ตอนที่แล้วบทที่ 51 คำขอโทษ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 53 ตระกูลจิน

บทที่ 52 อันดับ1แซ่จิน


กำลังโหลดไฟล์

หนิงเทียนนั้นถอนหายใจเบาๆและเอ่ย “ข้าไม่ต้องการสหายร่วมทาง แต่ถ้าเจ้ายอมเป็นผู้ติดตามให้แก่ข้านั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”

ในเวลานี้ ถ้าหนิงเทียนไม่ได้ทักษะและกระบวนท่าระดับสูงที่บิดา มารดาของมันสั่งสอน มันคงไม่ต่างอะไรกับคนพิการไปแล้ว

และคงจะปลอดภัยกว่าถ้ามีสตรีในแดนแห่งปราชญ์ขั้นกลางคอยคุ้มครองระหว่าง15วันที่มันไม่สามารถใช้ลมปราณออกได้

คิดได้เช่นนั้นหนิงเทียนจึงกล่าวต่อ "ถ้าเจ้าสัญญาว่าจะทำตามคำสั่ง ข้าจะยอมให้เจ้าร่วมทางด้วย แต่ขอเตือนไว้ก่อนเส้นทางเดินของข้า ตายมากกว่าเป็น”

เสี่ยวซวงพยักหน้าตอบรับเพียงครั้งเดียว จากนั้นนางนั่งลง หยิบเนื้อและน้ำผึกหยกไปจากมือของหนิงเทียน ดื่มกินด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

หนิงเทียนเห็นเช่นนั้นมันได้แต่ส่ายหน้าไปมา ก่อนจะกล่าวเรียก ซานซันอยู่ภายในใจ

“ซานซัน เวลานี้อู๋ชางเป็นอย่างไรบ้าง”

เสียงทุ้มต่ำดังก้องมาจากภายใน“นายท่าน ผลตอบแทนที่แดนมนุษย์ฝืนเปิดมิติเคลื่อนย้ายนั้นหนักหนาพอดูทีเดียว

ตาเฒ่าอู๋คงต้องใช้เวลาอีกประมาณ20วัน จิตวิญญาณของมันถึงจะหายเป็นปกติ”

“เช่นนั้นข้าฝากเจ้าด้วย” เมื่อมันกล่าวกับซานซันจบ หนิงเทียนหยิบหินลมปราณระดับสูงสามก้อนออกมาและเริ่มที่จะซึมซับมัน

ระหว่างสิบวันมานี้ มันใช้หินลมปราณระดับสูงไปนับร้อยก่อนเพื่อจะเติมเต็มตะวันทั้งแปด

มูลค่าของหินลมปราณที่มันใช้ออกนั้นนับรวมได้ถึงล้านเหรียญทอง

สามวันต่อมา ในระหว่างทางเดินไปยังเมืองฉางผิง ขณะที่มันกำลังเดินผ่านกลุ่มต้นไม้ใหญ่ ทันใดนั้นต้นไม้ใหญ่จำนวนมากก็ได้ให้กำเนิดกิ่งอ่อนออกมามากมายราวกับว่ามันถึงฤดูพลัดใบอีกครั้ง

เสี่ยวซวงมองไปยังต้นไม้ด้วยท่าทีเรียบเฉย นางนั้นเดินข้างกายหนิงเทียนราวกับเป็นคนไม่มีตัวตน ทั้งสีหน้าและลมหายใจของนางนิ่งสงบไร้เช่นความรู้สึกไม่เปลี่ยน

....

.......

