บทที่ 50 เมืองหยกงาม
เสียงของดาบสีดำนับสิบทิ่มแทงไปยังร่างเนื้อของมนุษย์อย่างโหดร้าย
หนิงเทียนใช้ร่างที่ไร้วิญญาณของฉางอินเป็นโล่กำบังดาบสีดำนับสิบพร้อมทั้งกระโดดถอยออกอย่างรวดเร็ว
ดวงตาของมันหรี่แคบลงอย่างดุร้ายมันไม่รู้สึกผิดในการกระทำเช่นนี้ออกไปแม้แต่น้อย สิ่งที่สำคัญที่สุดเป็นชีวิตของมัน
ขณะเดียวกันจิตสังหารของมันพุ่งทะยานเข้าปกคลุมไปทั่วพื้นที่พร้อมทั้งกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเย็นปนด้วยความอำมหิต
“จงไปตามทางของพวกเจ้าซะ ถ้าไม่เช่นนั้นจงจำใบหน้าของเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ไว้ให้ดี เพราะข้าจะไม่หยุดสังหารพวกเจ้า จนกว่าข้าจะสิ้นลม” คำกล่าวของหนิงเทียนเต็มไปด้วยจิตสังหาร
แม้ว่าพวกมันจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจภาษาของมนุษย์ก็ตามที แต่ด้วยจิตสังหารที่รุนแรงของหนิงเทียนนั้นทดแทนคำพูดได้เป็นอย่างดี
แมงป่องหางดำส่วนใหญ่พลันหยุดกีบหน้าของมันลงด้วยความหวาดกลัว
ขณะที่แมงป่องหางดำตัวใหญ่คล้ายกับเป็นหัวหน้ากลุ่มกำลังส่งเสียงให้เป็นสัญญาณอะไรบางอย่างให้แก่พรรคพวกของมัน
หนิงเทียนเห็นท่าทีสับสนของพวกมันเช่นนั้น จึงได้โอกาส กระโดดถอยหลังออกโดยเร็ว
ก่อนจะโยนร่างที่ไร้วิญญาณของฉางอิงออกไปเป็นเหยื่อล่อ เพื่อสร้างโอกาสหลบหนีออกโดยไว
ร่างไร้วิญญาณของฉางอินลอยไปตกตรงหน้าของฝูงแมงป่องหางดำ พวกมันจับจ้องด้วยความหิวโหย ก่อนพุ่งตัวด้วยสัญชาตญาณของสัตว์เดรัจฉัน
เข้าแย่งกันกัดกินซากศพอย่างบ้าคลั่ง อวัยวะทุกส่วนถูกฉีกกระชากออกจากร่าง เพียงพริบตาเดียว ร่างของฉางอินหายไปไม่เหลือแม้แต่กระดูก
เห็นภาพเช่นนั้นหนิงเทียน ระบายลมหายใจออกมา ประกายตาเศร้าลงเล็กน้อย
มันเก็บขวดหยกสีเขียวลงไปในแหวนมิติ พร้อมกับล้วงแผนที่หนังสัตว์ออกมาดูก่อนจะพึมพำกับตัวเอง ‘เมืองหยกงาม’ พร้อมกับหันหลังเดินจากไปอย่างเงียบเฉียบ
ขณะเดียวกันฝูงแมงป่องหางดำที่รุมกินซากศพของฉางอิน จู่ๆร่างของพวกมันแข็งค้างไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่ตัวเดียว
ชั่วลมหายใจต่อมาร่างกายอันน่าเกลียดของมันค่อยๆละลายทีละน้อย
ไม่มีเสียงของแม้แต่เสียงร้องที่ออกปากของพวกมัน ราวกับว่าจิตใจของมันได้ตกตายไปก่อนร่างกายแล้ว ไม่นานนักร่างของแมงป่องหางดำนับสิบตัวหายไป
ปรากฎแอ่งน้ำพิษสีเขียวขนาดใหญ่ไหลชะโลมทั่วพื้นทราย ก่อนที่จะค่อยๆเหือดแห้งไปด้วยอากาศที่ร้อน
.....
