิ๋นหลี่หวง!
นางป่วยหนัก!
จู่ๆ โรคภัยก็เข้ามาเยี่ยมเยือนโดยกะทันหัน หลี่หวงรู้สึกเวียนศีรษะขนานหนักราวกับฟ้าหมุนแผ่นดินพลิก ทั้งๆ ที่นอนอยู่บนเตียงแต่กลับอาเจียนออกมาไม่หยุดหย่อน
“เกิดอันใดขึ้นกัน? ไฉนจู่ๆ หลี่หวงถึงป่วยหนักกะทันหันเช่นนี้?!”
จวิ๋นหลี่จิวเรียกระดมหมอโดยด่วนที่สุด ภายในโถงรับแขกในยามนี้เต็มไปด้วยหมอมากหน้าหลายตา
“คุณชายหลี่จิว คุณหนูใหญ่เพียงป่วยเป็นไข้หวัดเท่านั้น เพียงเพราะก่อนหน้ามีอาการเหนื่อยล้าสะสม จึงส่งผลให้อาการทรุดหนักกว่าปกติ”
“ไข้หวัด?”
ในฐานะคนที่เพิ่งทะลวงขึ้นกลายเป็นนักอัญเชิญชั้นสูง นางจะมาล้มป่วยเป็นไข้หวัดง่ายดายปานนี้เชียว?
“พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ”
จวิ๋นหลี่จิวโบกมือให้ทุกคนออกไปก่อน และเดินทางมาเยี่ยมเยือนหลี่หวงที่กำลังนอนโทรม
“น้องหลี่หวง เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่...”
จวิ๋นหลี่จิวเอ่ยปากบ่นขึ้นพึมพำ
หน้าผากเนียนของหลี่หวงปรากฏเม็ดเหงื่อเย็นผุดขึ้นมา ทั่วทั้งร่างร้อนผ่าว แต่ปากกลับเอ่ยว่า ข้าหนาว ข้าหนาวซ้ำไปเวียนมา
“ในคืนนั้นเจ้าพานายท่านของข้าไปไหน?”
ทันใดนั้นเองร่างวิญญาณของเหยาอวี้ก็ลอยออกมาจากร่างของหลี่หวง เหลือบมองนางที่กำลังนอนทรมานอยู่วาบหนึ่ง ก่อนจะหันมาเอ่ยถาม
จวิ๋นหลี่จิวไม่ทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของเหยาอวี้ และคาดเดาไปเองว่า อีกฝ่ายน่าจะเป็นสัตว์อสูรในพันธสัญญาของหลี่หวง ดังนั้นเขาจึงสนิทใจที่จะเปิดเผยเรื่องราวทุกอย่าง
“ไปแช่น้ำพุเหมันต์”
“น้ำพุเหมันต์?! เจ้าบอกว่าพานายท่านลงไปแช่น้ำพุเหมันต์?!!”
พอเหยาอวี้ได้ยินแบบนั้น ก็พองขนใส่ทันทีด้วยความโกรธจัด
จวิ๋นหลี่จิวหันไปมองเหยาอวี้ด้วยความสงสัย น้ำพุเหมันต์แล้วมันยังไง?
วิธีที่เร็วที่สุดสำหรับทำให้ยาปลุกกำหนัดสิ้นฤทธิ์ได้ ก็มีแต่วิธีนี้เท่านั้นที่เขาคิดออก
แล้วไฉนเด็กนี่ถึงต้องโมโหขนาดนั้นด้วย?
หลิงฉางเจวี่ยที่เดินข้ามห้วงมิติออกมาเพื่อเยี่ยมเยือนอาการป่วยของหลี่หวง ก็บังเอิญเข้ามาได้ยินประโยคนี้พอดี
บรรยากาศกลายมาเป็นตึงเครียดในชั่วพริบตา
“บัดซบ! เจ้าทราบหรือไม่ว่านายท่านของข้าเป็นใคร! กล้าดียังไงถึงพานางไปแช่ในน้ำพุเหมันต์ตลอดทั้งคืน! อยากฆ่านางรึไง!”
เหยาอวี้ไม่สนใจเรื่องภาพลักษณ์ใดๆ อีกต่อไป และยังไม่สนอีกว่าชายตรงหน้าของมันจะเป็นใครใหญ่มาจากไหนเช่นกัน
“อันใด?!”
เมื่อได้ยินคำกล่าวของเหยาอวี้ ว่าการทำเช่นนั้นมันไม่ต่างอะไรกับการฆ่านางทางอ้อม ทั้งสองก็รู้สึกผิดอย่างมาด เอาแต่ก้มหน้าก้มตาอย่างประหม่า
แต่ทันใดนั้นเองหลิงฉางเจวี่ยก็เงยหน้าขึ้นทันทีราวกับเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้!
