บทที่ 55 โอสถเรียกวิญญาณ
จินเหล่าต้ารีบกล่าวออกเสียงดัง "คำพูดของพวกเจ้าไร้สาระสิ้นดี ข้านะหรือมีความสามารถหลอมละลายตันเถียนผู้อื่นได้"
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ อยู่ๆมันเงียบลงโดยไม่ทราบสาเหตุคล้ายว่ามันกำลังมีเรื่องใดอยู่ในใจ
ซางไห่เห็นท่าทีของจินเหล่าต้า กอปรกับสถานการณ์ที่กำลังตึงเครียดเช่นนี้ มันจึงรีบกล่าวออก “ในเมื่อหลักฐานชี้ไปเช่นนี้ เห็นที่จะเลี่ยงไม่ได้ ข้าคงต้องขอให้นายน้อยจินเป็นแขกในจวนของข้าจนกว่าท่านเจ้าเมืองจะกลับมา”
“ซางไห่เจ้ากล้า?” จินเหยาจางตวาดด้วยโทสะ
เมื่อหานเจิงเห็นโทสะของจินเหยาจาง มันยกยิ้มด้วยความสะใจ ก่อนจะกล่าวอย่างดูถูก“ตระกูลจินของเจ้า เป็นผู้ฝึกตนป่าเถื่อนที่ไม่เคารพกฎบ้านเมืองหรืออย่างไร”
“ผู้อาวุโสจินเมืองฉางผิงก็มีกฎของมัน ถ้าพวกเราเองยังไม่เคารพกฎ เมืองของเราจะต่างอะไรกับ ชนเผ่าหรือเมืองอื่นๆรอบนอก” ซางไห่กล่าวเสริม
ในขณะที่บรรยากาศกำลังตึงเครียด จู่ๆเสียงปรบมือ ดังขึ้นมา
แปะ แปะ แปะ เสียงนั้นดังมาจากสองมือของหนิงเทียน มันก้าวออกไปพร้อมกล่าวออก “แม้ฉางผิงจะเป็นเมืองใหญ่ แต่สมองของขุนนางในเมืองไม่ได้ใหญ่ตามไปด้วย”
มันหันหน้าไปทางซางไห่พร้อมกล่าวต่อ “ขออภัย ขออภัยข้าไม่ได้มีเจตนาจะกล่าวถึงผู้พิทักษ์แดนฟ้าที่ยิ่งใหญ่ ข้าเพียงพลั้งปากออกไปเพราะเห็นว่าเรื่องเล็กน้อยเท่านี้กับเป็นปัญหาที่ตัดสินไม่ได้”
“เรื่องเล็กน้อย เด็กอย่างเจ้าจะไปรู้อะไร”ซางไห่คำรามออกมาเสียงดังมันไม่คิดว่าจะถูกตำหนิโดยเด็กน้อยเช่นนี้
“สหายน้อยเจ้ามีวิธี?” จินเหยาจางกล่าวถามออกทันที
“ง่ายนิดเดียว แค่เรียกดวงวิญญาณนางขึ้นมาถา ว่าใครกันแน่เป็นผู้สังหาร เพียงเท่านี้พวกท่านจะได้ไม่ต้องมาทะเลาะกันอีก”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ฉางอวี้ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น ฮ่าฮาฮาๆๆ
“ตระกูลจินมีบุคคลเสียสติเช่นนี้ นับว่าทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”
คำพูดของหนิงเทียนนั้นสร้างความตลกขบขันให้แก่ผู้คนทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่ซ่างไหยังเผลอยกยิ้มที่มุมปากขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
จะมีเพียงจินเหยาจางเท่านั้นที่ขมวดคิ้วเข้าหากันโดยไม่ได้กล่าวอันใดออกมา
หนิงเทียนจับจ้องไปยังฉางอวี้ พร้อมกล่าวตอบด้วยเสียงเรียบนิ่ง“มีเรื่องใดน่าตลก?”