เมืองฉางผิงนั้นตั้งอยู่ในทิศตะวันออกของทวีปฟ้าสวรรค์ มันเต็มไปด้วยความเจริญรุ่งเรื่องและมีชีวิตชีวา แตกต่างจากชนเผ่าน้อยใหญ่และเมืองต่างๆที่หนิงเทียนเคยผ่านมาระหว่างเดินทาง

แม้ว่าเมืองฉางผิงจะถูกเรียกว่าเป็นเมืองก็ตาม แต่มันก็ยังเป็นดินแดนกว้างใหญ่ที่มีทั้งภูเขาและพื้นน้ำอยู่ภายในเมือง

ประชาชนนั้นรวมกลุ่มอยู่กันอย่างเนืองแน่น ภายในเมืองนั้นเต็มไปด้วยตระกูลใหญ่ สำนักใหญ่หรือแม้แต่สมาคมการค้ามากมายนับร้อยนับพัน

เพราะเหตุนี้มันจึงถูกยกให้ว่าเป็น1ใน3เมืองใหญ่ของทวีปฟ้าสวรรค์แห่งนี้และอาจจะกล่าวได้ว่ามันเป็นเมืองปกครองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแทบทิศตะวันออกก็ว่าได้

ระดับของประชาชนภายในเมืองนั้น ผู้ฝึกตนในดินแดนนักรบนั้นเป็นได้เพียงกลุ่มผู้ใช้แรงงานเท่านั้น

มีแต่ดินแดนองครักษ์ขึ้นไปเท่านั้น ถึงจะถูกยอมรับว่าเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริง

หนิงเทียนนั้นเดินทางผ่านเมืองน้อยใหญ่ หรือชนเผ่าต่างๆมากมายตลอดสิบกว่าวันที่ผ่านมานี้ มันก้าวท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ ขณะที่ซึบซับพลังไปตลอดทาง

จนมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูเมืองที่สูงสง่า มันสูงยิ่งกว่าร่างของมังกรพิษฟ้าครามที่มันเจอด้วยซ้ำไป

สำหรับหนิงเทียนแล้ว เมืองฉางผิงนั้น คือสถานที่ ที่คล้ายคลึงกับอาณาจักรฉินบ้านเกิดของมันในชีวิตก่อนมาก

หนิงเทียนก้าวเดินช้าๆชื่นชมไปกับภูมิทัศน์รอบๆ รวมไปถึงภูเขาที่ตั้งตะหง่าอยู่ภายในประตูเมือง อีกทั้งแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลตัดใจกลางเมือง

ขณะที่มันก้าวมายังใจกลางเมือง เสียงของผู้คนจำนวนมากต่างตะโกนแข่งกันหมายจะค้าขายสินค้าของตัวเอง บริเวณสองข้างทางที่ทอดยาวไปนั้น

ปรากฏกลุ่มคนนับพัน เดินจับจ่ายซื้อของเดินสวนกับมันอย่างไม่ขาดสาย

ในส่วนของสองข้างทางนั้นมีแม้กระทั่งร้านค้าสัตว์อสูร ร้านค้าวิญญาณธาตุ ร้านค้าหินลมปราณและที่คึกคักที่สุดคงหนีไม่พ้นร้านค้าโอสถ

พวกมันทั้งหมดตั้งเป็นแผงยาวเรียงรายกันนับร้อยๆร้าน

หนิงเทียนและเสี่ยวซวงเดินทวนกระแสน้ำที่ไหลตัดกลางเมืองขึ้นไป ก่อนที่จะหยุดอยู่หน้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง

มันติดป้ายที่ประดับไปด้วยหยกและทองชั้นดี บนป้ายนั้นสลักคำว่า ‘เหลาอาหารชิงเยี่ยน’

“เสี่ยวซวง เราไปหาอะไรกินกันก่อน บนเหลาอาหารนี้น่าจะมองวิวรอบๆเมืองได้อย่างชัดเจน ข้าอยากรู้ผังของเมืองนี้อย่างคราวๆสักหน่อย”

ขณะที่พวกมันทั้งสองกำลังเดินขึ้นเข้าไปในเหลาอาหารนั้น มีชายแก่หนังเหี่ยวดวงตาดำโปนเดินสวนกลุ่มของหนิงเทียน ใบหน้าที่แปลกประหลาดของมันคล้ายกับว่าไม่ใช่มนุษย์