ในหุบเขาปิดภายใต้กำแพงที่สูงเด่น รั้วที่สร้างจากเหล็กหลอมประดับประดาด้วยหยกต่างสีมากมาย ตั้งอยู่ล้อมรอบทั้งสี่ด้าน เพียงมองเพลินๆก็บ่งบอกได้ถึงความร่ำรวยของผู้คนในเมืองได้
แต่เนื้อแท้ของเมืองที่ประดับประดาไปด้วยหยกนั้นกลับแตกต่างจากภายนอกอย่างสิ้นเชิง
บนท้องถนนเต็มไปด้วยเศษกองขยะและกลุ่มยาจกมากมายที่นั่งเรียงรายขออาหารกันเป็นแนวยาว
ถ้ามองไปรอบๆเมืองจะเห็นเพียงเด็กและคนชราเท่านั้น
ภายในปราสาทที่สง่างาม ชายฉกรรจ์ร่างเตี้ยเปลือยกายท่อนบน นั่งอยู่บนที่พำนักอันหรูหรา มือขวาของมันกำลังยกสุราเลิศรสเข้าไปในปาก
ส่วนมือซ้ายกำลังโอบกอดอิสตรีที่ใบหน้าเปื้อนไปด้วยร่องน้ำตา
“เอาสุรามาให้ข้าเพิ่ม” ชายร่างเตี้ยตะโกนสั่งทหารของมัน
“ท่านเจ้าเมือง เราไม่มีสุราเขียวขจีเหลืออยู่แล้วขอรับ” ทหารในชุดเกราะกล่าวตอบ
เพ้งงง!!!!
ชายร่างเตี้ยโยนจอกสุราลงพื้นด้วยความโมโห พร้อมกล่าวออก“ม่ออู่ ส่งคนไปเมืองไห่หนาน ซื้อสุราเขียวขจีมาให้ข้าอีก100ลัง”
“แต่ว่าท่านเจ้าเมือง สุราเขียวขจีมีราคาถึงลังละ10000เหรียญทองเลยนะขอรับ” ทหารในชุดเกราะนาม ม่ออู่ กล่าวออกด้วยความลำบากใจ
“ข้าสั่งเจ้าก็ไปทำอย่าได้สู่รู้ให้มากนัก” มันกล่าวออกอย่างไร้อารมณ์
“ขอรับ” ม่ออู่รับคำอย่างจนใจ
“ม่ออู่สตรีที่เจ้าจับมาให้ข้าเมื่อวาน มันช่างโง่เง่าเสียจริงไม่ทันไรก็ชิงฆ่าตัวตายไปแล้ว เจ้าจงไปหามาให้ข้าใหม่
ในส่วนแรงงานขุดหยก ถ้าไม่พอ เจ้าไปจับผู้ชายมาเพิ่มได้เลย ไม่ต้องถามความเห็นข้า
ตราบใดที่มีเงินเข้าคลังเพียงพอ ตำแหน่งแม่ทัพของเจ้าไม่มีทางสั่นคลอน ฮ่าฮาฮาๆ” เมื่อกล่าวจบมันหัวเราะออกอย่างบ้าคลั่ง
ทหารอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับคุกเข่าลง “ท่านเจ้าเมือง วันนี้ท่านจะดูการประลองมนุษย์หรือไม่พวกเราจับหมีดำตัวใหญ่มาได้”
“ไม่ต้องวันนี้ข้าเบื่อๆ ข้าจะไปหาเสี่ยวซวง” กล่าวจบมันรุกเดินไปทันที เวลาผ่านไปชั่วครู่มันไม่ได้ตรงไปยังห้องนอนแต่อย่างใด เวลานี้มันกลับมาหยุดอยู่หน้าคุกเหล็กที่ป้องกันด้วยประตู2ชั้น
“วันนี้อาการนางเป็นอย่างไรบ้าง” มันถามออกกับยามที่เฝ้าหน้าประตู
“อาการของนางแปลกขึ้นทุกวันเลยขอรับ นางไม่ได้กินอาหารตลอดเวลา3เดือนที่ผ่านมาแต่ที่น่าแปลกคือร่างกายของนางไม่มีทีท่าจะอ่อนแรงเลย
และพลังฝึกตนของนางกลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทุกวัน เมื่อเช้าท่านยายโหยว นำหินมาวัดระดับพลังของนางอยู่ที่องครักษ์ขั้น9แล้วขอรับ”ทหารยามรีบกล่าวรายงานอย่างละเอียด
ได้ฟังรายงานเช่นนั้นเจ้าเมืองลี่หลิน(เจ้าเมืองหยกงาม)ก้าวเดินลงไปยังคุกใต้ดินที่ป้องกันอย่างแน่นหนา
เพียงชั่วครู่มันมาหยุดอยู่เบื้องหน้า เด็กสาวที่ไร้สตินางถูกจับตึงแขนทั้งสองไว้กับโซ่เหล็ก
เจ้าเมืองลี่หลินมองไปยังรูปร่างโค้งเว้าได้รูป ผมที่ยาวสลวย ใบหน้าที่ขาวบริสุทธิ์ ริมฝีปากบาง แม้จะอยู่ในสภาพที่ไร้สติใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดออกมา
ยังนับได้ว่านางนั้นงดงามประดุจรูปปั่นน้ำแข็งที่เย็นเยือก
เห็นเช่นนั้น มันใช้มือลูบไล้ไปยังใบหน้าที่ขาวบริสุทธิ์ “เสี่ยวซวงนะเสี่ยวซวง อีกไม่นานเจ้าจะเป็นของข้า” กล่าวจบมันหันตัวกลับพร้อมสั่งไปยังทหารยาม “ไปเรียกแม่เฒ่าโหยว มาหาข้า”
ไม่นานนัก หญิงชราที่มองผ่านๆอายุไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยปี เดินโค้งค่อมหลังเข้ามา
“ท่านเจ้าเมืองเรียกหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ?”