“ให้ตายเถอะ! กว่าจะคิดออก! พวกเจ้านี่มันจริงๆ เลย!!”
เหยาอวี้ที่เห็นท่าทางการแสดงออกของหลิงฉางเจวี่ยประหนึ่งทราบสาเหตุแล้ว มันก็ชี้หน้าด่าทั้งสองไปอีกระลอกใหญ่
“ใช่แล้ว! นางเป็นนักหลอมโอสถ! สภาพร่างกายของนักหลอมโอสถทุกคนจะค่อนข้างอ่อนแอ การให้นางแช่ในน้ำพุเหมันต์ทั้งคืน มันไม่ต่างจากการฆ่านางจริงๆ!”
“นักหลอมโอสถ?”
จวิ๋นหลี่จิวที่ได้ยินแบบนั้นพลันตกใจอย่างมาก เอ่ยพูดคำนี้ซ้ำไปเวียนมาด้วยความสงสัย
“ใช่! นางเป็นนักหลอมโอสถ!”
หลิงฉางเจวี่ยกล่าวยืนยันอีกครั้งด้วยความรู้สึกผิดในใจที่คิดไม่ทัน
ทั้งสองเข้าใจได้ทันทีถึงสาเหตุทั้งหมด เพราะอาชีพนักหลอมโอสถนับเป็นเส้นทางที่ท้าทายสวรรค์มากซะจน สามารถหลอมกลั่นโอสถที่ฟื้นคืนสิ่งมีชีวิตจากความตายได้ ดังนั้นจึงถูกทัณฑ์สวรรค์สาปแช่ง ในนักหลอมโอสถทุกคนล้วนต้องมีอันเป็นไป ส่งผลให้สภาพร่างกายของนักหลอมโอสถแต่ละคนค่อนข้างอ่อนแอ!
ดังนั้นโรคที่หลี่หวงป่วย ต้นเหตุมาจากพวกเขาทั้งสอง!
“หึ!”
เหยาอวี้พ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ผ่านรูจมูก แต่ก็มิได้กล่าวอันใดอีก
หลี่หวงเป็นสตรีพิษ และนางยังจัดอยู่ในกลุ่มคนที่มีร่างกายอ่อนแอ ดังนั้นหากไม่ระมัดระวังตัวให้ดี บทจะป่วยง่ายก็คืนช้างล้มไปเลย!
“แล้วนางจะเป็นอะไรรึเปล่า?”
หลิงฉางเจวี่ยรีบเร่งเอ่ยถามด้วยความร้อนใจ
“ลืมไปแล้วรึว่าข้าผู้นี้เป็นใคร?”
เหยาอวี้เหลือบหางตามองหลิงฉางเจวี่ยที่เผยท่าทีประหม่าหูตก ก่อนหน้ามันคิดมาโดยตลอดว่า ชายผู้นี้เป็นยอกฝีมือที่แกร่งกล้ายิ่ง แต่ใครจะไปคิดว่า ดันโง่!
หลิงฉางเจวี่ยคลี่ยิ้มอ่อนอย่างกระอักกระอ่วนใจ เด็กน้อยในร่างวิญญาณตนนี้เป็นถึงจิตวิญญาณแห่งหม้อหลอมโอสถวิเศษ จะไม่มีทางช่วยชีวิตเจ้านายของมันได้อย่างไร?
“นายท่านต้องการนอนพักฟื้นอย่างต่อเนื่อง หากไม่จำเป็นไม่ต้องเข้ามาหา”
เหยาอวี้แผดน้ำเสียงเย็นสั่งการทั้งสอง
ไอ้คนหนึ่งก็ขี้เมา ส่วนอีกคนก็โรคจิตรักใคร่เด็ก มันไม่รู้เลยว่าจะสรรหาคำอธิบายใดกับชายสองคนนี้ดี?
“เข้าใจแล้ว”
จวิ๋นหลี่จิวกับหลิงฉางเจวี่ยตอบกลับเจือน้ำเสียงเศร้าสร้อย ตราบใดที่นี่เป็นวิธีเดียวที่สามารถหลี่หวงได้ ไม่ว่าอะไรพวกเขาก็ยอมทั้งนั้น
ภายใต้สายตาของเหยาอวี้ที่พยายามจะสื่อว่า ‘แล้วพวกเจ้ายังจะยืนบื้อทำหอกอะไรแถวนี้’ หลินฉางเจวี่ยกับจวิ๋นหลี่จิวได้แต่เดินคอตกจากไป
เหยาอวี้หยิบหม้อหลอมโอสถวิเศษนำมาตั้งตรงหน้า และเอ่ยเรียกฮั่วหยางออกมา
“ฮั่วหยาง มาช่วยข้าหน่อย”
“ได้ ได้”
ฮั่วหยางเหลือบมองเจ้านายของมันด้วยสายตากังวลเช่นกัน หวังได้แต่เพียงว่า จะหายดีในเร็ววันเร็วคืน
“นางไม่ค่อยรู้จักดูแลตัวเองเลยจริงๆ”
เหยาอวี้เอ่ยปากบ่นตามภาษา
ฮั่วหยางพยักหน้าเห็นด้วย
............
พริบตาเดียว ก็ผ่านไปได้สามวันแล้ว
“พี่หลี่หวง”
จวิ๋นอี้มีสาวรับใช้พยุงเข้าไปในห้องของหลี่หวง
“ว่ายังไง?”
หลี่หวงที่ถูกบังคับให้นอนพักผ่อนบนเตียงจนแทบเป็นง้อย ลุกขึ้นนั่งพลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ท่านพ่อ เขากำลังจะแต่งงานใหม่แล้ว”
“....”
หลี่หวงถึงกับพูดไม่ออกไปพักใหญ่ หานชิงเพิ่งล่วงลับได้ไม่ถึงเดือน ไฉนถึงรีบร้อนที่จะแต่งงานใหม่ปานนี้?
บุรุษเพศเป็นสิ่งมีชีวิตที่เต็มไปด้วยราคะโดยแท้
“จัดงานเมื่อใด?”
“คืนนี้”
จวิ๋นอี้เอ่ยตอบเสียงแผ่วเบา และไม่ได้สังเกตน้ำเสียงของตัวเองที่แปรเปลี่ยนไปเช่นกัน
“ท่านพ่อรับมรดกของตระกูลหานที่เหลืออยู่ทั้งหวด ยามนี้ไร้ซึ่งตระกูลหานอีกต่อไปแล้ว”
หลี่หวงยิ้มเยาะ หรือบางทีคนที่จะแต่งงานใหม่ด้วยจะเป็นบ้านเล็กบ้านน้อยที่จวิ๋นจ้านซุกซ่อนเอาไว้อยู่แล้ว?
“เสี่ยวอี้ แล้วเจ้าคิดเห็นอย่างไรกับการแต่งงานใหม่ของพ่อเจ้าล่ะ?”
หลี่หวงคิดว่า ยามนี้จวิ๋นอี้มิอิสระมากพอแล้วที่จะคิดเห็นและพิจารณากับเรื่องราวภายนอกด้วยตัวเอง
“…ก็แค่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ”
จวิ๋นอี้ส่ายหัวคล้อยว่าคร้านจักใส่ใจ
“วันหน้าเสี่ยวอี้ก็ต้องแต่งงานมีภรรยา อย่าทำให้สตรีนางนั้นต้องเสียใจแล้วกัน เข้าใจไหม?”
หลี่หวงยิ้ม
“แน่นอน! หนึ่งชีวิตซื่อสัตย์ต่อหนึ่งรักตลอดกาล!”
จวิ๋นอี้แอบสาบานกับตัวเองในใจว่า จะไม่เป็นอย่างพ่อของเขา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์สลดใจแบบที่ตัวเขาเคยเผชิญกับเด็กคนไหนอีกแล้ว
“พี่หลี่หวง แล้วพวกเราจะเดินทางไปเมืองหลวงเมื่อใด?”
จากใจจริงของจวิ๋นอี้เลย เขาไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว
“ใกล้แล้ว รออีกสักพัก”
หลี่หวงยกมือขึ้นลูบหัวอีกฝ่าย
นางทราบดีว่าจวิ๋นอี้รู้สึกอย่างไร และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจาก ออกเดินทางโดยเร็วที่สุด
“แม่ของจวิ๋นรั่ว นางตายแล้ว”
จวิ๋นอี้กล่าว
หลังจากที่ตาบอด เขาก็พบว่าประสาทสัมผัสทางหูของตนดีขึ้นเป็นหลายเท่าทวี ถึงขั้นที่ว่าสามารถได้ยินสาวรับใช้หรือบ่าวคนอื่นๆ แอบซุบซิบกันนอกตัวเรือน แถมบทสนทนาแต่ละอย่างที่ได้ยินก็ชัดเจนอย่างมาก
“ข้ารู้”
หลี่หวงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ พลางเงยหน้าขึ้นมองคาน
“ตั้งแต่นางโดนขับไล่ออกจากตระกูล ข้าพึงทราบจุดจบอยู่แล้ว”
แม้หลี่หวงจะไม่ฆ่านาง แต่จวิ๋นจ้านย่อมทนไม่ได้แน่นอน
ดังนั้นเรื่องทุกอย่างล้วนถูกลิขิตไว้แล้ว และไม่มีอะไรจะต้องกังวลอีกต่อไป