หนิงเทียนจับจ้องร่างที่เดินสวนออกไปอย่างไม่ละสายตาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินต่อไป

นอกจากนี้หนิงเทียนยังเห็นมนุษย์ที่กำลังโอบอุ้มสัตว์อสูรตัวน้อยพร้อมทั้งตักอาหารในจานป้อนพวกมันอย่างสนิทสนม

ในเมืองฉางผิงนี้เผ่ามนุษย์และเผ่าวิญญาณสามารถใช้ชีวิตร่วมกันอย่างสงบได้

ในขณะที่พวกมันกำลังเดินยังไปยังเสี่ยวเอ้อ หนิงเทียนรับรู้ได้ถึงสายตาของฝูงคนที่เนืองแน่นในเหลาอาหารนี้ กำลังจับจ้องมายังเสี่ยวซวงเป็นสายตาเดียวกัน

หนิงเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าไปอย่างเป็นปกติ พร้อมกล่าวกับเสี่ยวเอ้อของร้าน “ข้าต้องการชั้นบนสุดที่มองเห็นวิวทั่วเมืองนี้”

กล่าวจบหนิงเทียนและเสี่ยวซวงกำลังจะก้าวขึ้นบันไดไปนั้น

เสียงของเสียวเอ้อ ดังออกพร้อมทั้งรีบวิ่งไปหาพวกเขา “หยุดก่อนนายท่าน” มันโค้งตัวลงก่อนจะกล่าวอย่างสุภาพ “นายท่านข้าต้องขอโทษด้วย แต่ที่นั่งชั้นบนสุด ถูกจับจ้องไว้หมดแล้ว”

หนิงเทียนขมวดคิ้วและปลายตาขึ้นมองไปยังชั้นบน “ที่นั่งมากมาย ข้าไม่เห็นว่ามีผู้ใดอยู่สักคนเดียว”

“นายท่านแต่ว่าผู้ที่จับจองที่นั่งทั้งหมดเป็นคนของตระกูลใหญ่” เสียวเอ้อกล่าวออกด้วยน่าทางหวั่นเกรง

หนิงเทียนหาได้สนใจไม่ มันโยนเหรียญทองหนึ่งเหรียญให้แก่เสียวเอ้อ พร้อมกล่าวออกว่า “เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องของพวกเรา”

เสียวเอ้อมองไปยังเหรียญทองในมือของมันก่อนจะกล่าวว่า

“ให้ข้า? ขอบพระคุณ คุณชายมาก” ด้วยการทำงานในเหลาอาหารมันได้รับเงินเพียงเดือนละ1เหรียญทอง

การได้รับเหรียญทองจากหนิงเทียนเท่ากันมันได้ทำงานถึงสองเดือน ใบหน้าของมันยิ้มแย้มทันใด

ความจริงแล้วแม้แต่คนในตระกูลใหญ่ยังไม่สามารถใช้เงินฟุ้มเฟือยได้เท่าหนิงเทียนเลย ตัวมันนั้นไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมายนัก

เพียงแต่เหรียญทองที่มันจับจ่ายใช้ออกทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นของที่ลั่วผอเก็บสะสมไว้ทั้งชีวิต

หนิงเทียนจึงใช้ออกโดยไม่ได้สนใจอันใดดั่งคำกล่าวที่ว่า เมื่อไม่ได้หา จะไม่รู้จักค่าของมัน

“ตอนนี้ข้าสามารถขึ้นไปได้แล้ว” หนิงเทียนถามออกอย่างไม่แยแส

“แน่นอนขอรับ”ก่อนที่มันจะผายมือไปข้างหน้า “นายท่านใหญ่และฮูหยินเชิญขอรับ”

ได้ยินเช่นนั้น เสี่ยวซวงปลายตามองด้วยแววตาที่คมกริบดุจกระบี่ เมื่อเห็นสายตาเช่นนั้นเสียวเอ้อสะดุ้งโหยง ก่อนจะรีบกล่าวใหม่ “นายท่านทั้งสองเชิญขอรับ”