“ข้าจะบอกเจ้าให้เอาบุญ โลกนี้ไม่มีดวงวิญญาณอะไรทั้งนั้น เผ่ามนุษย์และเผ่าวิญญาณแตกต่างชัดเจน
หรือเจ้ากำลังจะบอกข้าว่าเมื่อเผ่ามนุษย์เราตายแล้วจะกลายเป็นเผ่าวิญญาณเช่นนั้น ไม่ใช่เรื่องน่าขำหรอกหรือ?” ฉางอวี้กล่าวด้วยน้ำเสียงดูถูก
ซ่างไห มองไปยังหนิงเทียนด้วยสายตาเวทนามันรีบกล่าวหมายจะช่วยลดความอับอายของเด็กคนนี้ลง
“เด็กน้อยเจ้าอาจจะยังไม่รู้เรื่องในโลกนี้ดีนัก มนุษย์เรานั้นแตกต่างจากพวกสัตว์อสูร
ถึงแม้มนุษย์จะมีดวงวิญญาณอยู่ก็จริง แต่ดวงวิญญาณของมนุษย์เราจะแตกสลายไปพร้อมกับลมหายใจสุดท้ายของตัวมัน
มีเพียงแต่ผู้ที่อยู่จุดสูงสุดแห่งการฝึกตน เหล่าตัวตนจักรพรรดิเท่านั้นที่สามารถทิ้งเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของตนเองไว้เป็นมรดกพลังได้
แต่ฮูหยินของนายน้อยฉางเป็นเพียงผู้ฝึกตนแดนองครักษ์เท่านั้น ด้วยเหตุนี้สิ่งที่เจ้ากล่าวมาเลยไม่มีทางเป็นไปได้”
ได้ยินทั้งฉางอวี้และซ่างไห่ พ่นน้ำลายออกมาเช่นนี้ หนิงเทียนยกยิ้มมุมปากขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงที่เย็นเฉียบ “เรื่องที่พวกเจ้าไม่รู้ ไม่ได้หมายความว่าเป็นไปไม่ได้”
ได้ยินคำกล่าวของหนิงเทียน คิ้วของฉางอวี้ขมวดเข้าหากัน ดวงตาของมันหรี่แคบเป็นประกาย มันกล่าวออกด้วยโทสะ“ผู้เฒ่าจิน เหตุใดถึงพาคนสติเลอะเลือนมายังที่แห่งนี้”
ไม่รอให้จินเหยาจางได้กล่าวอะไร หนิงเทียนยกนิ้วชี้ไปยังใบหน้าของฉางอวี้ “เจ้าหน้าวัว วันนี้ข้าจะช่วยเปิดกะลาน้อยๆที่ครอบหัวเจ้าออก”
“บัดซบ เจ้าสารเลว เจ้ากำลังด่าใคร” ฉางอวี้เป็นถึงบุตรของเจ้าเมือง ตั้งแต่เล็กจนโต มันยังไม่เคยถูกผู้ใดก่นด่าต่อหน้าเช่นนี้
อีกทั้งบุคคลที่กำลังก่นด่ามันอยู่นั้น เป็นเพียงเด็กพิการที่ไม่มีแม้แต่พลังลมปราณ
เท่านี้ก็ทำให้สติของมันวูบหายไปและถูกแทนที่ด้วยโทสะ มันก้าวไปเบื้องหน้าถ้าไม่ได้สังสอนเจ้าเด็กนี้คงไม่สามารถดับไฟโทสะลงได้
เวลาเดียวกันเสี่ยวซวงกุมดาบในมือแน่น ขณะที่กำลังจะขยับมือหมายจะบั่นไปยังคอของโคถึกตัวนี้ กลับถูกหนิงเทียนยกมือห้ามไว้
ขณะเดียวกันจินเหยาจาง รีบก้าวออกมายืนอยู่เบื้องหน้าของหนิงเทียนในทันที พร้อมกล่าวถาม “นายน้อยฉางท่านคิดจะทำอะไร”
ฉางอวี้ที่ถูกโทสะครอบงำสติ มันคำรามออกเสียงดัง “ข้าจะสั่งสอนมัน ไอ้แก่อย่าได้เข้ามายุ่ง”
เวลานี้มันไม่เหลือความเคารพใดๆให้แก่จินเหยาจางที่เป็นยอดยุทธในแดนวีรชนเลยแม้แต่น้อย ภายใต้อาคมกักพลัง พวกมันล้วนมีพลังในแดนนักรบเท่ากันทั้งสิ้น