“แม่เฒ่าโหยวทักษะลบความทรงจำของท่านต้องใช้เวลาอีกแค่ไหน นี้ก็ผ่านมา3เดือนแล้ว ข้าต้องการนาง” มันกล่าวถามอย่างเร่งรีบ
“ท่านเจ้าเมือง อย่าได้ใจร้อนไปอีกเพียงไม่นาน นี้ก็ผ่านมา95วันแล้ว ทักษะลบความทรงจำของข้าต้องให้นางสูดกำยานหลงลืมตลอด99วัน
เวลานี้เหลืออีกเพียง4วันเท่านั้น ท่านจะได้ทั้งภรรยาแสนสวยที่จงรักภักดีอีกทั้งยังเป็นนักฆ่าไร้จิตสำนึกอีกด้วย”หญิงชราแซ่โหยวกล่าวออกมาด้วยความภาคภูมิในผลงานของตัวเอง
สามวันต่อมา ณ. ประตูเมืองที่สูงเด่นประดับไปด้วยหยก เสียงของล้อเกวียนดังกระทบพื้นเป็นช่วงๆ ผู้คนมากมายที่หลงเสน่ห์สีสันของรูปลักษณ์ภายนอกต่างทยอยเข้าเมืองกันโดยหวังที่จะทำการค้า
“เจ้า เป็นใคร” ทหารยามยังคงตรวจตราอย่าเข้มงวด
“พี่ทหารข้าเดินทางมาที่นี้เพราะได้ยินชื่อเสียงของเมืองลี่หลินว่าเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อในเรื่องของหยก”
“ถอดผ้าคลุมหัวเจ้าของ”ทหารอีกคนกล่าวสั่งเสียงแข็ง
มันระบายลมหายใจออกมาก่อนจะดึงผ้าคลุมที่ปิดศีรษะตนเองออก ปรากฎให้เห็นใบหน้าของหนิงเทียนภายใต้ผ้าคลุมนั้น“พี่ชายข้าเข้าไปได้หรือยัง”
“ยัง เจ้าต้องจ่ายค่าเข้าเมืองมาก่อน 10เหรียญทอง” ทหารยามกล่าวออกด้วยสายตาที่โหดเหี้ยม
“พี่ทหาร ไม่ใช่ว่าข้าไม่ยากให้เงินท่านนะ แต่ว่าข้าจะบอกอะไรให้พี่ทหารได้ฟังอย่างหนึ่ง
ตัวข้านั้นเป็นคนอัปโชค ถ้าผู้ใดได้เหรียญทองข้าไป คนผู้นั้นจะต้องดวงจู๋ไปนานเลยละ” หนิงเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ได้ยินเช่นนั้น ทหารยามบังเกิดอาการกลัวขึ้นภายในใจ มันนั้นเป็นผู้รับเงินก็จริง
แต่เงินทุกเหรียญทองจะถูกส่งไปให้ท่านเจ้าเมืองทั้งหมด ในขณะที่มันกำลังจะกล่าวผ่อนปรนให้แก่หนิงเทียนนั้น
‘ฮ่าฮ่าฮ่าๆๆๆ’ เสียงหัวเราะดังลั่นออกมาจากภายในประตูเมือง เจ้าของเสียงหัวเราะนั้นค่อยๆเดินตรงมายังหนิงเทียน
ทหารยามทั้งหมดในบริเวณนั้นยืนตรงแสดงความเคารพพร้อมกล่าวออก “แม่ทัพม่อ”
ม่ออู่เพียงพยักหน้าแก่เหล่าทหาร พร้อมทั้งกล่าวออก “เจ้าหนุ่ม เจ้าบอกว่าเงินของเจ้ามันอัปมงคลใช่หรือไม่”
“ถูกต้องแล้วท่านแม่ทัพ” หนิงเทียนกล่าวตอบอย่างแย้มยิ้ม
“ไร้สาระ คำโป้ปดของเจ้าหลอกลวงได้เพียงทหารยามเท่านั้น ส่งเงินมาข้าจะรับไว้เอง” ม่ออู่กล่าวออกด้วยท่าทีดุร้าย
หนิงเทียนจำใจหยิบเงิน10เหรียญทองให้แก่ม่ออู่พร้อมกับกล่าวเตือนอีกครั้งหนึ่ง
“อย่าได้โทษข้านะท่านแม่ทัพ ถ้าเกิดโชคชะตาของท่านมันไม่ดี”กล่าวจบมันเดินหายเข้าไปในเมือง
