บทที่ 58 พบพานสหายเก่า
“ตกลง...ถ้าข้าคลายความสงสัยเกี่ยวกับตระกูลมู่ได้ก่อนงานประลองเลือกคู่จะเริ่มขึ้น ข้าจะได้ไม่ต้องเข้าไปวุ่นวายการแต่งงานของนางและถ้านางได้พบคู่ครองที่เหมาะสมข้าจะได้มีคำตอบให้แก่ญาติของนาง”
ได้ยินเช่นนั้น จินเหล่าต้ารีบกล่าวถามบางอย่างออกมา“พี่ชายหนิง ท่านเป็นคนของตระกูลไหน?”
“ข้านั้นไร้แซ่ ไร้ตระกูล เจ้ามีเรื่องอันใด?” หนิงเทียนถามออก
“แย่ละสิ งานประลองเลือกคู่ของตระกูลมู่ไม่อนุญาตให้ผู้คนเร่รอนไร้ตระกูลเข้าชมได้” กล่าวจบจินเหล่าต้าใช้ความคิดอยู่สองนานก่อนจะกล่าวต่อ
“เอาอย่างนี้พี่ชายหนิงท่านก่อตั้งตระกูลขึ้นในเมืองฉางผิงเลยเป็นอย่างไร ข้าจะช่วยท่านเอง”
“ก่อตั้งตระกูลหรือ?” หนิงเทียนรู้สึกเห็นด้วยกับความคิดของจินเหล่าต้า ใบหน้าที่เย็นชาของมันแปรเปลี่ยนไป พร้อมกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม “ดี ข้าจะก่อตั้งตระกูล ซือหม่า ขึ้นมา”
“ซือหม่า เป็นชื่อที่แปลกอยู่ไม่น้อย”จินเหล่าต้าพึมพำอยู่เล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อ “เรื่องแรกที่ท่านต้องทำคือการก่อสร้างคฤหาสน์ตระกูลซือหม่าขึ้นมา” กล่าวจบมันตบไปยังหน้าขาของมันเสียงดัง
“ช่างประจวบเหมาะอะไรเช่นนี้ พรุ่งนี้สมาคมการค้าจ้าวสมุทรสาขาเมืองฉางผิงจะจัดงานประมูลประจำปีขึ้น พวกเราสามารถไปเตรียมหาของสำหรับตระกูลซือหม่ากันได้ที่นั้น”
หนิงเทียนมองไปยังจินเหล่าต้าด้วยรู้สึกประทับใจมากขึ้นเล็กน้อย
ด้วยลักษณะการคิดอ่านของมันนั้นทำให้หนิงเทียนคิดถึง กุนซือเฒ่าในชีวิตก่อนของมันอยู่ไม่น้อย แค่เพียงชั่ววูบของความคิดความเศร้าจางๆปรากฎในแววตามัน
ไม่นานนัก อาหารและสุราถูกยกขึ้นมาวางอยู่เบื้องหน้าก่อนที่พวกมันทั้งสามจะร่ำสุราและเริ่มกินอาหาร
ในระหว่างมื้ออาหารนั้น กลุ่มคนจำนวนหนึ่งเดินขึ้นมาจากบันได
“พี่เหอ เหลาอาหารชิงเยี่ยนเป็นเหลาอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฉางผิงเรา บนชั้นสองของที่นี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้ทั่วทั้งเมืองฉางผิง ดีจริงๆที่ท่านมาก่อนงานประลองเลือกคู่ถึงสองสัปดาห์
ข้าจะได้พาท่านท่องเที่ยวทั่วฉางผิง บุกบั่นทุกหอโคมเขียวก่อนที่ท่านจะได้แต่งงานกับแม่นางมู่เป็นอย่างไร”
เสียงที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีกำลังกล่าวคำพูดเหล่านี้ออกมา มันคือ จ้าวหยางสหายเก่าของหนิงเทียนในขบวนคาราวานนั้นเอง
