บทที่ 54 ปรมาจารย์โอสถ
ล่วงเวลากลางคืน ในเช้าวันรุ่งขึ้น ปัก ปัก....ปัก!!!! เสียงของหวงคล้องประตูใหญ่ดังขึ้นปลุกให้หนิงเทียนนั้นลุกขึ้นมาจากเตียง
เพียงไม่นานนักมันได้เปลี่ยนเป็นชุดที่มารดาห้าของมันตัดเย็บให้ ในขณะที่มันก้าวออกจากประตูเป็นเวลาเดียวกับเสี่ยวซวงที่อยู่ห้องข้างๆ กำลังเดินออกมา
หนิงเทียนนั้นมองไปยังเสี่ยวซวงที่อยู่ในชุดขาวบริสุทธิ์แต่ใบหน้าของนางยังคงไว้ด้วยสีดำ เห็นเช่นนั้นใบหน้าอันเย็นชาของมันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างแผ่วเบา
"ดีมาก เจ้าทำตามคำสั่งของข้าได้ดีมาก เช่นนั้นถ้าวันนี้ใบหน้าของเจ้าสร้างปัญหาอะไรขึ้นมา ข้าจะไม่โกรธเจ้า"
เมื่อกล่าวจบหนิงเทียนนำน้ำผึ้งหยกออกมา ชโลมไปยังสองมือของมันพร้อมทั้งใช้มือที่อ่อนนุ่มดุจขนสัตว์เช็ดไปยังคาบสีดำอย่างแผ่วเบา เผยให้เห็นใบหน้าอันสละสลวยของนางอย่างเด่นชัด
หนิงเทียนเห็นเสี่ยวซวงที่ยืนนิ่งด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกเช่นเดิม มันได้แต่ยกยิ้มพร้อมกับส่ายศีรษะ "พวกเราไปกันเถอะ" สิ้นเสียงพวกมันทั้งคู่เดินตรงไปยังห้องโถงใหญ่ของตระกูลจิน
ภายในห้องโถงใหญ่ตระกูลจิน ปรากฏร่างของบุรุษในชุดเขียว คิ้วอันเรียวงามประกอบกับใบหน้าที่เข้มแข็งเช่นวีรบุรุษ ส่งให้รูปร่างของมันสง่างามเหนือผู้คน เดินตรงเข้ามาในกลุ่มของพวกมัน
เวลานี้คิ้วของ จินเจียงหยา ขมวดเข้ามากันเป็นปม แต่ยังคงกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ “ลมอันใดหอบผู้พิทักษ์แดนฟ้า ซางไห่มาถึงหมู่ตึกตระกูลจินของข้าได้”
ซางไห่กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ท่านเจียงหยา เนื่องจากบุตรชายของท่านเจ้าเมือง เข้าแจ้งเหตุแก่ข้าว่า บุตรชายของท่าน ขืนใจฮูหยินรองของเขา จนถึงแก่ความตาย”
"เป็นไปไม่ได้ เมื่อวานนางยังมีชีวิตอยู่" จินเหล่าต้ากล่าวออกกด้วยน้ำเสียงที่ไม่อยากเชื่อ
"นายน้อยจินเรื่องนี้ท่านสามารถชี้แจงได้ในจวนของข้า แต่ตอนนี้ ข้าคงต้องทำตามหน้าที่“สิ้นคำกล่าวมันส่งเสียงสั่งการแก่ทหาร”เชิญนายน้อยจินไป”
สิ้นเสียงของซางไห่ทหารในชุดคลุมยาวสามคนเดินมาหยุดเบื้องหน้าจินเหล่าต้า มันโค้งหัวอย่างสุภาพพร้อมกล่าวอก “นายน้อยจิน เชิญ”
“ท่านซางไห่ นี้มันเรื่องอะไรกันแน่!!!”เสียงนุ่มลึกดังออกมาจากชายชราผมขาว
ได้ยินเช่นนั้นซางไห่ป้องมือขึ้นพร้อมโค้งศีรษะ “ผู้อาวุโสจิน เรื่องนี้ข้าเองก็จนใจจริงๆ เพราะผู้ที่ตายไปเป็นลูกสะใภ้ของท่านเจ้าเมือง เรื่องนี้จึงต้องมีผู้รับผิดชอบ”
จินเหยาจางระบายลมพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว“หลานชายของข้าแม้จะเสเพลแต่ไม่มีทางไปฆ่าขืนใจใครแน่!!” กล่าวจบมันมองไปยังซางไห่ด้วยแววตาดุร้ายประดุจสายตาของนกอินทรี
เพียงแค่ปลายตาเท่านั้น ระดับพลังในดินแดนวีรชนกดทับไปทั่วร่างของซางไห่ ซางไห่กัดฟันแน่น มันเร่งพลังปราณของมันออกมาปกคลุมร่างก่อนจะเอ่ยต่อ
“ผู้อาวุโสจินอย่าได้มีโทสะ” ขณะที่ซางไห่นั้นอยู่ในอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้น
สุ้มเสียงของทหารในชุดเกราะดำดังขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าทหารผู้นี้แตกต่างจากทหารที่ซางไห่นำมาด้วย “ผู้พิทักษ์ฟ้า ท่านเจ้าเมืองได้ส่งเสียงผ่านหยกหมื่นลี้ให้แก่ท่าน”
จินเจียงหยามองไปยังทหารในชุดเกราะดำด้วยดวงตาหรี่แคบ พร้อมกับส่งเสียงผ่านลมปราณไปยังบิดาของมัน ‘ท่านพ่อ องครักษ์ทมิฬของเจ้าเมืองเคลื่อนไหว นี้ต้องไม่ใช่เรื่องเล็กๆแน่’
ขณะเดียวกันซางไห่ เปิดหยกหมื่นลี้ออก ปรากฎเสียงของบุรุษวัยกลางคนกล่าวออกเสียงดัง “นำตัวจินเหล่าต้ามาสอบสวน ผิดหรือถูกให้ความยุติธรรมเป็นผู้ตัดสิน แต่หากขัดขืนให้ใช้กำลังได้ทันที”
จินเหยาจางได้ฟังเช่นนั้น ใบหน้าของมันแปรเปลี่ยนเป็นดำมืด แต่ก่อนที่มันจะกล่าวอะไรออกมานั้น
เสียงของจินเหล่าต้าเปล่งออกด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติ “ท่านปู่ ท่านพ่อ ข้าจะไป ข้านั้นไม่ได้ขืนใจและสังหารนางก็จริง
แต่ข้าและนางไม่อาจปฎิเสธได้ว่าไม่มีความสัมพันธ์กัน ในเมื่อเวลานี้นางตายแล้ว ถ้าข้าปล่อยให้นางตายโดยที่มีคำครหาติดตัว ข้าคงไม่กล้าเรียกตัวเองว่าบุรุษอีกต่อไป”
เมื่อกล่าวจบ มันหันไปยังหนิงเทียนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “พี่ชายหนิงเทียนขอให้ท่านพักอยู่ที่นี้ให้สบายใจ เดียวข้าจะกลับมา”
“ดี สมกับเป็นบุตรของข้า ลูกหลานของตระกูลจิน”จินเจียงหยา กล่าวออกเสียงดัง
ขณะที่มันกำลังจะเดินตามเจียงเหล่าต้าและซางไห่ออกไปนั้นกลับถูกบิดาของมันห้ามไว้
“เจียงหยาเรื่องนี้มีอะไรแปลกพิกล ข้าควรจะไปเอง”
“แต่ว่าท่านพ่อ....”ก่อนที่จินเจียงหยาจะได้กล่าวอันใดออกมาน้ำเสียงของบิดามันได้กล่าวเตือนสติขึ้นอีกครั้ง “เจ้ามีสิ่งที่ต้องทำ อย่าได้ลืมหน้าที่ของเจ้า”
ได้ยินเช่นนั้นมันหยุดนิ่งไม่กล่าวคำใดออกมา พร้อมกับมองไปยังบิดาของมันที่กำลังเดินตามเหลาทหารของซางไห่ไป
ในขณะเดียวกัน เสี่ยวซวงมองไปยังทหารในชุดคลุมสลับกับใบหน้าของหนิงเทียนเหมือนจะหยังความคิดใดๆ
เห็นเช่นนั้นหนิงเทียนแย้มยิ้มขึ้นมุมปาก “เราไปดูกันสักหน่อย” สิ้นเสียงของมัน หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีเดินเคียงคู่ออกจากหมู่ตึกตระกูลจินไป
ภายในจวนผู้พิทักษ์ฟ้าของซางไห่ ทหารในชุดคลุมเดินนำจินเหล่าต้าเข้าไปในห้องทำงานของมัน
ขณะเดียวปรากฎร่างของฉางอวี้ที่กำลังนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าที่คล้ายโคถึกของมันยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ด้านข้างของฉางอวี้ปรากฏนักพรตในชุดสีแดง
“จินเหล่าต้า ในที่สุดเจ้าก็มาถึง” ฉางอวี้กล่าวออกเสียงดัง
จินเหล่าต้ามองไปยังฉางอวี้ ด้วยแววตาหรี่เล็ก ไม่บ่อยครั้งที่มันจะเป็นแบบนี้ “นายน้อยฉางดูเหมือนว่าเรื่องของพวกเราจะไม่มีทางจบง่ายๆสินะ”
ฉางอวี้นั้นนับว่าเป็นตัวตนอันตรายที่สุดในเมืองฉางผิงเลยก็ว่าได้ มันมีสถานะที่ไม่ควรตอแยด้วยอยู่3ประการ
ประการแรก มันเป็นบุตรชายคนโตของเจ้าเมืองฉางผิง
ประการที่สอง มันนับได้ว่าเป็นอัจริยะคนหนึ่ง ด้วยวัย30ปี มันไปถึงแดนแห่งปราชญ์ขั้นที่3และถูกคาดหวังว่าจะได้รับช่วงเป็นเจ้าเมืองคนต่อไป
ประการที่สาม มันไม่ใช่คนดี
แค่สถานะเดียวในสามสถานะนี้ ก็ทำสามารถทำให้ผู้ที่ล่วงเกินมันจะต้องพบพานกับหายนะ
ไม่ต้องนับเรื่องที่จินเหล่าต้าทำ แค่เพียงกล่าววาจาไม่ถูกหู มันก็พร้อมที่จะระเบิดความเกรี้ยวกราดใส่คนผู้นั้นแล้ว
ส่วนเรื่องที่จินเหล่าต้าไปยุ่งกับฮูหยินรองของมันนั้น เพียงพอที่จะทำให้ฉางอวี้ไม่สนหน้าอินหน้าพรมใดๆ ถึงขนาดประกาศสงครามกับตระกูลผู้ปรุงโอสถอันดับหนึ่งแห่งเมืองฉางผิง
ขณะเดียวกัน จินเหยาจางที่เดินทิ้งระยะอยู่ด้านหลังเล็กน้อยสายตาของมันจับจ้องไปยังนักพรตในชุดสีแดงด้านข้างฉางอวี้
คิ้วของมันขมวดเข้าหากันทันที ก่อนจะเค้นเสียงรอดลายฟันออกมา “ปรมาจารย์โอสถ หานเจิง”
เมื่อทั้งสองจับจ้องกัน บรรยากาศภายในห้องโถงใหญ่ของจวนผู้พิทักษ์ฟ้า ตึงเครียดขึ้นมาทันที ราวกับว่าพวกมันทั้งคู่ รู้จักมาก่อน
ซางไห่ เห็นท่าทีเช่นนั้นมันรีบก้าวขึ้นไปนั่งยังพำนักที่ยกสูงขึ้นกว่าคนอื่น ก่อนจะกล่าวออก “ในเมื่อทุกท่านมาพร้อมแล้ว เริ่มกันได้เลย”
เมื่อสิ้นเสียงของซางไห่ ทหารในชุดคลุม นำสิ่งประดิษฐ์คล้ายก้อนหินออกมาแปดก้อน มันวางไว้ในตำแหน่งรอบตัวทั้งแปดทิศของห้องโถง
ทันใดนั้น พลังปราณทั่วทั้งห้องลดต่ำลง ราวกับมันถูกจำกัดลงให้เหลือเพียงดินแดนนักรบเท่านั้น
เห็นเช่นนั้น จินเหยาจางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเจือโทสะ "ท่านซางไห่ ไม่ใช่บอกว่าเชิญพวกเรามา? เหตุใดต้องวางอาคมกักพลังเช่นนี้ ท่านกำลังทำเหมือนว่าพวกเราตระกูลจินเป็นนักโทษ?"
"ผู้อาวุโสจิน ที่ข้าต้องทำเช่นนี้ไม่ใช่ไม่ให้เกรียติตระกูลจินของท่านแต่อย่างใด แต่ข้าต้องเตรียมการเพื่อไว้ในสถานการณ์ที่แย่ที่สุด"
เมื่อกล่าวกับจินเหยาจางจบ ซางไห่หันไปยังฉางอวี้พร้อมกล่าวออก"นายน้อยฉาง ท่านต้องการร้องเรียนเรื่องอันใด"
“ข้าได้บอกไปชัดเจนแล้วจินเหล่าต้า มันขืนใจฮูหยินรองข้าจนถึงแก่ชีวิต” ฉางอวี้คำรามออกเสียงดัง เวลานี้ท่าทางของมันไม่ได้ให้เกรียติผู้ฝึกตนในแดนวีรชนอย่างจินเหยาจางเลยแม้แต่น้อย
“นายน้อยฉาง ท่านมีหลักฐานหรือไม่ว่า จินเหล่าต้าเป็นผู้สังหารฮูหยินรองของท่าน”ซางไห่ถามออกโดนพลัน
“หลักฐานข้ามีแน่นอน ไปนำศพของฮูหยินรองมาที่ให้ผู้พิทักษ์ฟ้าตรวจดู” ฉางอวี้ตะโกนสั่งข้ารับใช้ของมัน ข้ารับใช้ของมันสองคนเดินหายไปจากหน้าประตูห้องโถง
ในเวลาเดียวกันหนิงเทียนและเสี่ยวซวงได้มาถึงและหยุดยืนอยู่ด้านหลังของจินเหยาจาง เสี่ยวซวงยังคงแสดงท่าทีนิ่งเฉยราวกับคนไม่มีตัวตน
ในขณะที่หนิงเทียนนั้นจับจ้องไปยังนักพรตในชุดสีแดง มันสูดลมหายใจเข้าลึกพร้อมด้วยดวงตาที่หรี่แคบในทันที มันกล่าวถามออก “ผู้อาวุโสจิน นักพรตชุดแดงนั้นเป็นใคร”
“มันคือหานเจิง ผู้คนเรียกมันว่า ปรมาจารย์โอสถ มันเป็นบุคคลสำคัญของเมืองไห่หนาน”ขณะที่จินเหยาจางกล่าวตอบมันยังคงจับจ้องไปยังหานเจิงอย่างไม่วางตา
“กลิ่นอายสังหาร ผู้ปรุงโอสถพิษ?” หนิงเทียนพึมพำแผ่วเบากับตัวเอง
จินเหยาจางที่ยืนอยู่ใกล้ๆได้ยินเช่นนั้น มันถึงกับละสายตามามองไปยังเด็กน้อยด้านข้างของมันก่อนจะถามออกด้วยแววตาประหลาดใจ “สหายน้อย เจ้าเป็นผู้ปรุงโอสถ?”
มีแต่ผู้ปรุงโอสถด้วยกันเท่านั้น ที่จะสามารถบอกถึงเส้นทางและระดับของอีกฝ่ายได้
ในระดับ10ขั้นโลก พวกมันจะอาศัยกลิ่นอายของสมุนไพรที่ติดตัวผู้ปรุงโอสถในการแยกแยะระดับของกันและกัน
หนิงเทียนนั้นยิ้มออกแทนคำตอบใดๆจากปากของมัน
ส่วนของตัวมันนั้นได้ก้าวผ่าน10ขั้นโลกไปนานแล้ว การที่จะตรวจพบว่าหนิงเทียนเป็นผู้ปรุงโอสถเห็นจะมีแต่ระดับ จ้าวโอสถขึ้นไปเท่านั้นที่มีความสามารถ
เวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่ คนรับใช้ของฉางอวี้สองคนช่วยกันหิ้วร่างที่ไร้วิญญาณของสตรีนางหนึ่งออกมา
ตุ้บบบ.... ทั้งสองทิ้งร่างไร้วิญญาณไว้ใจกลางห้องโถงก่อนจะกลับไปยืนด้านหลังของฉางอวี้ดังเดิม
ฉางอวี้เริ่มกล่าวขึ้น“นี้คือศพของฮูหยินรอง นางนั้นเสียชีวิตเพราะถูกจินเหล่าต้าทำร้ายในขณะที่มันกำลังทำเรื่องชั่วช้าสามัญกับนาง”
จินเหล่าต้ามองไปยังศพของสตรีนางนั้นด้วยแววตาเศร้าโศก แม้มันจะไม่ได้ฆ่านายแต่การตายของนางปฎิเสธไม่ได้ว่าเป็นเพราะมัน
ถ้าเวลานั้นมันห้ามใจไม่ให้หลงไหลไปกับการยั่วยุจนทำให้เกิดเรื่องที่ว่าขึ้น เวลานี้นางคงไม่ตาย
คิดได้เช่นนั้น แววตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยความสนุกสนานแปรเปลี่ยนเป็นความเศร้า มันเค้นเสียงด้วยโทสะ“ฉางอวี้ ข้าไม่มีทางฆ่าสตรีเด็ดขาด”
“ยังปากแข็ง....ได้ข้าจะทำให้เจ้ายอมจำนน” มันกล่าวพร้อมกับผายมือไปแนะนำบุคคลด้านหลังของมัน
“ท่านนักพรตที่อยู่ด้านหลังข้านั้นคือ ท่านหานเจิง หรือที่รู้จักกันในนามปรมาจารย์โอสถ ท่านเป็นทั้งนักปรุงโอสถและแพทย์อัจฉริยะที่มีชื่อเสียงของเมืองไห่หนาน”
เมื่อสิ้นเสียงของฉางอวี้ หานเจิงก้าวมาด้านหน้ามันกล่าวออกด้วยเสียงแหบแห้ง
“หลังจากที่ข้าได้ตรวจศพของฮูหยินรองแล้ว ข้าพบว่าพลังปราณที่สังหารนางพบว่าเป็นพลังในดินแดนแห่งปราชญ์ซึ่งตรงกันกับนายน้อยจิน”
"หานเจิง เมืองฉางผิงมีหลานของข้าคนเดียวหรือไงที่อยู่ในแดนแห่งปราชญ์" จินเหยาจางกล่าวถามด้วยสายตาดุร้าย
"ไม่ผิด หลานเจ้าไม่ใช่เป็นคนเดียวในแดนแห่งปราชญ์ แต่สาเหตุการตายของฮูหยินรอง มาจากการที่ตันเถียนนางถูกเผาจนหลอมละลาย
เป็นที่รู้กันดีว่าฮูหยินรองนั้นเป็นผู้ฝึกตนในดินแดนองครักษ์ การที่จะหลอมละลายตันเถียนของผู้ฝึกตนในแดนองครักษ์ได้ถึงเพียงนี้
มีแต่ทักษะจิตอัคคีของตระกูลเจ้าผสมผสานเข้ากับธาตุไฟในแดนแห่งปราชญ์เท่านั้น
และการที่ให้บุตรหลานในตระกูลจินทุกคนต้องหลอมรวมธาตุไฟเพื่อปรุงโอสถ มันเป็นกฎของตระกูลจินที่ทุกคนในเมืองรู้กันเป็นอย่างดี"
“บัดซบ หานเจิง ทักษะจิตอัคคีเป็นทักษะบ่มเพาะของตระกูลจินเรา เจ้ากล่าวเช่นนี้ไม่เท่ากับสงสัยตระกูลจินเราทั้งตระกูลหรืออย่างไร” จินเหยาจางคำรามออกเสียงดัง
“ที่ข้าพูดไปเป็นเรื่องจริง ถ้าไม่เชื่อเจ้าสามารถตรวจสอบได้ด้วยตัวเอง?”หานเจิงกล่าวตอบ มันจับจ้องไปยังจินเหยาจางด้วยสีหน้าท้าทาย
ได้ยินเช่นนั้นจินเหยาจางคำรามด้วยโทสะออกมา “ถ้าไม่ใช่อย่างที่เจ้ากล่าวหา อย่าได้โทษว่าข้าเป็นตาแก่ใจร้อนแล้วกัน”กล่าวจบมันเดินไปยังร่างของร่างไร้วิญญาณของฮุหยินรอง
พร้อมทั้งส่งปราณสำรวจอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่มันจะสำรวจซ้ำๆอยู่ถึงสามรอบ ในแต่ละรอบใบหน้าของมันเปลี่ยนสีคล้ำขึ้น
“เป็นพลังปราณจิตอัคคีได้อย่างไร”มันครุ่นคิดหาคำตอบอยู่ภายในใจ แต่อย่างไรมันไม่มีความสงสัยหลานชายของมันเลยแม้แต่น้อย
“ถ้าแค่นี้ยังไม่พอ จงดูสิ่งนี้ให้เต็มตา”ฉางอวี้กล่าวแทรกพลางโยนหยกสลักด้วยคำว่า 'หนึ่งจิน'
ใช่แล้วมันคือหยกประจำตัวของจินเหล่าต้า ที่แสดงถึงนามของมัน 'อันดับหนึ่งแซ่จิน'
เห็นเช่นนั้นจินเหล่าต้าตะโกนออกมาด้วยโทสะ “เมื่อเมื่อวานพวกเจ้าจับตัวข้าไป ของสิ่งนี้จะอยู่ที่พวกเจ้าก็ไม่แปลก”
“บัดซบ จินเหล่าต้าเจ้ายังไม่ยอมรับความผิด ทั้งยังกล่าวหาข้าอีกหรือ?” ฉางอวี้กล่าวด้วยโทสะ
หานเจิงที่อยู่ข้างๆมันกล่าวห้ามศิษย์ของมัน"อวี้เอ๋อ อย่าพึ่งโมโห"
จากนั้นมันเดินไปหยุดอยู่หน้าเจียงเหยาจาง ก่อนจะกล่าวออก "ข้าขอถามเจ้า จินเจียงหยา
จงบอกข้ามาว่านอกจากบุตรหลานของเจ้าที่เป็นอัจฉริยะอันดับ2แห่งเมืองฉางผิงแล้ว
ยังมีผู้เยาว์คนใดที่อยู่ในแดนแห่งปราชญ์และมีทักษะธาตุไฟที่สามารถหลอมละลายตันเถียนฮูหยินรองได้อีก”
ได้ยินเช่นนั้น จินเหยาจางไม่สามารถกล่าวคำใดออกไปได้อีก เหตุใดหลักฐานถึงชี้ชัดมายังหลานชายของมัน