ในระยะเวลา3วันที่ผ่านมา อาการบาดเจ็บของหนิงเทียนดีขึ้นกว่า5ใน10ส่วน
แต่พลังปราณในร่างของมันพึ่งจะเติมเต็มดวงตะวันได้เพียงดวงเดียวเท่านั้น ยังเหลืออีกถึงเจ็ดดวงมันถึงจะสร้างรากฐานกลายเป็นปราชญ์อย่างแท้จริง
หนิงเทียนคำนวณคราวๆมันต้องใช้เวลาอีกราวหนึ่งเดือนถึงจะเติมเต็มทั้งแปดดวงและใช้พลังปราณได้เหมือนเดิม
ในระหว่างที่มันคล้ายกับเป็นคนพิการนี้มันต้องระวังตัวเป็นอย่างมาก
และด้วยเหตุผลเช่นนี้มันจึงต้องปลอมตัวแฝงเข้ามากับกลุ่มพ่อค้า แต่เมื่อมันได้พบกับแม่ทัพม่ออู่แล้ว ความหนักใจของมันก็คลายลง แม่ทัพของเมืองลี่หลินเป็นเพียงองครักษ์ขั้น1เท่านั้น
หนิงเทียนใช้เวลาเดินสำรวจทั่วทั้งเมืองลี่หลินอยู่ชั่วครู่ และก็เป็นไปตามที่มันคาดคิดระดับเฉลี่ยของทหารในเมืองนี้แข็งแกร่งกว่าพวกชนเผ่าต่างๆเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
มันยังใช้เวลาอีกเกือบชั่วยามเพียงเพื่อสำรวจสำนักหรือขุมกำลังที่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองนี้ แต่แล้วมันพบว่าเป็นม่ออู่ที่แข็งแกร่งที่สุดเมืองนี้
เวลานี้การที่มันต้องต่อสู้กับแดนองครักษ์ขั้น1 นั้นเพียงแค่ร่างกายและกระบวนท่าก็เพียงพอแล้วที่จะล้มพวกมันลงได้
คิดออกเช่นนั้น หนิงเทียนไม่รอช้า มันตรงไปยังจวนเจ้าเมืองทันที
บริเวณใจกลางคฤหาสน์เจ้าเมือง ปรากฏฝูงชนนับร้อยคนรวมกลุ่มกันอยู่ สีหน้าของแต่ละคนตกอยู่ในความหวาดกลัว บ้างก็อยู่ในความคลุ้มคลั่ง
“ปล่อยหมีดำออกมา” สิ้นเสียงของเจ้าเมือง ทหารยามนับสิบส่งแรงดึงโซ่เหล็กเปิดกรงของสัตว์เดรัจฉานออก
“ใครสังหารหมีดำตัวนี้ได้ ข้าจะให้รางวัล100เหรียญทองทั้งยังไม่ต้องไปทำงานเหมืองหยกอีกต่อไป
พวกเจ้าจงสร้างความบันเทิงให้แก่ข้า เพราะมันจะเป็นทางรอดเดียวของพวกเจ้า” สิ้นเสียงของเจ้าเมืองลี่หลิน
หมีดำที่เป็นสัตว์ป่าขั้น2 พุ่งเข้าฉีกร่างชาวบ้านทีละคนสองคน เสียงกรี๊ดร้อง โหยหวนดังขึ้นอย่างน่าอเนจอนาถ
หนิงเทียนมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยแววตาเฉยเมย มันไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
เป้าหมายในการมาครั้งนี้ของมันเพื่อช่วยเหลือคนรักของฉางอินเท่านั้น ไม่ใช่มาเพื่อปลดปล่อยผู้คนเหลานี้
เวลาผ่านไปชั่วกาน้ำเดือด ไม่ว่าจะด้วยโชคชะตาหรือความบังเอิญ หนึ่งในกลุ่มชาวบ้านได้ใช้มีดแทงยังกลางหน้าผากหมีดำ
ตุ้บบบ!!! ร่างอันใหญ่ยักษ์ของหมีดำล้มลงกับพื้น