“ประเสริฐยิ่งนัก เจ้าทั้งสองเป็นน้องชายทีดีจริงๆ ถ้าเจ้ามีปัญหาอันใดให้บอกพี่ชายคนนี้ได้เลย” บุรุษที่ถูกเรียกว่าพี่ชายเหอกำลังกล่าวกับ จ้าวหยางและชายหนุ่มในชุดขาวที่เดินตามหลังมา
"ไปพวกเราเข้าไปกินอาหารกันเถอะ”
“ขอบคุณมากพี่ใหญ่เหอ” เสียงของชายหนุ่มในชุดขาวกล่าวตอบ ชายหนุ่มผู้นี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นไกลนัก มันคือประมุขน้อยของสำนักคุ้มกันไป๋หลง ซินเฉา
“น้องซินถึงแม้ว่าการเป็นเจ้าสำนักคุ้มภัยไป๋หลงจะมีเกรียติก็จริง แต่ด้วยความสามารถของเจ้าแล้วสามารถเข้าร่วมสำนักดาบศิลาของข้าได้สบายๆ
และในอนาคตเมื่อข้าเหอสุ่ยได้ก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าสำนัก น้องซินเจ้าจะเป็นรองเจ้าสำนัก และเจ้าน้องจ้าว เจ้าจะกลายเป็นที่ปรึกษาของข้า”
กล่าวจบพวกมันทั้งสามหัวเราะกันเสียงดัง เมื่อพวกทั้งสามกำลังจะนั่งลงบนโต๊ะที่เสี่ยวเอ้อได้จัดเตรียมไว้ให้ จ้าวหยางที่กำลังจะกล่าวอะไร มันถึงกับขมวดคิ้วเมื่อมองไปยังกลุ่มชายหญิงที่อยู่โต๊ะถัดไป
จ้าวหยางใช้มือขยี้ตาของมันอีกครั้งราวกับว่าการมองครั้งแรกเป็นเพียงภาพลวงตา เมื่อมันจับจ้องไปอีกคร่าหนึ่ง ดวงตาของมันเปิดกว้างขึ้น มันกล่าวด้วยน้ำเสียงวิตก
‘พี่ซิน ทำไมมัน มันยังไม่ตาย’ จ้าวหยางกระตุกมือของซินเฉาเบาๆให้มันมองไปยังที่เดียวกัน เมื่อซินเฉามองไปยังหนิงเทียนดวงตาของมันหรี่แคบลง
เหอสุ่ยที่สังเกตได้ถึงท่าทีของทั้งคู่จึงกล่าวถาม “น้องซิน น้องจ้าว พวกมันเป็นใคร”
ซินเฉากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็น“มันเป็นศัตรูของพวกเรา ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามเรามีหนี้แค้นกับน้องจ้าวอยู่”
“หืมม์ พวกมันเป็นศัตรูของเจ้า ก็เท่ากับเป็นศัตรูของข้าเหอสุ่ย” มันกล่าวด้วยเสียงฉะฉาน พร้อมกับสายตาของมันที่มองไปยังเสี่ยวซวงอย่างไม่วางตาก่อนที่จะก้าวเดินไปยังกลุ่มของหนิงเทียนด้วยท่าทีดุร้าย
หนิงเทียนมองไปยังการมาถึงของทั้งสาม มันยิ้มออกด้วยมุมปากขึ้นมาอย่างน่ากลัว
‘ในที่สุดข้าก็พบลูกหนี้ของข้า’ ก่อนจะวางตะเกียบทั้งสองลงกับโต๊ะ พร้อมทั้งจับจ้องไปยังกลุ่มผู้มาเยือน
ขณะที่เสี่ยวซวงและจินเหล่าต้า ยังคงคีบอาหารเข้าปากอย่างไม่ใสใจ
พวกมันทั้งสองรู้ในความสามารถของหนิงเทียนเป็นอย่างดี ตราบใดที่ยังไม่มีคำสั่งใดๆพวกมันจะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งอย่างแน่นอน