พวกมันทั้งสองเดินไปยังชั้นบนสุด ก่อนที่หนิงเทียนและเสี่ยวซวงจะหยุดอยู่ตรงที่นั่งที่ดีที่สุดติดริมหน้าต่าง ทำให้พวกมันสามารถมองเห็นได้ทั่วทิศทางของเมืองฉางผิง

เมื่อเสียวเอ้อเห็นพวกมันทั้งสองนั่งลงแล้ว มันจึงกล่าวถามอย่างสุภาพ “นายท่านจะสั่งอาหารอะไรขอรับ”

“นำอาหารที่ขึ้นชื่อของเหลาเจ้ามา และนำสุราเลิศรสมาให้ข้า”

“เอ่ออ...นายท่าน ขอโทษด้วยที่ข้าต้องกล่าวเช่นนี้ แต่ว่า ท่านยังมีสิ่งที่ยังไม่ได้สั่งบ้างหรือไม่?” เสียวเอ้อกล่าวถามด้วยท่าทีอึดอัน

หนิงเทียนละสายตาจากทัศนียภาพรอบนอกมาจับจ้องไปยังเสียวเอ้อ

เมื่อเห็นสายตาเช่นนั้นเสียวเอ้อตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก

“คือว่า.... ถ้าผู้ที่จองชั้นนี้มาถึง ข้าน้อยไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นมารบกวนขอรับ”

ได้ยินเช่นนั้นหนิงเทียนอดที่จะรู้สึกสนใจในผู้ที่กำลังจะมาไม่ได้ มันจึงกล่าวถามออก “ผู้ที่จะมาเป็นใคร?”

“นายท่านข้าน้อยทราบแต่เพียงว่าชั้นนี้ทั้งชั้นถูกจองด้วยชื่อของตระกูลจ้าวขอรับ” เสียวเอ้อกล่าวตอบ

‘สกุลเจ้า’ ก่อนที่หนิงเทียนจะยกยิ้มขึ้นมุมปาก ข้ายังมีเงินก้อนโตเหลืออยู่อีกสินะ

ขณะที่เสียวเอ้อกำลังเดินลงไป หนิงเทียนเหมือนฉุกคิดเรื่องสำคัญออกมาได้ มันกล่าวถามด้วยเสียงที่ไล่หลังออกไป “เสียวเอ้อ เจ้ารู้วันประลองเลือกคู่ของตระกูลมู่หรือไม่?”

เสียวเอ้อได้ยินเช่นนั้นมันหยุดอยู่กับที่พร้อมหันหลังกลับมาตอบด้วยท่าทางสุภาพ

“นายท่าน ตระกูลมู่ จะจัดงานประลองในอีก 15วันขอรับ” เสียวเอ้อ กล่าวออกพร้อมกับมองไปยังสีหน้าของเสี่ยวซวง มันแย้มยิ้มเล็กน้อยพลางครุ่นคิดในใจ

'คุณชายท่านนี้มีสาวงามขนาดนี้อยู่เคียงข้าง ยังต้องการประลองเลือกคู่อีก โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมกับผู้คนจริงๆ' มันถอนหายใจออกแผ่วเบาและเดินจากไปทันที

ใช้เวลาไม่นานนัก จานอาหาร3-4อย่างถูกส่งขึ้นมาบนโต๊ะพร้อมกับสุราเลิศรสอีกหนึ่งไห

หนิงเทียนสูดกลิ่นของมันเขาไปเบาๆ ก่อนจะกล่าวออกมา “หืมม์ สุราวารีแดง สมกับเป็นเมืองใหญ่ สุราในระดับโลกที่4ยังสามารถหาซื้อได้ตามเหลาอาหารทั่วไป”

ในขณะที่สุราวารีแดงถูกกลืนเข้าไปมันรู้สึกรุ่มร้อนอยู่ภายในลำคอราวกับว่าวารีแดงกำลังเดือดระอุจากภายใน กลิ่นหอมจางๆของสุราลอยออกมาจากลมหายใจของหนิงเทียน