“ข้า....ข้าทำได้” ชายฉกรรจ์ตะโกนออกมาด้วยความดีใจ ขณะที่มันกำมีดที่เปื้อนเลือดของหมีดำไว้แน่นคล้ายว่าถ้ามันปล่อยมีดลง หลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ามันเป็นผู้สังหารจะหายไป
เจ้าเมืองลี่หลินคำรามออกมาด้วยความโกรธ “บัดซบเจ้าสารเลวนั้น บังอาจสังหารหมีดำของข้า ทหาร!! จับมันไปสังหาร”
“อย่า......อย่าเข้ามา”ชายฉกรรจ์ร้องอออกเสียงหลง พร้อมทั้งหันไปกล่าวด้วยท่าทีหวาดกลัวอย่างสุดแสน “ท่านเจ้าเมือง ท่าน...ข้าสังหารหมีดำได้ ทำไมท่านถึงผิดคำพูด”
“น่าเบื่ออะไรเช่นนี้...” สุ้มเสียงดังออกมาจากกลุ่มของชาวเมือง ปรากฏเป็นร่างของหนิงเทียนกำลังก้าวออกมาหยุดยืนท่ามกลางฝูงชน
“หืมม? เจ้าว่าอย่างไร” เจ้าเมืองลี่หลินถามออกอย่างไม่เชื่อหู มันไม่คาดคิดว่าจะมีคนกล้าต่อต้านมัน
“ดูเหมือนจะไม่เข้าใจสิ่งที่ข้าพูด ข้าหมายถึง ข้าเบื่อที่จะดูการแสดงตลกของเจ้าอีกแล้ว” มุมปากของหนิงเทียนยกขึ้นอย่างน่าหวาดกลัว
“สารเลว กล้าขัดขืนข้าตาย.... ทหาร!! ฆ่ามัน” สิ้นเสียงของเจ้าเมืองทหารนับสิบกรูกันเข้าใส่หนิงเทียนทันที
หนิงเทียนไม่เพียงแต่จะปลายตามองด้วยซ้ำ ดินแดนนักรบขั้นที่7และ8 นับว่าเป็นเพียงมดในสายตาของมัน
หนิงเทียนปล่อยหมัดออก ด้วยวิชากายาเทพอสูรของมัน แม้จะมิได้ใช้ลมปราณส่งเสริมก็เพียงพอแล้วที่จะสังหารเหลาทหารมดในหนึ่งหมัด
ปัง!!! ร่างกายของทหารที่พุ่งเข้าใส่ถูกหมัดขวาของหนิงเทียนส่งร่างให้ลอยล่องไปตกยังเบื้องหน้าเจ้าเมืองลี่หลิน
เห็นเช่นนั้นทหารที่เหลือหยุดชะงักเท้าแข็งพวกมันไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อย
แตกต่างจากชาวบ้านโดยรอบอย่างสิ้นเชิง ใบหน้าของพวกมันเริ่มมีสีเลือดขึ้นราวกับว่าพวกมันได้พบนักบุญที่ยิ่งใหญ่เดินทางมาโปรดพวกมัน
“เฮ้!!! ท่านนักบุญมาโปรดพวกเราแล้ว!!!”
“จริงๆด้วยพวกเรารอดแล้ว??”
“ข้าไม่อยากเชื่อเลย ในที่สุดฟ้าก็เปิดให้พวกเรา?!!!”
“ฮื่อๆ ขอบคุณสวรรค์!”
เสียงโห่ร้องสรรเสริญปะปนกับเสียงสะอื้นไห้ดังขึ้นไม่หยุด
ทันใดนั้นเสียงตวาดก้องดังลั่นไปทั่วจวนเจ้าเมือง “หุบปากเจ้าพวกโง่!!!!!”
สายตาของหนิงเทียนเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม “คิดว่าข้ามาเพื่อช่วยพวกเจ้า?อย่าได้ฝันเลย
ข้าละเกลียดพวกที่ชอบพึ่งพาแต่คนอื่นเป็นที่สุด พวกสวะชั้นต่ำอย่างพวกเจ้าตายไปสักพันสองพันคน โลกนี้ก็ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย"
คราวนี้มันเปล่งเสียงที่ดังยิ่งกว่าทุกครั้งจนทั่วทั้งบริเวณ "คนที่เอาแต่รอคอยความช่วยเหลือจากผู้อื่นอย่างพวกเจ้านะ เน่าตายไปก็ไม่มีใครสนใจ ”