จ้าวหยางมองไปยังหนิงเทียนด้วยสายตาดูถูกก่อนจะยิ้มเยาะขึ้น “เจ้าเด็กน้อย เจ้าโชคดีจริงๆที่ไม่ตายด้วยน้ำมือลั่วผอ
เห็นทีหยิ่งผยองไม่กลัวตายลั่วผอจะมีดีแต่ชื่อเสียแล้ว ถึงไม่สามารถฆ่า ทั้งหลี่เฟิงและเจ้าได้ให้ตายได้”
“ผิดแล้ว มันไม่ใช่มีดีแต่ชื่อแต่บัดนี้มันเหลือแต่ชื่อเท่านั้น” หนิงเทียนกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก
“น่าสนใจ น่าสนใจ เจ้าเด็กคนนี้ไม่หวั่นกลัวแม้แต่ชื่อของลั่วผอ ช่างหยิ่งทะนงเสียจริง”เหอสุ่ยกล่าวออกขณะที่สายตาของมันจับจ้องไปยังใบหน้าของเสี่ยวซวงอย่างไม่วางตา
“เจ้าขยะ ถ้าเจ้านำสัญญาหนี้ของน้องจ้าวออกมา ข้าซินเฉารับปากว่าจะไม่ตามตอแยเจ้าอีกในเมืองฉางผิงนี้ แต่ถ้าเจ้าปฎิเสธ เจ้าควรที่จะรู้ถึงผลที่ตามมา”
หนิงเทียนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย“ไม่มีปัญหา...แค่คืนสัญญาหนี้ให้แก่เจ้าเท่านั้นทำไมจะไม่ได้? แค่เพียงพวกเจ้านำ10ล้านเหรียญทองมากองตรงหน้าข้า เจ้าสามารถนำสัญญาหนี้กลับไปได้”
ได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของซินเฉาบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ
ฮ่าฮ่าฮาๆ “เจ้าขยะตัวนี้ช่างตลกยิ่งนัก” เสียงหัวเราะของเหอสุ่ยดังไปทั่วเหลาอาหาร ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดุร้าย
“ขยะที่ไม่มีแม้แต่ลมปราณอย่างเจ้ากล้าที่จะไม่ฟังคำพูดของน้องชายข้าแสดงว่าเจ้าไม่รักชีวิตน้อยๆของตัวเองแล้ว”
คราวนี้เหอสุ่ยกล่าวออกด้วยน้ำเสียงที่ปนไปด้วยพลังลมปราณของผู้ฝึกตนแดนแห่งปราชญ์
“เจ้าเด็กพิการถ้าเจ้าวางสัญญาหนี้ของน้องชายข้าไว้ และ ทิ้งผู้หญิงด้านข้างเจ้าไป ข้าจะไว้ชีวิตน้อยๆของเจ้า”
หนิงเทียนยังคงสีหน้าเรียบเฉยอยู่เช่นเดิม มันยกจอกสุราขึ้นมาจิบอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะกล่าวออกด้วยเสียงที่เป็นปกติ
“จินเหล่าต้า เจ้าแสดงฝีมือของเจ้าให้ข้าเห็นหน่อยเป็นไง?” กล่าวจบหนิงเทียนพลางหยิบตระเกียบขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะคีบอาหารเข้าปากอย่างช้าๆ
จินเหลาต้าได้ยินเช่นนั้น มันที่กำลังนั่งหันหลังให้ผู้มาเยือนทั้งสามกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มขัดแย้งกับคำพูดที่มันกล่าวออกมา
“สุนัขตระกูลจ้าวและขยะตระกูลซิน กล้าพ่นน้ำลายอยู่เหนือศีรษะข้า?”
