บทที่ 53 ตระกูลจิน
ฉางอวี้กล่าวออก “ข้าเกือบลืมไปว่า มีหนูที่ขึ้นมากินอาหารในที่ของข้า หึหึ....ที่แท้หนูตัวนั้นเป็นสหายของสารเลวแซ่จิน” มันกล่าวออกพร้อมสั่งคนของมัน
“ไปจับสองคนนั้นมาให้ข้า”
สิ้นเสียงคำสั่ง กลุ่มคนในแดนองครักษ์ขั้นต้น5คนเดินมาล้อมรอบโต๊ะอาหารของหนิงเทียนเอาไว้
หนิงเทียนระบายลมหายใจออกเสียงดัง “ข้าไม่เคยรู้จักบุคคลที่กำลังคุกเข่าอยู่และวันนี้ข้าต้องการเพียงลิ้มรสอาหารเท่านั้น จงอย่าได้ยั่วยุข้า”
มันกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา ในขณะที่มือขวาของมันยกจอกสุราขึ้นจิบอย่างไม่สนใจ
“วาจาจองหองสิ้นดี ยั่วยุเจ้าแล้วเป็นอย่างไร? รีบไปจับสารเลวตัวน้อยกับยัยอัปลักษณ์หน้าดำนั้นมาให้ข้า”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงของฉางอวี้ดีนัก กลับเกิดเสียงร้องที่แหวกอากาศดังขึ้น มันเป็นเสียงที่สามารถส่งผ่านอากาศได้ในระยะไกล
คิ้วของฉางอวี้ขมวดทันที มันกล่าวอุทานออกเสียงดัง
"ทักษะคำรามตัดมิติ ผู้ที่มาคืออินทรีเฒ่า จินเหยาจาง” ขณะที่ทุกคนได้ยินเช่นนั้นมันแหงนขึ้นมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
เมื่อจินเหล่าต้าได้ยินเสียงร้องที่ดังชัด มันแสดงอาการดีใจขึ้นมาพร้อมตะโกนเสียงดัง "ท่านปู่ ในที่สุดท่านปู่ก็มาช่วยข้า"
หนิงเทียนมองไปยังร่างที่ร่อนลงมาจากบนฟ้าด้วยสายตาหรี่แคบ ร่างของชายชราผมขาวพุ่งทะลุหลังคาของเหลาอาหารชิงเยี่ยน ลงเหยียบยืนอยู่เบื้องหน้าของฉางอวี้
"นายน้องฉางอวี้ถึงท่านจะเป็นบุตรชายของท่านเจ้าเมือง ท่านก็ไม่สามารถข่มเหงบุตรหลานตระกูลจินได้" เสียงอันร้อนแรงนุ่มลึกดังออกมา
“ผู้เฒ่าจิน หลานชายของท่านมายุ่งกับฮูหยินรองของข้า ท่านคิดหรือว่าเรื่องจะจบเพียงแค่ท่านออกหน้าหรือ?” ฉางอวี้กล่าวตอบอย่างถือดี
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปขอขมาท่านเจ้าเมืองด้วยตัวเอง แต่เรื่องในวันนี้ข้าคงต้องขอตัวหลานชายของข้าคืน” กล่าวจบมันหายตัวไปปรากฏอยู่ตรงหน้าจินเหล่าต้า พร้อมทั้งกระชากคอเสื้อหลานชายเจ้าปัญหาของมันกลับ
“พี่ใหญ่ พวกเราจะเอายังไง?” จ้าวเย่กล่าวถามฉางอวี้อย่างแผวเบา
“ปล่อยมันไปก่อน อินทรีเฒ่าตัวนี้ เป็น1ใน10ยอดยุทธแดนวีรชนของเมืองฉางผิง มันไม่ใช่คนที่พวกเราจะไปขัดขวางได้” ฉางอวี้กัดฟันเค้นเสียงออก
ในขณะที่จินเหล่าต้ากำลังเดินตามปู่ของมันไปอย่างว่าง่ายนั้น มันเหลือบไปที่โต๊ะของหนิงเทียน
ภายในใจมันครุ่นคิดถึงเรื่องเมื่อครู่ 'ถ้าปล่อยไว้เช่นนี้ กลุ่มของพี่ชายท่านนี้จะต้องผมเจอกับหายนะจากความโกรธของฉางอวี้แน่'
คิดได้เช่นนั้นมันจึงกล่าวออก"ท่านปู่พวกเขาเป็นสหายของข้า ข้าจะพาเขาไปเยี่ยมชมตระกูลจินของเรา”
ได้ยินคำขอของหลานชาย จินเหยาจาง กล่าวออกด้วยเสียงนุ่มแก่หนิงเทียน “เด็กน้อยในเมื่อเจ้าเป็นสหายของหลานข้า ตระกูลจินยินดีต้อนรับเสมอ”
หนิงเทียนครุ่นคิดถึงผลที่ตามมาอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะจากวางเหรียญทองไว้บนโต๊ะ พร้อมกับจูงมือของเสี่ยวซวงตามทั้งสองออกไป
ทิ้งให้ฉางอวี้กำมือแน่นด้วยความโกรธ“คอยดู...ข้าจะให้พวกมันสองตาหลานคุกเข่าขอร้องข้าให้จงได้”
กล่าวจบมันหันไปยังลูกน้องของมันที่ยืนอยู่ด้านหลัง "พวกเจ้านำข้อความนี้ไปบอกแก่อาจารย์ของข้า รีบไป..."
