บทที่ 59 สมาคมการค้าจ้าวสมุทรา
“เสี่ยวซวง เหล่าต้าพวกเรากลับกัน….” ขณะเดียวกันหนิงเทียนเดินไปหยิบแหวนมิติของซินเฉาออกมา พร้อมทั้งโยนเหรียญทองนับแสนเหรียญของซินเฉาลงบนโต๊ะ
“เสี่ยวเอ้อ เหรียญทองจำนวนนี้สำหรับค่าเสียหายของร้านเจ้า” กล่าวจบหนิงเทียนเดินลงจากเหลาอาหารชิงเยี่ยนก่อนจะหันมองไปยังป้ายของร้าน ‘ข้าจะไม่มีวันมาเหยียบที่นี้อีกเป็นครั้งที่3’
จินเหล่าต้าที่จ้องมองไปด้านหลังของหนิงเทียนและเสี่ยวซวงที่กำลังเดินหายไป เหตุการณ์นี้ยิ่งเพิ่มความศรัทธาในใจของมันอย่างสูงล้น
แม้ว่ามันจะรู้อยู่แล้วว่าเสี่ยวซวงเป็นผู้ฝึกตนในแดนแห่งปราชญ์ขั้น7 แต่มันก็ไม่อาจห้ามความตกตะลึงได้เมื่อเห็นความสามารถที่นางแสดงออก จากนั้นมันจับจ้องไปยังแผ่นหลังเล็กๆของหนิงเทียน
“ผู้ติดตามยังแข็งแกร่งเช่นนี้ ถ้าเขาไม่ปิดบังความสามารถ เขาจะแข็งแกร่งถึงเพียงไหนกันแน่” ความเชื่อมันในตัวของหนิงเทียนสลักไปยังจิตใจของจินเหล่าต้า จากนั้นมันรีบวิ่งตามทั้งสองไป
ระหว่างทางกลับตระกูลจิน จินเหล่าต้าที่วิ่งตามมานั้นอดไม่ได้ที่จะกล่าวออก “พี่ชายหนิงเทียน เราไปตัดแขนของเหอสุ่ยและซินเฉา ข้าเกรงว่าพวกมันจะไม่ยอมแต่โดยดี”
หนิงเทียนหรี่ตาแคบมองไปยังจินเหล่าต้า “เจ้ากลัว?”
“ไม่...ไม่ใช่แน่นอน ข้าจินเหล่าต้า ไม่กลัวฟ้า ไม่เกรงดิน” มันกล้าตอบอย่างอาจหาญ
“ดี ถ้าเช่นนั้นอย่าได้เก็บเรื่องนี้มาคิดให้รกสมอง ข้าได้กล่าวเตือนพวกมันไปแล้ว
ถ้ามันไม่เชื่อฟัง เห็นทีว่า กรรมของบุตรจะต้องตกถึงบิดา” คำพูดที่ราบเรียบของหนิงเทียนชวนให้ขนในกายของจินเหล่าต้ารุกชันด้วยความกลัว
เวลาเดียวกันที่ชั้นบนสุดของเหล่าอาหารชิงเยี่ยน
เหอสุ่ยอยู่ในสภาพที่มือซ้ายของมันกุมไปยังแขนขวาที่ชุ่มไปด้วยเลือด มันคำรามออกมาด้วยใบหน้าซีดขาว“บัดซบ มันต้องตาย มันต้องตาย”
เหอสุ่ยพยุงร่างที่โชกเลือดของมันออกไปด้วยความยากลำบาก ปลายทางของมันคือประตูเมืองฉางผิง
มันไม่สนใจการประลองอะไรอีกต่อไปแล้ว เวลานี้มันต้องการกลับสำนักของมันโดยเร็วที่สุด
มันเดินจากไปอย่างไม่ได้ใส่ใจซินเฉาที่นอนร้องโหยหวนอยู่กับพื้นเลยแม้แต่น้อย
……………..