ก่อนที่เรื่องราวกำลังจะเลวร้ายลงไปมากกว่านี้ ซ่างไหทุบโต๊ะเสียงดัง “ข้าเป็นผู้ตัดสินเรื่องนี้ ถ้าพวกท่านยังไม่ให้ความเคารพต่อข้า
ก็อย่าได้หาว่าข้าไม่ให้ความเคารพคนผู้นั้นเช่นกัน” ซางไห่กล่าวออกอย่างมีโทสะ
ได้ยินนั้นจินเหยาจางพลันหยุดเท้าลง พร้อมกับยกมือทั้งสองขึ้นประสานกันไปทางซางไห่ ในขณะที่ใบหน้าของมันจับจ้องไปยังเด็กคราวหลานอย่างฉางอวี้ไม่กระพริบ
“ท่านซางไห่ ข้าต้องขอโทษแทนศิษย์ของข้าด้วย” หานเจิงกล่าวออกพร้อมกับดึงร่างของฉางอวี้กลับไป
ซางไห่กล่าวกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ผู้อาวุโสจิน ข้าจะให้เโอกาสจ้าเด็กนี้ได้อธิบาย แต่ท่านต้องให้สัญญากับข้า ถ้าสิ่งที่เจ้าเด็กนี้กล่าวมาเป็นคำพูดที่ไร้สาระฟังไม่ขึ้น
ท่านจะต้องยินยอมให้ข้าต้องคุมตัวนายน้อยจินไว้ แล้วพวกเราจะมาตัดสินกันอีกทีเมื่อท่านเจ้าเมืองกลับมาจากอาณาจักรฟ้าสวรรค์”
ซางไห่รีบหาทางลงให้แก่ทุกฝ่าย การไม่หักหาญน้ำใจตระกูลจินเกินไป จะเป็นผลดีแก่เมืองฉางผิงและตัวมันด้วยเช่นกัน
ตระกูลจินนั้นแม้จะไม่ใช่สามตระกูลใหญ่ก็จริง แต่เจ้าบ้านหมู่ตึกตระกูลจิน จินเจียงหยานั้นเป็นถึงผู้ปรุงโอสถระดับโลกที่8
มันเป็นคนเดียวในเมืองฉางผิงที่สามารถปรุง โอสถโลกจิตปัญญา โอสถที่ใช้ในการทะลวงระดับเข้าสู่แดนแห่งปราชญ์ได้
ถ้าจะบอกว่าไม่มีจินเจียงหยา ทรัพยากรมนุษย์ในแดนแห่งปราชญ์ของเมืองฉางผิงจะลดลงกึ่งหนึ่งก็ไม่ผิดนัก
จินเหยาจางมองไปยังใบหน้าของหนิงเทียนที่เรียบเฉยและไม่มีอาการวิตกใดๆแม้แต่น้อยเมื่ออยู่ท่ามกลางผู้ฝึกตนในแดนวีรชน
เมื่อเห็นดังนั้น มันจึงครุ่นคิดถึงผลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างไม่เต็มเสียงนัก “ตกลง”
...
ได้ยินเช่นนั้นซางไห่หันไปกล่าวแก่หนิงเทียน “เจ้าเด็กน้อยเจ้ามีวิธีไถ่ถามดวงวิญญาณของฮูหยินรองอย่างไร” มันกล่าวถามออกอย่างไม่ใส่ใจนักมันรู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไร้สาระสิ้นดี
หนิงเทียนก้าวเดินไปหยุดอยู่ตรงกลางก่อนจะเปล่งเสียงออก“บ้านเกิดของข้า มีโอสถหนึ่งที่ชื่อว่าโอสถเรียกวิญญาณ มันสามารถเรียกวิญญาณของผู้ที่ตายไปแล้วกลับเข้าร่างเดิมได้ภายใน1เค่อ”
“เด็กน้อยเจ้ากล่าววาจาอันใดออกมา โอสถเรียกวิญญาณที่เจ้าว่า ข้าไม่เคยได้ยินแม้แต่ชื่อของมัน”ซางไห่กล่าวด้วยน้ำเสียงปกติแต่ผู้คนโดยรอบสามารถบอกได้เลยว่ามันพยามที่จะกลั้นหัวเราะอย่างสุดชีวิต
หานเจิงคำรามลมหายใจออกทางจมูกด้วยโทสะ "ในตำราแพทย์ทั้งหมดที่ข้าได้ศึกษามา มีเพียงโอสถในตำนานอย่างเก้าทิวาเท่านั้นที่สามารถฝืนลิขิตฟ้า เรียกวิญญาณผู้ตายกลับเข้าร่างได้