กล่าวจบมันหันร่างไปยังผู้มาเยือนก่อนจะยกยิ้มขึ้น “อ่อที่สุนัขทั้งสองตัวกล้าเห่าไม่เลือกที่เป็นเพราะมีควายถึกนิกายดาบหักเป็นผู้จูงสายโซ่นั้นเอง”
เมื่อเหอสุ่ยมองไปยังจินเหลาต้าที่กำลังหันหน้ามาทางพวกมันนั้นถึงกลับต้องหรี่ตาแคบลง “สารเลวแซ่จิน เจ้าเองก็อยู่ที่นี้ด้วยเช่นกัน ดีแล้วข้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลาตามหาตัวเจ้าอีก”
“ข้าเองก็อยากพบเจ้าอยู่พอดีเช่นกันเหอสุ่ย ข้าจะได้ฝากความคิดถึงของข้าไปให้น้องสาวของเจ้า....” มุมปากของจินเหล่าต้ายกยิ้มอย่างมีเลศนัย
“บัดซบ!!! กล้าดีอย่างไรมายุ่งกับน้องสาวของข้า” เหอสุ่ยตะโกนด้วยความโกรธ ทั่วร่างของมันปกคลุมไปด้วยลมปราณสีน้ำตาลเข้ม
มันปล่อยหมัดออกไปยังจินเหล่าต้าด้วยพลังของผู้ฝึกในแดนแห่งปราชญ์ขั้นที่2 ทันที
“เหนือกว่าข้าระดับหนึ่งแล้วเป็นอย่างไร เจ้าก็แค่พวกที่เกิดก่อนฝึกก่อนเท่านั้น”กล่าวจบดวงตาของจินเหล่าต้าเปล่งประกายด้วยความหนาวเย็น
เท้าทั้งสองของมันยกขึ้นปะทะกับหมัดของเหอสุ่ย โดยที่ก้นของจินเหล่าต้าไม่ได้ยกขึ้นจากเก้าอี้เลยแม้แต่น้อย
ทันใดนั้น อุณหภูมิภายในเหลาอาหารค่อยๆสูงขึ้น เหล้าในไห่ค่อยๆเดือดขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
“ทักษะจิตอัคคี ทักษะระดับปราชญ์ขั้นกลาง” ซินเฉามองไปยังจินเหล่าต้าด้วยประกายตาปรารถนา มันนั้นเป็นอันดับ3ของเมืองฉางผิงเพราะขาดทักษะระดับปราชญ์
เหอสุ่ยไม่ได้เกรงกลัวทักษะระดับปราชญ์เลยแม้แต่น้อย มันวาดมือเรียกดาบขนาดใหญ่กว่าตัวของมันถึงสามเท่าออกมา “ดาบตัดภูผา” อาวุธระดับวีรชนที่บิดามันมอบไว้ให้
ด้วยอานุภาพของอาวุธลมปราณระดับวีรชนที่เหอสุ่ยนำออกมานั้น เพียงพอที่จะทำให้จินเหล่าต้าต้องยกตัวขึ้นจากเก้าอี้พร้อมตั้งท่าเตรียมพร้อมอย่างไม่ประมาท
อาวุธระดับวีรชนนั้นทั่วทั้งเมืองฉางผิงหาได้เพียงสองเล่มเท่านั้น แต่เหอสุ่ยกลับนำมันออกมาโดยไม่เกรงกลัวว่าจะถูกผู้ใดแย่งไป เพียงเท่านี้ก็แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และความมั่งคั่งของสำนักดาบศิลาได้แล้ว
เดิมทีเสี่ยวซวงที่มองดูการต่อสู้อย่างไม่สนใจกลับแปรเปลี่ยนสายตาที่ไร้อารมณ์ของนางจับจ้องไปยังดาบตัดภูผา
ขณะเดียวกัน เหอสุ่ยฟาดดาบตัดภูผาออกด้วยพลังทั้งหมด “คลื่นถล่มศิลา” การโจมตีด้วยคลื่นดาบของเหอสุ่ยนั้นรุนแรงถึงขนาดพัดผ่านโต๊ะเก้าอี้รอบๆให้แหลกกระจายไปพร้อมกับการวาดดาบครั้งนี้
เวลานี้จินเหล่าต้าก็ได้ไม่ประมาทแต่อย่างใด มันเรียกอัคคีสีแดงออกมาสองจุดพร้อมทั้งสะบัดมือปล่อยออก คลื่นดาบและก้อนอัคคีเข้าปะทะกันอีกครั้ง ลมพายุที่เกรี้ยวกราดซัดก้อนอัคคีของจินเหล่าต้าดับลง
จากเดิมมันเสียเปรียบเพียงเล็กน้อยจากระดับบ่มเพาะที่ต่างกัน1ขั้น แต่ในเวลานี้มันเสียเปรียบมากขึ้นไปอีกจากอาวุธระดับวีรชนที่เหอสุ่ยนำออกมา
ในการปะทะกันครั้งนี้จินเหล่าต้าต้องถอยหลังอย่างต่อเนืองถึง6ก้าว หลังของมันกระแทกกับกำแพงของเหลาอาหารชิงเยี่ยนเสียงดัง ปัง!!!!