หลักจากกลับมาถึงหมู่ตึกตระกูลจิน หนิงเทียน และจินเหล่าต้าได้นัดแนะถึงการออกเดินทางในวันพรุ่งเล็กน้อย ก่อนที่ทั้งสามจะแยกย้ายกันไป
ในเวลากลางดึกหนิงเทียนนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง พร้อมทั้งนำหินลมปราณออกมาถึงสิบก้อนนี้เป็นปริมาณที่มากเป็น3เท่าของปกติ
ภายในวันเดียวมันได้ยั่วยุทั้งปรมาจารย์โอสถและสำนักดาบศิลา ด้วยเหตุนี้สิ่งที่มันต้องรีบทำที่การเติมเต็มปราณของดวงตะวันทั้งแปดในร่างอย่างเร่งด่วน
หนิงเทียนค่อยๆโคจรลมปราณจากหินลมปราณระดับสูง10ก้อนเข้าสู่ดวงตะวันภายในร่างของมัน เวลานี้ดวงตะวันของมันเหลืออีกเพียง3ใน10ส่วนเท่านั้นมันจะเต็มพร้อมโดยสมบูรณ์
มันรู้สึกว่าการเติมปราณของแต่ละดวงตะวันนั้น เสมือนการก้าวขึ้นบันไดแห่งปราชญ์ทีละขั้น
ถ้าเป็นอย่างที่มันคาดเดาไว้ละก็ การที่มันเติมดวงตะวันทั้งแปดจนเต็มแล้ว มันจะสามารถก้าวไปสู่ขั้นที่8ของแดนแห่งปราชญ์ได้ทันที
ยิ่งคิดเช่นนั้นหนิงเทียนยิ่งตกตะลึงในความแปลกพิสดารของม้วนภาพเทพยุทธ์
ในภาพแรกนั้นมันทำให้หนิงเทียนบ่มเพาะพลังได้ช้ากว่าคนปกติถึง3เท่า แต่ในภาพที่สองนั้นมันกลับทำให้หนิงเทียนบ่มเพาะพลังได้รวดเร็วกว่าเดิมมากเป็นทวี
การกระโดดจากแดนแห่งปราชญ์ขั้น1มาเป็นปราชญ์ขั้น8นั้น สำหรับบุคคลทั่วไปเป็นสิ่งที่ท้าทายสวรรค์และยากที่จะเชื่อได้เป็นอย่างยิ่ง
แต่สำหรับหนิงเทียนแล้วการที่จะก้าวกระโดดได้เช่นปาฎิหาริย์นั้น ต้องแลกมาด้วยเงื่อนไขที่โหดร้ายสุดแสน
นับตั้งแต่ที่มันทะลวงเข้าสู่แดนแห่งปราชญ์มานั้น มันไม่สามารถใช้พลังปราณออกได้เลยแม้แต่น้อย
ถ้าเป็นผู้ที่เปี่ยมด้วยทรัพยากรในการบ่มเพาะเช่นมันตอนนี้ก็นับว่าเป็นโชคที่ดี แต่ถ้ามันเป็นผู้ที่ไร้ซึ่งทรัพยากรในการบ่มเพาะแล้วละก็ไม่รู้ว่ามันจะต้องทนเป็นผู้พิการไร้ซึ่งลมปราณไปนานถึงกี่ปี
ยิ่งขึ้นเช่นนั้นหนิงเทียนได้แต่ระบายลมหายใจออกมาด้วยความยินดีในโชคของมัน
....