เจ้าเด็กน้อยเห็นได้ชัดว่าเจ้ากำลังโกหกพวกเรา” หานเจิงรีบกล่าวขัด ในฐานะปรมาจารย์โอสถมันไม่สามารถทนฟังเรื่องราวไร้สาระเช่นนี้ออกมาได้
“ท่านไม่รู้ ไม่ได้หมายความว่าโลกนี้ไม่มี ถ้าพวกเจ้ายังสงสัย ข้าจะปรุงมันออกมาให้ทุกคนได้เห็นเอง” กล่าวจบหนิงเทียนหันไปทาง จินเหยาจาง
“ผู้อาวุโสจิน ข้าขอยืมเตาปรุงยาที่กว้างไม่ต่ำกว่า10ฉื่อและสูงมากกว่า1จั้งได้หรือไม่”
“สหายน้อย เตาปรุงยาที่ใหญ่เช่นนั้นมีแต่ในหมู่ตึกตระกูลจินของเราเท่านั้น ข้าจะรีบให้คนไปนำมันมาให้แก่เจ้าทันที”
จินเหล่าต้าที่ถูกทหารสองคนคุมตัวอยู่ซ้ายขวา มองไปยังหนิงเทียนพร้อมโค้งศีรษะลง
ในระหว่างที่รอคอยเตาปรุงยานั้นหนิงเทียนได้กลับไปนั่งข้างๆเสี่ยวซวงด้วยสีหน้าสบายใจ มันไม่มีความตึงเครียดใดๆเลย
ใช้เวลาเพียงไม่นานหนัก เตาปรุงโอสถขนาดใหญ่เท่าสองตัวคนตั้งตะหง่านอยู่ใจกลางห้อง
หานเจิงนั้นยกยิ้มอย่างเหยียดหยาม “เด็กน้อยเห็นได้ชัดว่าเจ้านั้นไม่มีพลังลมปราณ เจ้าจะสามารถจุดไฟหลอมโอสถได้อย่างไร”
“ข้าหวังว่ามันคงไม่ให้ทหารไปนำฝืนมาจุดไฟหรอกนะ”ฉางอวี้กล่าวกับหานเจิงผู้เป็นอาจารย์อย่างขบขัน
“ไม่จำเป็นต้องใช้พลังปราณ ข้าสามารถหยิบยืมไฟจากโลกแห่งวิญญาณได้”หนิงเทียนกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย ราวกับว่ามันเป็นเรื่องง่ายๆถ้าต้องทำมัน
“ดีดี ข้าอยากเห็นนักว่าไฟแห่งโลกวิญญาณมีหน้าตาเป็นอย่างไร”หานเจิงกล่าวด้วยน้ำเสียงดูถูกเห็นได้ชัดว่าไฟแห่งโลกวิญญาณอะไรมันเป็นเพียงแค่เรื่องหลอกเด็กเท่านั้น
ซางไห่ที่นั่งชมเหตุการณ์อยู่นั้น ระบายลมหายใจออกยาว ภายในใจครุ่นคิด ‘เจ้าเด็กนี้ต้องสติไม่ดีแน่ๆ’
หนิงเทียนยังคงยืนนิ่งอยู่หน้าเตาหลอมโอสถอย่างไม่เคลื่อนไหวใดๆ
จู่ๆบรรยากาศภายในห้องแปรเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นราวกับมีตาที่มองไม่เห็นกำลังจับจ้องพวกมันทุกคนอยู่
ทหารบางคนก็เกิดอาการขาสั่น บางคนขนในกายลุกชันขึ้น ถึงแม้จะมองไม่เห็นแต่พวกมันทุกคนรับรู้ด้วยสัมผัส
เหงื่อเม็ดขนาดเท่าปลายนิ้วก้อยปรากฏขึ้นบนหน้าผากของหนิงเทียนหลายเม็ด ก่อนที่หนิงเทียนจะเปล่งน้ำเสียงด้วยความยากลำบาก“ไฟแห่งวิญญาณลุกโฉนขึ้นแล้ว”
ทุกคนในห้องนั้นเบิกดวงตากว้าง แม้แต่มุมปากของจินเหยาจางยังกระตุกถี่ๆ
เวลานี้พวกมันเห็นพร้อมกันเป็นสายตาเดียวว่าบนเตาหลอมโอสถไม่ได้มีเปลวไฟอันใดเกิดขึ้น จะมีก็แต่เพียงแต่ไอร้อนจางๆที่สัมผัสได้กับผิวหนังเท่านั้น
ดวงตาของซางไห่หรี่แคบลงเมื่อมองไปยังเตาโอสถขนาดยักษ์ เวลานี้มันแปรเปลี่ยนลักษณะจากที่นั่งดูอย่างไม่แยแสกลายเป็นจับจ้องอย่างไม่วางตา
“เจ้า...เจ้าอย่าได้โกหก ข้าไม่เห็นไฟแห่งวิญญาณอะไรนั้นเลย”ฉางอวี้กล่าวออก
แม้มันจะมองไม่เห็น แต่ด้วยบรรยากาศที่เยือกเย็น และ ความร้อนจางๆที่กระทบกับผิวของมันทำให้เวลานี้มันกล่าวถามออกอย่างไม่เต็มเสียงนัก
“แน่นอน พวกหน้าโง่ไร้พรสวรรค์ไม่มีทางมองเห็นเปลวไฟแห่งวิญญาณที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ได้ อย่าได้ถามมากอีก ข้าต้องใช้สมาธิ”
หนิงเทียนวาดมืออย่างเข้มแข็ง ฝ่ามือของมันสะบัดจากบนลงล่างและล่างขึ้นบนอย่างสวยงาม
บางครั้งกำมือ บางครั้งคลายมือชวนให้ผู้ที่ได้มองดู บังเกิดความเลื่อมใสและศรัทธาในการออกท่าของหนิงเทียนเป็นอย่างมาก
แม้แต่จินเหยาจางยังอดไม่ได้ที่จะพึมพำออกมา “แข็งแกร่ง อ่อนช้อย ทรงพลัง ทักษะวาดมือระดับสูง การควบคุมวัตถุดิบบางทีอาจเหนือกว่าเจียงหยาด้วยซ้ำ”
ในการปรุงโอสถชนิดเดียวกัน มันมีเส้นทางการสรรสร้างนับร้อยรูปแบบ การไม่ถามถึงสูตรยาของอีกฝ่ายนั้นเป็นกฎที่ผู้ปรุุงโอสถเคารพกันเป็นอย่างดี
การที่พวกมันถามถึงวัตถุดิบของคนอื่น นับเป็นเรื่องที่เสียศักดิ์ศรีของผู้ปรุงโอสถเป็นอย่างยิ่ง
แต่เวลานี้หานเจิงอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามถึงวัตถุดิบในการปรุงโอสถเรียกวิญญาณของหนิงเทียน เห็นได้ชัดว่าในเตาปรุงยาของหนิงเทียนนั้นว่างเปล่า
ตัวมันเป็นถึงผู้ปรุงโอสถระดับโลกที่8 ยังไม่สามารถมองเห็นเปลวไฟแห่งวิญญาณและวัตถุดิบส่วนผสมภายในเตาได้เลย
มันจึงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่อยากเชื่อนัก “เจ้าเด็กเสียสติ ข้ายังไม่เห็นเจ้าใส่วัตถุดิบลงไปแม้แต่ชิ้นเดียว”
หนิงเทียนระบายลมหายใจด้วยความเอือมระอา“ข้าบอกแล้วว่าอย่าได้ถามมาก ข้าต้องใช้สมาธิ แต่เอาเถอะปู่คนนี้จะสั่งสอนหลานสักเล็กน้อย”
ในเมืองฉางผิงนั้นผู้ปรุงโอสถระดับโลกที่8 ได้รับความเคารพเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนในดินแดนวีรชน
ตัวของหานเจิงเองเป็นทั้งผู้ปรุงโอสถระดับ8และยังเป็นผู้ฝึกตนในแดนวีชน มันมีลูกศิษย์นับพันคน ผู้คนนับหน้าถือตานับหมื่นชีวิต
แต่วันนี้มันกลับถูกเด็กเสียสติเรียกมันว่าหลานและแทนตัวเองว่าปู่ ได้ยินเช่นนี้เส้นเลือดขนาดใหญ่หลายสายปรากฎบนหน้าผากของหานเจิง
หนิงเทียนยังคงกล่าวต่อไป "การปรุงโอสถเรียกวิญญาณนั้น วัตถุดิบหาได้ไม่ยากนัก แต่ว่าแม้ข้าจะบอกพวกเจ้าไป เจ้าก็ไม่มีวันปรุงมันขึ้นมาได้อยู่แล้ว
แต่ถึงอย่างไรวัตถุดิบพวกนี้ก็ไม่เป็นความลับอะไร ข้าจะให้ความรู้แก่หลานน้อยๆของข้าแล้วกัน รีบจดมันไว้ให้ดี"
“หญ้าวิญญาณแดง ดีงูสามหาง ดอกมรรคาหลงไหลและหนอนสมุทรแดงพันปี 4อย่างนี้คือวัตถุดิบปรุงโอสถเรียกวิญญาณ” หนิงเทียนกล่าวออกอย่างฉะฉาน
ได้ยินดังนั้นหานเจิงคำรามด้วยโทสะ“บัดซบวัตถุดิบพวกนี้ ถ้าโดนความร้อนมันจะกระจายเป็นไอพิษทั้งหมด เจ้าคิดว่าข้าโง่หรืออย่างไร”
สิ่งที่เจ้าเด็กนี้กล่าวมาไม่ใช่ว่ามีเจตนาต้องการสังหารมันหรอกหรือยิ่งคิดเช่นนั้นโทสะของหานเจิงยิ่งสูงขึ้น
“เจ้าไม่ได้ฟังที่ปู่คนนี้บอกหรอกหรือว่ามันคือโอสถแห่งโลกวิญญาณ ดวงวิญญาณนั้นไร้กายเนื้อ มันจะสามารถสัมผัสได้เช่นมนุษย์ปกติได้อย่างไร
วัตถุดิบทั้งหมดต้องเป็นวิญญาณวัตถุดิบด้วยเช่นกัน” หนิงเทียนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
จินเหล่าต้าที่ได้ยิน มันได้แต่ผงกหัวเห็นด้วยกับคำกล่าวของหนิงเทียน เวลานี้มันเลื่อมใสหนิงเทียนจากใจจริงแล้ว
เวลานี้ไอความร้อนเพิ่มสูงยิ่งขึ้น เสื้อของเหลาทหารเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ผ่านไปราวๆ2เค่อ หนิงเทียนยังคงจับจ้องไปยังเตาโอสถขนาดใหญ่เบื้องหน้ามันอย่างไม่วางตา
มือขวาและซ้ายโบกสะบัดอย่างต่อเนื่อง ไม่นานมันระบายลมหายใจออกก่อนที่จะคว้ามือหยิบอากาศออกมากำไว้แน่น “เรียบร้อยแล้วโอสถเรียกวิญญาณอยู่ภายในมือของข้าแล้ว”
“เด็กน้อยให้พวกเราได้ยลโฉมโอสถเรียกวิญญาณหน่อยได้หรือไม่?”สายตาของซางไห่จับจ้องไปยังมือขวาของหนิงเทียนที่กำไว้แน่น
“ขออภัยผู้พิทักษ์ฟ้า ถ้าข้าคลายมือออกเพียงนิดเดียว โอสถเรียกวิญญาณจะสลายไปกับอากาศทันที”
เมื่อกล่าวออกเช่นนี้ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยท่าทีวิตกราวกับว่าถ้ามันเผลอคลายแรงในมือออกความพยายามทั้งหมดจะสูญหายไป
“ถ้าข้ารู้ว่าเจ้ากำลังเล่นละครตบตาเราอยู่ ข้าจะฆ่าเจ้าที่มาดูถูกวิถีแห่งการปรุงยา” หานเจิงคำรามด้วยเสียงต่ำ จิตสังหารปะปนไปกับน้ำเสียงที่มันเปล่งออก
“ถ้าเช่นนั้นอย่าได้เสียเวลา มาเริ่มกันเถอะ”หนิงเทียนกล่าวด้วความมั่นใจก่อนจะค่อยก้าวอย่างช้าๆไปหยุดอยู่ที่ร่างไร้วิญญาณของฮูหยินรอง
พลางเอามือขวาที่กำไว้แน่นประกบไปที่ปากองฮูหยินรอง จากนั้นมันพึมพำเสียงดังเป็นภาษาแปลกๆ
ผู้คนทั้งหมดในที่นี้ไม่มีใครรู้ว่าหนิงเทียนกำลังกล่าวสิ่งใดออก มันใช้เวลาอยู่ไม่นานก่อนจะถอยหลังเดินไปเคียงข้างเสี่ยวซวงพร้อมทั้งใช้มือขวาจับกุมแน่นไปยังมือซ้ายของนาง