หนิงเทียนและเสี่ยวซวงเดินตามพวกมันทั้งสองอยู่เพียงระยะทางหนึ่ง และเมื่อมันหันกลับไปมองไม่เห็นผู้ใดตามมา มันจึงหยุดเดินและแยกตัวออกไปทันที
“นั้นพี่ชาย ท่านจะไปไหน ตระกูลจินของพวกเราอยู่ทางนี้” จินเหล่าต้าตะโกนเรียกไล่หลังตามทันที
หนิงเทียนหาสนใจกับคำพูดของมันไม่ มันแกล้งทำหูทวนลมพร้อมเร่งฝีเท้าก้าวเดินออก
ที่มันเดินตามมาในคร่าแรกนั้นเพียงเพราะมันไม่ต้องการเป็นศัตรูกับฉางอวี้ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องเท่านั้น
จินเหล่าต้าไม่ละความพยายามมันกล่าวออก “ท่านปู่ ท่านไปรอข้าที่ตระกูลก่อนแล้วกัน”สิ้นคำกล่าวมันรีบวิ่งตามหลังหนิงเทียนไปทันที
“นี้เจ้า!!!”จินเหยาจางคำรามออก เพียงแค่หันหลังกลับมา หลานของมันวิ่งหายไปจากสายตาแล้ว
หนิงเทียนกำลังเดินหาที่พักและข่าวสารของตระกูลมู่ แผนการเดิมที่มันจะไปเคาะประตูสกุลมู่ตรงๆต้องเปลี่ยนแปลงไป เพราะพลังปราณที่ไม่สามารถใช้ออกได้
เวลานี้ถ้าต้องต่อสู้กับเสี่ยวซวง โอกาสชนะยังมีเพียง4ใน10ส่วนเท่านั้น เวลานี้มันจึงต้องหาแผนการที่รัดกุมและรอบครอบในการแฝงตัวเข้าไปในตระกูลมู่
ขณะที่มันกำลังคิดเช่นนั้น เสียงตะโกนไล่หลังดังขึ้น “พี่ชาย แม่นางหน้าดำ ทั้งสองโปรดหยุดก่อน”
หนิงเทียนระบายลมหายใจออกพร้อมหันไปกล่าว “เจ้ายังสร้างปัญหาให้พวกเราไม่พอ ถึงได้ตามพวกเรามาถึงที่นี้”
“เอ่อ...คือว่าเรื่องนั้น มันเป็นเรื่องจำเป็นจริงๆหรือพี่ชายจะใจดำ ทนดูข้าดูถูกกระทืบจนตายได้หรือ?” มันกล่าวด้วยเสียงสุภาพอ่อนน้อมอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวมัน
“ทำไมจะไม่ได้ เจ้าและข้าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน” หนิงเทียนกล่าวตอบอย่างเย็นชา
“อย่าได้พูดจาเย็นชาเช่นนั้น ข้ามาที่นี้เพื่อต้องการกล่าวขอโทษจริงๆ เอาเช่นนี้พวกท่านทั้งสองเป็นให้เกรียติมาเป็นแขกในตระกูลจินเราสักวันเพื่อให้ข้าบรรเทาความรู้สึกผิดในใจลงบ้าง”
“ช่างมันเถอะ”หนิงเทียนกล่าวอย่างไม่ใสใจพร้อมทั้งเดินต่อ
"เดียว...ก่อน" จินเหล่าต้าเปล่งเสียงห้าม พร้อมทั้งเดินตามทั้งสองไปเป็นเงา
มันใช้เวลาอยู่นานในการเดินหาโรงเตี๊ยม แต่เนื่องจาก งานใหญ่ที่ตระกูลมู่จะจัดนั้นทำให้ผู้คนในเมืองฉางผิงเนืองแน่นเป็นพิเศษ เวลานี้ห้องหับที่พักต่างๆ ไม่เหลือที่ว่างแม้แต่ห้องเดียว