เวลาผ่านไปสามชั่วยามหนิงเทียนได้แต่ถอดถอนหายใจออกมา ‘ด้วยความเร็วในการซึมซับเช่นนี้ ข้าเกรงว่าจะไม่ทันงานประลองของตระกูลมู่’ ครุ่นคิดได้เช่นนั้นมันได้แต่ทิ้งตัวลงนอนไปกับฝูกเตียงที่อ่อนนุ่ม
ในช่วงเข้าวันรุ่งขึ้น หนิงเทียนและเสี่ยวซวงทั้งคู่ออกมายืนรอจินเหล่าต้าอยู่หน้าประตู
หนิงเทียนแต่งกายในชุดขนสัตว์อันเป็นชุดประณีตที่มารดาห้าของมันเย็บให้ การที่ได้สวมใส่เสื้อตัวนี้มันทำให้หนิงเทียนรู้สึกคลายความคิดถึงลงได้บ้าง
ส่วนเสี่ยวซวงอยู่ในชุดของบุรุษสีขาว นางเกล้าผมขึ้นไปมัดอยู่ด้านบนและปกปิดมันด้วยหมวกบัณทิตใบเล็กๆ ทำให้นางคล้ายกับบัณฑิตหน้าหวานอยู่ไม่น้อย
ที่หนิงเทียนจงใจให้นางแต่งกายเช่นนี้เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงปัญญาที่จะมาพร้อมกับใบหน้าของนาง
เพียงไม่นานนักจินเหล่าต้าวิ่งเข้ามาด้วยท่าทีเร่งรีบ “ขอโทษทีพี่ชายพี่สาว ข้านั้นเสียเวลาเตรียมของไปร่วมประมูลอยู่นาน”
“หืมม์ พวกเรามีสิทธิ์ประมูลสินค้า” หนิงเทียนถามออก
“แน่นอน ถ้าท่านมีเงินไม่เพียงพอ ท่านสามารถนำของร่วมประมูลได้ โดยในครึ่งวันแรกจะเป็นการประมูลสินค้าของผู้ร่วมงาน
ส่วนครึ่งวันหลังจะเป็นการประมูลของจากสมาคมการค้าจ้าวสมุทรเอง”
จินเหล่าต้ากล่าวต่อพลางทุบไปที่อกของตัวเอง “เรื่องเงินพี่ชายหนิงไม่ต้องเป็นห่วง ข้านั้นมีทรัพย์สินอยู่มากมาย
เพียงแค่ข้านำสิ่งประดิษฐ์ของออกประมูลสักชิ้นมันก็เพียงพอแล้วที่จะซื้อคฤหาสน์ให้แก่ตระกูลท่าน” กล่าวจบจินเหล่าต้ารีบเดินนำไปโดยเร็ว
สมาคมการค้าจ้าวสมุทรนับว่า เป็นสมาคมการค้าเพียงหนึ่งเดียวของแดนสวรรค์แห่งนี้ มันมีสาขาไปทั่วทั้ง4ดินแดน สมาคมการค้าน้อยใหญ่ล้วนปิดตัวและก่อตั้งภายใต้การปกครองของมันทั้งหมด
แม้ว่าการประมูลสินค้านี้จะจัดขึ้นภายในสาขาย่อยเท่านั้น แต่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะเรียกเหล่าผู้คนจากทั่วทุกสารทิศในทวีปฟ้าสวรรค์มารวมตัวกันยังที่แห่งนี้
จินเหล่าต้าพาพวกของหนิงเทียนเดินย้อนแม่น้ำกลางเมืองเข้าไปยัง ภูเขาสูงใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในเมืองฉางผิง มันเป็นภูเขาลูกเดียวกับที่หนิงเทียนได้เห็นตอนที่เข้าเมืองมาครั้งแรก
ภายในหุบเขานั้น เป็นถนนสายกว้างที่ถอดยาวเข้าไปสู่ คฤหาสน์ขนาดใหญ่ มันใหญ่กว่าหมู่ตึกตระกูลจินนับสิบๆเท่าเสียอีก
“น่าตื่นตาจริงๆ” หนิงเทียนอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว
ภายใต้การนำของจินเหล่าต้า ทั้งสามก็ได้เข้าไปในคฤหาสน์ขนาดใหญ่ที่ด้านบนเขียนไว้ด้วยป้ายที่สลายไปด้วยอักษรขนาดใหญ่ "สมาคมการค้าจ้าวสมุทร" มันส่งลมปราณอ่อนๆออกมาสัมผัสแก่ผู้ที่ได้รอดผ่านมันเข้าไป
“นายท่าน ต้องการสิ่งใด สมาคมการค้าจ้าวสมุทรของเรามีทุกสิ่งที่ท่านต้องการ” เสียงใสดุจแก้วดังมาจากสตรีในชุดสีคราม
จินเหล่าต้ายื่นแผ่นเหล็กประจำตัวของมันให้สตรีในชุดครามก่อนจะกล่าวออก “ข้าต้องการห้องส่วนตัว ในนามของต้าจื่อฝู”
ต้าจื่อฝู *สรรพความรู้
“หืมม์ ต้าจื่อฝู เจ้าแห่งปัญญา ไม่เลวดูท่าว่าเสเพลอันดับหนึ่งแห่งฉางผิงจะมีหลายหน้าอยู่เหมือนกัน” หนิงเทียนกล่าวกับจินเหล่าต้าอย่างขบขัน