ขณะเดียวกันเหอสุ่ยที่เหมือนจะชนะในการประลองกับปรากฏรอยเลือดขึ้นมาบนหน้าอกมันสองจุด
“สารเลวซ่อนอาวุธลับมากับเปลวไฟ” ด้วยอาการบาดเจ็บของมันส่งผลให้โทสะของมันพุ่งขึ้นสูง ดังนั้นมันจึงกระโดดไปข้างหน้าและลงมือฟาดดาบตัดภูผาอีกครั้ง
จินเหล่าต้าที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากการปะทะกันครั้งแรก มันรีบทะยานตัววาดมือสร้างเกราะปราณอัคคีขึ้นป้องกัน คมดาบนั้น
ปัง!!! เสียงของเกราะปราณอัคคีแตกออก ขณะที่ร่างของจินเหล่าต้าหายไป มันอาศัยประกายไฟอำพรางกาย หลบซ่อนตัว อ้อมไปอยู่ด้านหลังของเหอสุ่ย ก่อนจะใช้ฝ่ามืออันร้อนแรงดุจเปลวไฟ ซัดไปยังด้านหลังออกเหอสุ่ย
หนิงเทียนอดไม่ได้ที่จะพึมพำออก “เจ้าเด็กนี้เป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง”
แต่ถึงอย่างนั้นเหอสุ่ยเองก็เป็นถึงว่าที่ผู้นำคนต่อไปของสำนักดาบศิลา มันไม่ยอมเสียท่าแต่ฝ่ายเดียว มันกัดฟันแน่นกลืนโลหิตลงคอและฟาดดาบตัดภูผา ใส่จินเหล่าต้าในเวลาเดียวกัน
ดวงตาของจินเหล่าต้าเบิกกว้าง มันรีบทะยานร่างถอยออกอย่างเร็ว รอยเลือดจางๆซึมออกมาจากหน้าผากของมันที่ปรากฎเป็นแผลยาว
ด้วยสัญชาตญาณของมัน จินเหล่าต้าสามารถหลบดาบตัดภูผาได้เพียงเฉียดฉิวเท่านั้น แต่อย่างไรด้วยแรงอัดกระแทกของการฟาดดาบตัดภูผาที่เป็นอาวุธลมปราณในระดับวีรชนส่งผลให้ร่างของจินเหล่าต้ากระเด็นถอยไปไกล
ซินเฉาที่เฝ้ามองเห็นการณ์ด้วยสีหน้ามืดทมิฬ ก่อนที่มันจะพุ่งร่างราวสายฟ้าด้วยท่าเท้าเหยียบอากาศเข้าใส่จินเหล่าต้าจากด้านหลัง
เวลานี้ จินเหล่าต้าที่กระเด็นจากแรงอัดกระแทกของดาบตัดภูผา มันไม่สามารถป้องกันการลอบโจมตีของซินเฉาทางด้านหลังได้เลย
หนิงเทียนที่กำลังยกจอกสุราเข้าปากมันกล่าวออกด้วยสีหน้าไม่วิตกอันใด
“เสี่ยวซวง เจ้าไปออกกำลังกายเสียบ้าง วันๆเอาแต่กินกับเดินตามข้า ไม่นานนักเจ้าจะกลายเป็นสตรีที่อ้วนฉุ”
ได้ยินเช่นนี้ จิตสังหารของเสี่ยวซวงทะยานขึ้นสูงชั่วพริบตา ก่อนจะหายไปพร้อมกับร่างของนาง
เพียงไม่ถึงลมหายใจเดียวเสี่ยวซวงปรากฏกายขั้นกลางระหว่างซินเฉาและจินเหล่าต้าก่อนจะฟาดดาบยักษ์ในมือเข้าปะทะกับกายาเหล็กไหลของซินเฉา
ฉับ!!! แขนขวาของผู้ที่ถูกเรียกว่าประกายสีขาวแห่งฉางผิง ถูกตัดขาดจากร่างโดยทันที
จากนั้นเสี่ยวซวงยังไม่หยุดเคลื่อนไหว นางยังคงพุ่งทะยานด้วยท่าเท้าแปลกประหลาดก่อนจะไปปรากฎตัวอยู่ด้านหน้าของเหอสุ่ย
จากนั้นดาบยักษ์ของนางบั่นไปยังแขนขวาของเหอสุ่ยราวภาพซ้ำที่เกิดกับซินเฉาเมื่อครู่ ดาบตัดภูผากระเด็นออกพร้อมกับมือขวาที่ถูกตัดขาดจากเจ้าของร่าง
เสี่ยวซวงไม่ได้สนใจร่างของเหอสุ่ยแม้แต่น้อย นางหยุดโจมตีและบิดตัวเปลี่ยนทิศทางไปยังดาบตัดภูผาที่กระเด็นออกไป
นางก้มเก็บมันขึ้นมาจากพื้นพร้อมทั้งมองพินิจ หน้าหลังของตัวดาบอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเก็บมันใส่ฝักเหน็บไว้ด้านหลัง
จากนั้นนางโยนดาบยักษ์ของนางไปให้เหอสุ่ย พร้อมกล่าวด้วยเสียงเย็นชาไร้ซึ่งอารมณ์เพียงสองคำ “แลกกัน”
สิ้นเสียงของเสี่ยวซวง เหอสุ่ยส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาอย่างน่ากลัว ไม่รู้ว่าที่มันร้องดังเช่นนี้เป็นเพราะแขนขวาทีถูกตัดออกจนกลายเป็นคนพิการหรือเป็นเพราะดาบตัดภูผาอาวุธในแดนวีรชนของมันถูกแย่งชิงไปต่อหน้าตาต่อ
จ้าวหยางที่มองเห็นการณ์ตรงหน้าด้วยสีหน้าซีดขาว มันนั้นรู้สึกขอบคุณตัวเองเป็นอย่างมากที่ไม่ได้พุ่งตัวออกไปไม่เช่นนั้นแล้ว มันคงไม่มีแขนไว้จับตะเกียบกินข้าวอีกต่อไป
จ้าวหยางนั้นค่อยๆเสือกเท้าถอยออกทีละน้อย จากนั้นมันรีบพุ่งร่างออกจากเหลาอาหารชิงเยี่ยนอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจสหายที่มันพึ่งจะเรียกพี่เรียกน้องเมื่อครู่แม้แต่น้อย
หนิงเทียนแย้มยิ้มขึ้นมาก่อนจะยันร่างลุกขึ้น“ข้าอิ่มแล้ว ปาหี่ระหว่างมื้ออาหารช่างสนุกยิ่งนัก ขอบคุณนายน้อยเหอที่มีจิตใจเมตตามอบอาวุธให้แก่ผู้ติดตามข้า
เช่นนั้นข้าจะแสดงความเมตตาต่อเจ้าคืนโดยการไว้ชีวิตและไม่ทำลายการบ่มเพาะของเจ้า แต่ถ้าเจ้ายังติดใจกับปัญหาในวันนี้อีก การพบกันอีกครั้งของพวกเราจะเป็นวันตายของพวกเจ้าทั้งสอง”
น้ำเสียงของหนิงเทียนเต็มไปด้วยจิตสังหารที่เย็นเยือกชวนให้ผู้ที่ได้ยินรู้สึกขนหัวลุกและชวนให้ผู้ที่ได้ฟังบังเกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนออกมา
หนิงเทียนยังคงกล่าวต่อว่า “ข้าขอเตือนเจ้าด้วยความหวังดี ถ้าเจ้ายังรักในความสะดวกสบายของการเป็นนายน้อยสำนักดาบศิลาอยู่ละก็ จงนำคำพูดของข้าไปบอกแก่บิดาของเจ้าว่า อย่าได้มายั่วยุข้า”