“พี่ชาย นี้ก็เป็นโรงเตี๊ยมที่สิบแล้วนะ ท่านยังจะดื้อหาไปถึงไหน ตระกูลจินของเรามีห้องพักที่สะดวกสบายกว่าโรงเตี๊ยมเก่าแก่พวกนี้นับร้อยเท่า” จินเหล่าต้ากล่าวออกขณะที่ใช้สองมือทุบไปที่หน้าอกของตัวเอง
หนิงเทียนระบายลมหายใจออกพร้อมกับมองไปยังใบหน้าของเสี่ยวซวง มันครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะ กล่าวตอบแก่จินเหล่าต้า “ข้าจะให้เกรียติไปเยือนตระกูลเจ้าสักครั้ง”
ได้ยินเช่นนั้น จินเหล่าต้าใช้สองมือตบไปยังหน้าขาของตนเองเสียดัง“ดีดี...พวกเราไปกลับตระกูลจินกัน ข้าจินเหล่าต้าจะต้อนรับพวกท่านอย่างดี
เอ่อ...ว่าแต่พี่ชายและพี่สาวมีนามว่าอะไรกันบ้าง?” มันกล่าวถามอย่างเป็นกันเอง
“ข้าชื่อหนิงเทียน ส่วนนางชื่อเสี่ยวซวง” หนิงเทียนกล่าวชื่อของมันและแนะนำเสี่ยวซวงในเวลาเดียวกัน
ในความคิดของหนิงเทียน จินเหล่าต้าแม้จะเป็นพวกเจ้าสำราญเอาตัวรอดไปวันๆ
แต่มันนับได้ว่าเป็นผู้มีน้ำใจคนหนึ่ง การที่มันไม่ทิ้งกลุ่มของหนิงเทียนไว้ที่เหลาอาหารชิงเยี่ยนนั้น นับได้ว่าพิสูจน์นิสัยใจคอของมันได้กึ่งหนึ่งแล้ว
นี้เป็นเหตุผลที่ทำให้หนิงเทียนยินยอมตามจินเหล่าต้าไป
ในระหว่างทางเดินไปตระกูลจินนั้น จินเหล่าต้าขยับไปด้านข้างของหนิงเทียนพร้อมกระซิบออกอย่างแผ่วเบาราวกับว่ามันกลัวสตรีหน้าดำด้านหลังจะได้ยิน
“พี่ชายให้ข้าหาพี่สะใภ้รองให้อีกสักคนดีหรือไม่” จินเหล่าต้ากล่าวออกพร้อมมองไปยังใบหน้าสีดำของเสี่ยวซวง
เวลานี้มันทำตัวเหมือนสนิทสนมกับหนิงเทียนมาเป็นเวลานานหนิงเทียนได้แต่ส่ายหน้า ด้วยนิสัยเช่นนี้ทำให้มันนึกถึง อู๋ชาง อยู่ไม่น้อย
“ดีหรือไม่พี่ชาย”จินเหล่าต้ายังกล่าวถามย้ำอีกครั้งหนึ่งราวกับมันต้องการคำตอบเพียงหนึ่งเดียว
“ลืมมันไปได้ ถ้าเจ้ายังกล่าววาจาไร้สาระเช่นนี้อีก ข้าจะไปตามทางของข้า”หนิงเทียนรีบกล่าวตัดบทโดยไว
...
เพียงไม่นานพวกมันทั้งสามเดินทางมาถึงตึกสูง ที่สร้างขึ้นอยากประหลาดตา ลักษณะของมันเป็นสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ วางซ้อนกันเป็นชั้นๆ
บริเวณทางเข้าประดับด้วยแผ่นไม้ขนาดใหญ่ สลักด้วยตัวอักษรของผู้มีปัญญาว่า "หมู่ตึกตระกูลจิน"
ขณะที่พวกมันทั้งสามกำลังก้าวผ่านป้ายประจำตระกูลจิน จู่ๆกลิ่นอายที่ลอยตามกระแสลมเข้าปะทะกับจมูกของหนิงเทียนอย่างจัง
ทำให้หนิงเทียนต้องหรี่ตาแคบลงและกล่าวถามออก“ตระกูลเจ้าเป็นตระกูลผู้ปรุงโอสถ?”
มุมปากของจินเหล่าต้ายกยิ้มขึ้น “พี่ชาย ท่านช่างมีความรู้กว้างขวาง ใช่แล้วตระกูลจินของเราเป็นตระกูลผู้ปรุงโอสถที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฉางผิงแห่งนี้
อย่าได้กล่าวถึงสามตระกูลใหญ่แม้แต่คนจากจวนเจ้าเมืองยังต้องเกรงใจพวกเรา”น้ำเสียงของมันเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจนั้น
"แต่เจ้าไม่ได้เป็นผู้ปรุงโอสถ?" หนิงเทียนถามออกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ได้ยินเช่นนี้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานของจินเหล่าต้ากลับแปรเปลี่ยนไปในทันที
มันกล่าวต่อว่า"พี่ชายเรื่องนี้เป็นความลับของข้า ข้าหวังเพียงแต่พี่ชายจะไม่เอ่ยกับใคร"
"ไม่ต้องห่วงข้านั้นไม่ชอบที่จะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของผู้อื่นนัก" ในขณะที่พวกมันทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่นั้น
จู่ๆเสียงตวาดอย่างเกรี้ยวโกรธดังสนั่นถึงขนาดทำให้ป้ายประจำตระกูลจินสั่นไหว
“สารเลวน้อย เจ้าไปสร้างเรื่องอะไรให้แก่ท่านปู่อีก” ได้ยินเสียงที่เกรี้ยวกราดเช่นนั้นใบหน้าของจินเหล่าต้าซีดขาวลงทันที
ทันใดนั้นเงาร่างของบุรุษสูงวัย ผมสีดำหนวดคราวยาว ก้าวเดินออกมาจากประตู
“ท่านพ่อ ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย” จินเหล่าต้ากล่าวตอบบิดามันด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
"สารเลวน้อย เจ้าถึงกับกล้าไปล่อลวง ลูกสะใภ้ของท่านเจ้าเมือง" ใบหน้าของบุรุษสูงวัย แดงก่ำด้วยความโกรธ
"เป็นเพราะหน้าตาที่คล้ายวัวป่าของฉางอวี้ต่างหากที่ทำให้ฮูหยินรองของมันเปลี่ยนใจมาชอบใบหน้าที่หล่อเหลาของข้า” มันหลบสายตาบิดาพลางกล่าวอย่างด้วยใสซื่อ
ได้ยินคำตอบของบุตรชาย มันได้แต่ส่ายศีรษะเอื้อมระอากับนิสัยของลูกชายมัน
การที่บุตรชายเพียงคนเดียวของมันได้รับฉายาว่า เสเพลอันดับหนึ่งแห่งฉางผิงนั้นทำให้มันโกรธจนแทบกระอักออกมาเป็นเลือดแล้ว
“สารเลวน้อย เจ้ายังไม่สำนึกอีก ข้าให้เจ้าฝึกฝนเส้นทางการปรุงโอสถเจ้ากลับไม่ตั้งใจ ซ้ำยังเอาแต่เที่ยวเตร่ไร้แก่นสารไปวันๆ”
"ท่านพ่ออย่าได้เรียกข้าว่าสารเลวน้อยบ่อยนัก ข้ามีชื่อที่ท่านปู่ตั้งให้ว่า อันดับหนึ่งแซ่จิน" จินเหล่าต้าแย้มยิ้มอย่างภูมิใจ
"อันดับ1กับผีละสิ ข้าสอนเจ้าปรุงโอสถตั้งแต่5ขวบจนบัดนี้เจ้าอายุ15ปี เจ้ายังไม่สามารถก้าวเข้าสู่ระดับ3ขั้นโลกได้เลย"
แม้มันจะกล่าวเช่นนั้นแต่โทสะในคร่าแรกได้ลดหายลงไปมากโขแล้ว
“ท่านพ่อ ข้าไม่ได้อยากเป็นผู้ปรุงโอสถสักหน่อย ข้านั้นอยากเป็นนักประดิษฐ์ตั้งหาก”
จินเหล่าต้ากล่าวออก เมื่อพูดถึงนักประดิษฐ์สายตาที่เต็มไปด้วยความขี้เล่นกลับแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังในทันที
บิดาของมันต้องระบายลมหายใจอีกครั้ง ก่อนจะกล่าว“ไม่มีทาง ถึงแม้ข้าจะยอมรับว่าเจ้ามีพรสวรรค์ในการประดิษฐ์เหมือนกับแม่ของเจ้า
แต่ตระกูลจินของเราเป็นตระกูลนักปรุงโอสถ บรรพบุรุษของเจ้าเป็นผู้ปรุงโอสถมาทุกรุ่น ข้าจะไม่ยอมให้มันสิ้นสุดในรุ่นเจ้าเด็ดขาด”
ได้ยินเช่นนั้น จินเหล่าต้าคิดว่าถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้ หูของมันอาจจะชาไปอีกหลายวันก็ได้ มันจึงรีบกล่าวออกโดยไว
“ท่านพ่ออย่าได้กล่าวเช่นนี้ต่อหน้าแขกของลูกได้หรือไม่ หน้าของลูกชายท่านไม่รู้จะเอาไปมุดอยู่ที่อกสาวคนใดแล้ว” มันยังคงกล่าวออกด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอันเป็นเอกลักษณ์
ได้ยินเสียงของบุตรชายเตือนสติ มันถึงรู้สึกตัว แลมองไปยังผู้มาเยือนทั้งสอง พร้อมกล่าวออกอย่างน้อมนอบ “น่าอายแล้วสหายน้อยทั้งสอง ที่ให้พวกเจ้าได้เห็นเรื่องไม่สมควร”
น้ำเสียงอันเกรี้ยวกราดจางหายไปแทนที่ด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึกแฝงไปด้วยความอ่อนโยนแทน
หนิงเทียนแย้มยิ้มตอบ “ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อันใด”
“เอ่อ.....ข้าเกือบลืมไป” มันผายมือไปทางหนิงเทียนและเสี่ยวซวง “ท่านพ่อ คนนี้คือพี่ชายหนิงเทียน ส่วนพี่สาวหน้าดำคนนี้ชื่อว่าเสี่ยวซวง”
พร้อมกับกล่าวแนะนำบิดาของมันในเวลาเดียวกัน“นี้คือหัวหน้าหมู่ตึกตระกูลจิน บิดาของข้าเอง จินเจียงหยา”
หนิงเทียนมองไปยังจินเจียงหยา 'ไม่เลว....ระดับโลกที่8' ก่อนจะยกมือป้องขึ้นแสดงความเคารพแก่เจ้าของบ้าน
ขณะที่พวกมันกำลังสนทนากันอยู่นั้น เสียงอันร้อนแรงนุ่มลึกดังแทรกขึ้นมา “เจียงหยาเจ้าจะให้แขกยืนอยู่ข้างนอกอีกนานเพียงใด?” สิ้นเสียงนั้นทั้งสี่เดินหายเข้าไปในหมู่ตึกตระกูลจินทันที
ภายในตระกูลจิน ปรากฎร่างของจินเหยาจางเจ้าของเสียงเมื่อครู่กำลังนั่งจิบชาอยู่ เพียงแค่มันส่ายข้อมือไปมา ส่งให้กลิ่นหอมของชาตลบอบอวนไปทั่วทั้งจวน
"กลิ่นของใบชาค้างตะวัน แค่เพียงกลิ่นของมันก็สามารถทำให้ผู้ที่ได้สูดดมเข้าไปคล้ายโทสะที่ร้อนลงได้" หนิงเทียนกล่าวออก
"ฮ่าๆสหายน้อย ความรู้เจ้าช่างกว้างขวางนัก ไม่น่าหลงผิดมาเป็นสหายกับหลานข้าได้เลย" มันกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นให้ความรู้สึกเหมือนเช่นปู่กำลังพูดคุยกับหลาน
"โธ่...ท่านปู่เหตุใดถึงพูดเช่นนี้"จินเหล่าต้าอดไม่ได้ที่จะโอดครวญออกมา
ฮ่าฮาา...ได้ยินคำกล่าวของหลานมัน จินเหยาจางส่งเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกล่าวต่อ"เด็กๆไปนำ ชาค้างตะวันมาต้อนรับสหายน้อยทั้งสอง"
ได้ยินเช่นนั้น จินเจียงหยาอดไม่ได้ที่จะกล่าวออก "ท่านพ่อใบชาค้างตะวันของท่าน แม้แต่ข้ายังไม่สามารถแตะมันได้ วันนี้คงเป็นวันพิเศษจริงๆที่ท่านนำมันออกมาเลี้ยงพวกเรา"
เวลาผ่านไปพวกมันทั้งสี่ จิบชาและพูดคุยกันอย่างถูกคอ หนิงเทียนพบว่าตระกูลจินนั้น เป็นตระกูลที่น่าเลื่อมใสตระกูลหนึ่ง มันจึงแสดงออกอย่างไม่ถือตัวและพูดคุยอย่างเป็นกันเอง