ในเวลาเดียวกันด้านล่างของเหลาอาหารชิงเยี่ยน เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นมาพร้อมกับกลุ่มคนนับสิบกำลังรวมกลุ่มกัน

“พี่ใหญ่พวกเราจับจินเหล่าต้า (อันดับหนึ่งแซ่จิน) ได้แล้ว นายน้อยจ้าวเย่กำลังนำตัวมันมาที่นี้” เสียงของเด็กหนุ่มในกลุ่มกล่าวออกแก่บุรุษร่างยักษ์ ตัวของมันสูงใหญ่ราว2เท่าของคนปกติเห็นจะได้

ใบหน้าของมันไม่ได้จัดว่าหล่อเหลาหรืออัปลักษณ์ แต่สิ่งที่เด่นเป็นสง่าของมันคือการแต่งกายที่ดูสูงศักดิ์

แค่ปลายตามองเพียงครั้งเดียวก็สามารถบอกได้เลยว่ามันนั้นเองที่เป็นหัวหน้าของกลุ่มคนพวกนี้

“จินเหล่าต้า” บุรุษร่างยักษ์เค้นเสียงออกมาด้วยความโกรธ ดวงตาของมันเป็นประกายราวกับถูกรุกไหม้ไปด้วยไฟโทสะ

ก่อนมันจะกล่าวว่า “ดีดีดี!! สารเลวนั้นกล้ามายุ่งกับฮูหยินรองของข้า มันหยามหน้าข้า ฉางอวี้มากเกินไปแล้ว!!!”

กล่าวจบมันเดินขึ้นไปยังลานอาหารชั้นบนสุดที่มันเตรียมไว้เป็นสถานที่จัดการกับบุุคคลที่ชื่อ 'จินเหล่าต้า'

ทุกๆการย่ำเท้าของมันส่งเสียงดังกึกก้อง ชวนเชิญให้ผู้ที่ได้ยินมองไปทางมันอย่างอดไม่ได้

หนิงเทียนที่มองดูเหตุการณ์ข้างล่างด้วยความรู้สึกผิดหวังอยู่ไม่น้อย มันคาดหวังว่าบุคคลที่มาจะเป็นจ้าวหยางแต่นี่กับเป็นโคถึกตัวไหนก็ไม่รู้

มันหันไปกล่าว“เสี่ยวซวง ข้าสั่งอะไรเจ้าต้องทำ ถูกต้องหรือไม่?” มันถามซ้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

เพราะตลอดเวลาหลายสิบวันที่มันร่วมเดินทางกันมานั้น หนิงเทียนไม่เคยออกคำสั่งใดๆแก่นางแม้แต่น้อย

นางมองไปยังหนิงเทียนด้วยสายตาไร้ความรู้สึก พร้อมพยักหน้าเล็กน้อย

“พอดีวันนี้ข้าอยาก จิบสุราชมทิวทัศน์อย่างสงบ” กล่าวจบมันใช้นิ้วทั้งสองถูกกันไปมาอยู่เพียงลมหายใจเข้าออก ปรากฏคาบดำบนปลายนิ้วมือ

จากนั้นหนิงเทียนใช้ปลายนิ้วของมันปาดไปยังใบหน้าที่สละสลวยของเสี่ยวซวงจนกลายเป็นอัปลักษณ์ดำปี้ ชวนให้ผู้ที่ได้มองรู้สึกขบขันเป็นอย่างมาก

เสี่ยวซวงแม้จะถูกกระทำเช่นนี้ใบหน้าของนางยังคงไร้อารมณ์เหมือนยามปกติ

จะมีเพียงสายตาเท่านั้นที่หรี่เล็กจับจ้องไปยังบุรุษที่กำลังแกล้งนางอย่างสนุกสนาน

เพียงไม่นาน กลุ่มคนนับสิบที่นำโดยบุรุษร่างยักษ์เดินขึ้นมายังเหลาอาหารชั้นบนที่กลุ่มของหนิงเทียนกำลังนั่งอยู่

มันปลายตาของไปยังหนิงเทียนเล็กน้อย ก่อนจะระบายลมหายใจขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจเท่าไรนักที่มีคนแปลกหน้าอยู่ร่วมในเหลาอาหารชั้นเดียวกับพวกมัน

ในขณะที่มันกำลังกล่าวอะไรบางอย่างแก่หนิงเทียน "............"