“แหะๆ ข้านั้นต้องสร้างตัวตนใหม่ขึ้นมาเพื่อที่จะได้ทำงานประดิษฐ์อย่างที่ข้าต้องการ”จินเหล่าต้าหัวเราะแห้งๆพร้อมตอบกลับ
“นายท่าน ทางเราได้จัดเตรียมห้องส่วนตัวของท่านต้าจื่อฝู ท่านต้องการไปเลยหรือไม่?”สตรีในชุดคราวยังคงกล่าวอย่างนอบน้อม
“ยัง พวกเรายังต้องการนำสินค้าเข้าร่วมประมูล”จินเหล่าต้ากล่าวอย่างชำนาญราวกับว่ามันทำแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว
สตรีในชุดครามก้มศีรษะให้ทั้งสามพร้อมกล่าว “เชิญท่านทั้งสามทางนี้”
หนิงเทียน เสี่ยวซวงและจินเหล่าต้าทั้งสามได้เดินตามสตรีชุดครามเข้าไปในห้องตีราคา ภายในห้องนั้นมีผู้คนนั่งอยู่ก่อนสามถึงสี่คน จินเหล่าต้ามองไปโดยรอบพร้อมทั้งกล่าวแนะนำแก่หนิงเทียน
“พี่ชายคนที่กำลังยืนอยู่นั้นคือ หนึ่งกระบี่ฮุยฟาง ส่วนคนที่กำลังนั่งอยู่นั้นคือแมวขโมย จิวหู ส่วนที่กำลังจิบชารออยู่นั้นคือ ดาบอัปลักษณ์หรงจื่อ พวกมันเป็นบุคคลระดับสูงในสำนักรอบนอกเมืองฉางผิง”
หนิงเทียนมองผ่านไปทีละคนราวกับกำลังพิจารณาถึงคุณสมบัติของพวกมัน ก่อนจะละสายตาไปยัง ชายแก่ที่นั่งอยู่กับพื้นราวกับยาจก “ชายชราที่เจ้าไม่ได้แนะนำนั้นเป็นใคร?”
จินเหล่าต้า มองไปยังชายชราที่นั่งอยู่กับพื้น “ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน ข้าไม่เคยเห็นเขาในเมืองฉางผิงมาก่อน แต่เราไม่สามารถมองเขาเพียงภายนอกได้แน่
การที่ได้เข้ามาภายในห้องรับรองนี้มันต้องเป็นบุคคลที่ทำการค้ากับสมาคมการค้าจ้าวสมุทรมากเกินกว่า10ล้านเหรียญทอง”
ได้ยินเช่นนั้นหนิงเทียนยิ้มและกล่าวตอบ“เจ้าก็เป็นหนึ่งในตัวตนที่น่ากลัวเช่นนั้น”
“ฮ่าฮา พี่ชายหนิง ในที่นี้ข้าคือต้าจื่อฝู นักประดิษฐ์อัจฉริยะเชียวนะ” จินเหล่าต้ากล่าวตอบอย่างไม่มีถ่อมตนเลย
พวกมันใช้เวลาสนทนาอยู่ไม่นานนัก บุรุษวัยกลางคนแต่งกายด้วยลักษณะภูมิฐานเดินตรงไปยังกลุ่มของพวกมัน ก่อนที่จะเริ่มแนะนำตัวเองตามหน้าที่
“ข้าเป็นผู้รับหน้าที่ประเมินราคาสินค้าในวันนี้ มีเชื่อว่า เอี้ยเซียว นายท่านทั้งสามท่านมีสิ่งใดที่ต้องการประมูล”
จินเหล่าต้าโค้งศีรษะพร้อมกล่าวอย่างเป็นกันเอง “ผู้จัดการเอี้ย ข้าต้องการใช้เงินจำนวนมากเพื่อสร้างตระกูลใหม่ ท่านช่วยตีราคาให้ข้าสูงๆได้หรือไม่”
คล้ายว่าพวกมันทั้งคู่จะรู้จักกันมาก่อน เอี้ยเซียวส่ายหน้าพร้อมกล่าวต่อ
“นายน้อยจินการที่ข้าช่วยปกปิดตัวตนของท่านก็เป็นความผิดมากแล้ว ข้าไม่อาจฝืนกฎได้อีก”
มันยังคงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสุภาพโดยเปลี่ยนคำเรียกนายน้อยจินเป็นต้าจื่อฝู “วันนี้ท่านต้าจื่อฝู จะนำสิ่งใดมาให้สมาคมการค้าจ้าวสมุทรเราประมูล”
“ผู้จัดการเอี้ย อย่าได้กล่าวเป็นทางการเช่นนั้น วันนี้ข้ามีสิ่งของมาร่วมประมูลเพียงอย่างเดียวแต่มันเป็นของที่ข้าใช้เวลาในการประดิษฐ์ร่วม 30วัน”
จินเหล่าต้ากล่าวพร้อมกับหยิบถุงสีดำออกมาจากแหวนมิติเผยให้เห็นชุดคลุมสีดำยาวถึงข้อขา
เอี้ยเซียวจับเสื้อคลุมสีดำออกมาสำรวจอยู่เพียงชั่วครู่ ใบหน้าที่ราบเรียบของมันเริ่มที่จะขมวดเข้าหากัน
มันใช้เวลาพิจารณาอยู่เกือบๆ1เค่อ จนทั่วทั้งห้องโถงตีราคาเหลือเพียงแต่กลุ่มของหนิงเทียนและชายชราแปลกๆที่นั่งอยู่กับพื้นเท่านั้น
เอี้ยเซียวหรี่ตาลงก่อนจะกล่าวถาม “ต้าจื่อฝู ท่านสนใจขายกลไกการประดิษฐ์ของมันได้หรือไม่?”
ฮ่าฮ่าๆ จินเหล่าต้าหัวเราะออกมาเสียงดัง “กลไกของมันนั้นย่อมต้องเป็นความลับไม่สามารถแพร่งพายได้
แต่ว่าด้วยของสิ่งนี้ ท่านสามารถนำมันไปตรวจสอบหากลไกของมันได้ภายหลัง ถ้าท่านมีความสามารถเพียงพอละนะ”
เอี้ยเซียวส่ายศีรษะพร้อมกลับมามีท่าทีเช่นเดิม ก่อนจะกล่าวออก “สมแล้วที่ได้รับฉายาว่าเจ้าแห่งปัญญา เสื้อคลุมสะกดลอยประดิษฐ์ด้วยอาคมติดตาม ข้าตีราคาเริ่มประมูลอยู่ที่2ล้านเหรียญทอง”
“ตกลงตามนี้”จินเหล่าต้าตบปากรับคำทันที เงิน2ล้านเหรียญทองนั้นมากมายถึงขนาดที่ตระกูลระดับกลางต้องใช้เวลาเก็บสะสมทั้งปีและขนาดตระกูลใหญ่นับว่าเป็นรายรับทั้งเดือนของพวกมัน
ได้ยินเช่นนั้นเอี้ยเซียวหันไปเรียกสตรีในชุดครามออกมา “ไปนำตั๋วเงิน2ล้านเหรียญทองมาให้ท่านต้าจื่อฝู”
พร้อมทั้งกล่าวต่ออย่างเป็นหน้าที่ “เมื่อทางเราได้ขายมันจากการประมูลในช่วงเช้าได้แล้ว รายได้นอกเหนือจากที่เราตีราคาไป ทางสมาคมการค้าของเราจะหัก5ใน10ส่วน และจะจ่ายเพิ่มให้ทันทีก่อนจะเริ่มงานประมูลในช่วงบ่าย”
ขณะที่เอี้ยเซียว กำลังจะกล่าวถามหนิงเทียนนั้น กลุ่มคนจำนวนหนึ่งได้เดินตรงมายังพวกมัน
โดยผู้ที่เดินนำนั้นเป็นบุรุษวัยกลางคน ลักษณะดุดัน มีใบหน้าที่หยาบกร้าน ไร้ซึ่งหนวดเคราบนใบหน้า ที่ด้านข้างของมันนั้นเป็นจ้าวหยางที่เดินตามอยู่ติดๆ
เมื่อจ้าวหยางพบเข้ากับหนิงเทียนและจินเหล่าต้า แววตาของมันมีประกายขึ้นมาทันที สีหน้าของมันดำมืด เวลานี้มันไม่มีความรู้สึกกลัวเหมือนเมื่อวานที่อยู่ในเหลาอาหารชิงเยี่ยนแม้แต่น้อย
เนื่องจากวันนี้บุคคลที่มากับมันนั้นเป็นบิดาแท้ๆของมัน และเป็นว่าที่ผู้นำคนต่อไปของตระกูลจ้าว ท่ามกลางจ้าวหยางด้านข้างทั้งสองนั้น มีผู้ชายสองคนเดินประกบอยู่
เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่ไม่ใช่ทหารคุ้มกันแต่อย่างใด จากลักษณะชุดที่พวกมันสวมใสมันดูมีสง่าราศีคล้ายกับพวกชนชั้นสูง
เมื่อบุรุษวัยกลางคนสังเกตเห็นใบหน้าที่ดำมืดของบุตรชายมัน มันจึงกล่าวถามออกไป“พวกมันเป็นใคร”
“ท่านพ่อมันเจ้าเด็กที่ยืนด้านขวาคือจินเหล่าต้า นายน้อยของตระกูลจินส่วนด้านข้างของมันชื่อหนิงเทียน มันเป็นคนสั่งให้ผู้ติดตามของมันตัดแขนของพี่ใหญ่ซินและประมุขน้อยเหอสุ่ยที่เหลาอาหารชิงเยี่ยน
บัณฑิตด้านหลังของมัน ลูกเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน”
จ้าวหยางอธิบายบุคคลด้านข้างหนิงเทียนได้เป็นอย่างดี เว้นเสียแต่ตัวของหนิงเทียนเอง มันไม่กล้ากล่าวถึงเรื่องผิดใจอีกทั้งเรื่องการประลองกฎฟ้าก็ไม่ได้กล่าวออกไป
ถ้าบิดาของมันรู้ว่ามันพ่ายแพ้ให้เด็กพิการลมปราณซ้ำยังไม่มีวิธีจัดการให้เด็ดขาดแล้วละก็มันจะมีหน้าหลงเหลืออยู่ในตระกูลจ้าวต่อไปได้อย่างไร
จินเหล่าต้ามองไปยังบุรุษวัยกลางคนก่อนจะกล่าวด้วยเสียงผ่านลมปราณแก่หนิงเทียน
“มันคือจ้าวเทียนไห่ ผู้นำตระกูลคนต่อไป และยังเป็นบิดาแท้ๆของจ้าวหยางอีกด้วย แต่พี่ชายหนิงท่านไม่ต้องกังวลภายใต้สมาคมการค้าจ้าวสมุทร ไม่มีผู้ใดกล้าลงมือทำร้ายคนแน่”
สายตาของหนิงเทียนจ้องมองไปยังจ้าวเทียนไห่ ทั้งสองประสานดวงตากับชั่วครู่ก่อนที่หนิงเทียนจะยกยิ้มมุมปากขึ้น
มันจงใจกล่าวออกเสียงดัง “คำโบราณที่ว่าต้นไม้หล่นไม่ไกลต้นนั้น นับว่าไม่เกินจริงไปเลย”
“เด็กน้อยเจ้าหมายความว่าอย่างไร?”จ้าวเทียนไห่หรี่ตาแคบพร้อมกับกล่าวต่อเสียงดัง “เอาเถอะวันนี้ข้าต้องการมาเพื่อประมูลคฤหาสน์กลางแม่น้ำฉางยี่เท่านั้น ข้าหวังว่าตระกูลจินจะไม่เข้ามาก้าวก่าย”
จินเหล่าต้าประสานมือพร้อมกล่าวตอบ “ของที่ข้าไม่อยากได้ ต่อให้ใช้มีดจี้บังคับข้าก็ไม่รับ กลับกันถ้าเป็นของที่ข้าต้องการไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องนำมันมาให้ได้”
“ดีบุตรชายของจินเจียงหยาปากกล้าไม่เบา” กล่าวจบมันยื่นขวดหยกให้แก่เอี้ยเซียว
เมื่อเห็นเช่นนั้น เอี้ยเซียวเปิดมันขึ้นมาสูดดม ใบหน้าตกตะลึงเล็กน้อยก่อนจะรีบแปรเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มออก ก่อนจะกล่าวด้วยถ้อยคำสุภาพ
“น้ำทิพย์อมฤทธิ์ เร็วเข้ารีบไปนำหยกนิลมาให้ผู้นำจ้าว5หยกนิล”
“ดีสมกับที่ได้รับฉายาว่าตาทองคำเอี้ยเซียว ไม่เลวเลย”กล่าวจบจ้าวเทียนไห่รับตั๋วเงินแล้วมันเดินจากไปในห้องรับรองส่วนตัวทันที