เสียงร้องของบุคคลหนึ่งดังขึ้นมาดึงความสนใจของบุรุษร่างยักษ์ไป

“ปล่อยข้าจ้าวเย่ พวกเจ้าไม่อายหรือไงที่ใช้คนมากมาจับตัวข้า” เสียงสุภาพอ่อนน้อมชวนฟังดังออกมาจาก บุรุษที่กำลังถูกจับกุมอยู่ทั้งสองข้าง

“ฮ่าฮ่าฮา 'เสเพลอันดับหนึ่งแห่งฉางผิง' จินเหล่าต้า วันนี้เจ้าได้ตายตามฉายาของเจ้าไปแน่” เสียงของจ้าวเย่ดังขึ้น

ขณะเดียวกันหนิงเทียนมองไปยังบุรุษที่เรียกตัวเองว่า จินเหล่าต้า ลักษณะของมันนั้นนับว่าเป็นชายที่หล่อเหลาคนหนึ่งทีเดียว

ด้วยใบหน้าคล้ายหยกและน้ำเสียงที่อ่อนนุ้มชวนฟัง ไม่แปลกใจที่มันจะล่อลวง ฮูหยินของผู้อื่นได้

ส่วนของเสียวซวงนั้นยังคงนิ่งเฉย นางเพียงแต่คีบอาหารเข้าปากอย่างไม่ใส่ใจต่อเรื่องราวใดๆทั้งสิ้น

ปัก!!! จ้าวเย่เตะไปยังต้นขาของจินเหล่าต้า ด้วยแรงเตะในขณะที่มันไม่ทันระวังตัวนั้น ส่งผลให้มันคุกเข่าสองข้างลงเบื้องหน้าบุรุษร่างยักษ์อย่างจนใจ

ทันทีที่มันเห็นหน้าบุรุษร่างยักษ์จินเหล่าต้า มันหัวเราะแห้งๆออกมาพร้อมแปรเปลี่ยนน้ำเสียงออกทันที“พี่ใหญ่ฉาง ข้าไม่เกี่ยวนะเป็นฮูหยินท่านที่ไม่สามารถทนความหล่อเหลาของข้าได้”

“สารเลว!!!”บุรุษร่างยักษ์ที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่ฉาง เค้นเสียงคำรามด้วยความโกรธก่อนจะกล่าวออก “สั่งสอนมัน อย่าให้มันจำใบหน้าที่มันภูมิใจได้อีก”

ในขณะที่กลุ่มคนนับสิบกำลังจะปะเคนทั้งหมัดและเท้าใส่ร่างของจินเหล่าต้านั้น มันร้องขึ้นเสียงหลง

“เดียว...เดียว อย่าพึ่ง” มันยกมือกล่าวห้าม ก่อนที่มันจะเหลือบไปมองโต๊ะอาหารที่อยู่ติดกับหน้าต่างพร้อมกล่าวออก

“พี่ใหญ่ ท่านจะทนมองน้องชายร่วมสายเลือดโดนคนเหลานี้ซ้อมได้หรือ?”

อึก!!! สุราที่กำลังเข้าปากหนิงเทียนกระเฉาะออกมาทันใด มันไม่คิดว่าบุรุษหน้าหยกคนนี้จะมีหน้าที่หนาถึงเพียงนี้

สิ้นเสียงของจินเหล่าต้า สายตานับยี่สิบคู่หันมองไปยังโต๊ะอาหารของหนิงเทียนอย่างพร้อมเพียง

2 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด