ตอนที่42 มันคือสิ่งสำคัญ
ตอนที่42 มันคือสิ่งสำคัญ
“เวลาขคับขันเช่นนี้จะให้ข้าทำเยี่ยงไรล่ะ?”
หลิงฉางเจวี่ยเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย แต่เนื่องด้วยฤทธิ์ความหนาวเหน็บจนชาไปทั่วร่าง ทำให้เขาไม่สามารถพูดอะไรไปมากกว่านี้ได้
“ฉางเจวี่ย เจ้าชอบน้องหลี่หวงจริงๆรึ?”
สำหรับน้องสาวคนดีของเขา จวิ๋นหลี่จิวไม่เคยเคลือบแคลงใจในเสน่ห์ความสวยของนาง แต่ที่เขาไม่เข้าใจเลยก็คือ ชายผู้สูงศักดิ์ตรงหน้าที่มีจิตใจเย็นชาเสียยิ่งกว่าน้ำแข็งคนนี้ ไฉนถึงมาตกหลุมรักน้องสาวตนเองได้?
แต่เดิมจวิ๋นหลี่จิวหลงคิดไปว่า ที่หมอนี่ไม่มีความสนใจและฝักใฝ่สตรีใด เพราะจิตใจผิดแปลกใคร่รักกับบุรุษกันเอง
“ข้ามิทราบเช่นกันว่าความรู้สึกนี้เรียกชอบหรือไม่? เพียงว่าครั้งแรกที่พบพานแด็กสาวคนนี้ แม้ว่ารูปลักษณ์จะมิได้งดงาม ทว่าข้ากลับรู้สึกถูกชะตา ตอนนั้นข้าแอบลอบเข้ากระท่อมนาง และจับจ้องดูนางต่อสู้กับสาวรับใช้อยู่”
“ต่อมารูปลักษณ์ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนไป ยิ่งพบเจอนางยิ่งเจิดจ้าขึ้นภายในใจ ฝันเพียงว่าอยากให้นางอยู่ข้างกายข้าตลอดไป”
หลิงฉางเจวี่ยนึกถึงความทรงจำวันวานที่พบเจอนางครั้งแรก ก็อดคลี่ยิ้มออกมามิได้
จวิ๋นหลี่จิวนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะถอนหายใจเสียวยืดยาวกล่าวว่า
“เจ้าเองก็พึงทราบ ตอนพระชายาตั้งชื่อหลี่หวงขึ้นมา นางทรงกำชับไว้หนักแน่นยิ่งว่า ห้ามให้นางแต่งเข้าตระกูลราชวงศ์เด็ดขาด หากเจ้าไม่จริงใจกับน้องสาวคนนี้ ข้าแนะนำให้เจ้าควรหยุด”
วาจาคำกล่าวนี้ของจวิ๋นหลี่จิวไม่ได้สุภาพนักดั่งที่แล้วมา ความหมายในประโยคนี้ค่อนข้างชัดเจนว่า เขาไม่ต้องการให้หลี่หวงกับหลิงฉ่างเจวี่ยแต่งงานกัน แต่ในฐานะพี่น้องก็อีกเรื่องหนึ่ง เพราะการเฝ้าเป็นห่วงผู้เป็นน้อยก็นับว่าเป็นหนึ่งในคุณสมบัติของผู้เป็นพี่ควรมี
ในช่วงเย็น จวิ๋นหล่าจิวดื่มสุราค่อนข้างหนัก หากเขาไม่ได้ยินหลิงฉางเจวี่ยเอ่ยดกล่าวเรื่องหมั้นหมายในตอนกลางวัน เขาคงรู้สึกมีความสุขกว่านี้!
แต่มิใช่ว่าเขาจะมีอำนาจมากพอที่จะหยุดความคิดใครสักคนได้ตามต้องการ
“เช่นนั้ข้าผู้นี้จะพิสูจน์ให้เห็น”
หลิงฉางเจวี่ยกล่าวสีหน้าจริงจัง
จวิ๋นหลี่จิวมิได้เอ่ยกล่าวอันใดอีก เขาหันไปมองหลี่หวง พร้อมด้วยแววตาที่เปี่ยมล้นความรู้สึกสุดแสนจะปวดใจ
จากนั้นทั้งสองก็มิได้คุยอะไรกันอีกตลอดทั้งคืน
ก่อนฟ้าสาง หลี่หวงค่อยๆได้สติลืมตาตื่นขึ้นมทา
สภาพแวดล้อมโดยรอบที่ผ่านเข้ามาในสายตา หาใช่ห้องของตนเองที่คุ้นเคย
ความรู้สึกแรกหลังจากที่หลี่หวงตื่นขึ้นมาคือ ความหนาวเหน็บแผ่ซานไปทั้วร่าง แม้จะมีผ้านวมชั้นหนาห่มอยู่ก็ตาม
ความเหน็บหนาวนี้มันกัดกินไปถึงขั้วกระดูก!
หลี่หวงลองขยับเขยื้อนมือไม้ดูเล๋กน้อย นอกจากความชาจากความเย็นแล้ว นางก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเป็นพิเศษ
แรงกระเพื่อมจากการเคลื่อนไหวของนาง ทำให้ชายร่างสูงทั้งสองที่นอนฟุบอยู่ข้างฟูกสะดุ้งตื่นขึ้นมา
“น้องหลี่หวง! เจ้าไม่เป็นอะไรแล้ว?”
หลี่หวงที่เห็นทั้งสองเงยหน้าขึ้นมาอย่างฉับพลันก็ตกใจเล็กน้อย ขอบตาของทั้งคู่ดูคล่ำขึ้นถนัดตา ประดุจว่าไม่ได้หลับได้นอนตลอดทั้งคืน
อย่างไรก็ตาม คล้อยหลังได้ยินคำกล่าวของทั้งคู่ หลี่หวงก็อดนึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อวานมิได้!
ใบหน้าของนางแดงระเรื่อขึ้นทันที!
นางเหลือบหางตามองไปที่หลิงฉางเจวี่ย...
นี่ข้าทำอะไรลงไป! แถมยังทิ้งทวนรอยขวนที่กลางหลังของหมอนี่อีก!
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อคืนยังเกือบจะกินชายคนนี้ไปแล้ว...
“น้องหลี่หวง เจ้ารู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวตรงไหนอีกหรือไม่?”
จวิ๋นหลี่จิวยกนิ้วขึ้นจับชีพจรบนข้อมือของหลี่หวงไว้ คล้อยหลังแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรผิดปกติ เขาจึงเอ่ยถามย้ำอีกครั้งอย่างห่วงใย
“ไม่มีแล้ว”
หลี่หวงส่ายหน้าและลุกขึ้นมานั่ง
ภายในใจรู้สึกอบอุ่นอย่างมากต่อความรักใคร่ที่พวกเขาทั้งสองมอบให้ ทว่าติดตามมาด้วยเพลิงความพิโรธที่ลุกโชนขึ้นมา!
“”
“พี่จิว พวกเรากลับกันเถอะ”
ดวงตาของหลี่หวงเผยสะท้อนบางสิ่งอย่างออกมาซึ่งที่เรียกกันว่า‘จิตสังหาร’
จวิ๋นหลี่จิวที่เห็นแววตาของน้องสาวตนเอง เขาก็เพิ่งนึกขึ้นได้ ความโกรธเกรี้ยวพุ่งทะลุจุดศูนย์ขึ้นทันใด
ทางด้านหลิงฉางเจวี่ยสังเกตเห็นชัดเจนว่า หลี่หวงจงใจเมินเขา แต่ก็มิได้ปริปากกล่าวอะไรเช่นกัน
นางคงนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้
แววตาของนางแฝงความลุกลี้ลุกลน พยายามหลบซ่อนไม่กล้าเผชิญหน้ากับหลิงฉางเจวี่ย
แต่พอเห็นว่านางแข็งแรงดีแบบนี้ หลิงฉางเจวี่ยเองก็รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก และลุกขึ้นไปหยิบเสื้อผ้าแพรพรรณชุดหนึ่งออกมาจากตู้ ซึ่งเขาเป็คนหาชุดมาเปลี่ยนใหม่ให้นางตั้งแต่เมื่อคิน
หลิงฉางเจวี่ยวางชุดนั้นไว้ข้างหมอนของหลี่หวงโดยไม่พูดไม่จา และยืนเงียบไร้ตัวตนดังเดิม
“น้องหลี่หวง เจ้าโดนไอ้บัดซบพวกนั้นกลั่นแกล้งมามากพอแล้ว! บอกข้ามาว่าผู้ใดกันที่ทำเจ้า!? หากพวกมันเลวยกตระกูล ข้าจะล้างบางสายเลือดสกปรกเหล่านี้เอง!”
เนื่องจากจวิ๋นหลี่จิวกำลังเดือดจัด จึงไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติระหว่างหลิงฉางเจวี่ยกับหลี่หวง
“เรื่องนี้พี่จิวไม่ต้องยุ่ง ข้าจัดการพวกมันเอง!”
หลี่หวงขบกรามแน่น พร้อมกระโดดลุกขึ้นพรวดจากเตียงทันทีที่พูดจบ
กล้าวางยาข้างั้นเหรอ? หาเรื่องผิดคนแล้วไอ้เวร!
พอฆ่าไม่ได้ ก็วางแผนจะทำลายชื่อเสียงของนาง?
หลี่หวงกำหมัดแน่น แม้ว่าหลี่หวงจะไม่เข้าใจจารีตประเพณีของโลกแห่งนี้เท่าไหร่ แต่นางก็พึงทราบว่า พรหมจรรย์มันสำคัญต่อสตรีนางหนึ่งแค่ไหน!
เรื่องแบบนี้ใครๆก็รู้จริงไหม?!
หลี่หวงคว้าเสื้อผ้าจัดแจงสวมใส่อย่างรวดเร็ว
ชายทั้งสองหันมาสบตากัน ฉายแววตะลึงออกมาจนพูดไม่ออก
หลังจากแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จสรรพ นางก็เดินไปจูงมือจวิ๋นหลี่จิว พอหันไปหาหลิงฉางเจวี่ยกลับก้มหน้าใส่ไม่กล้าสบตา แต่นางก็ยังเอ่ยขึ้นว่า
“ฉางเจวี่ย พาพวกเรากลับไปจวน!”
ดวงตาคู่นั้นของหลิงฉางเจวี่ยเปล่งประกายอีกครั้ง เขาหันควับมองไปที่นางด้วยความตื่นเต้น แม้นางจะก้มหน้าไม่กล้าสบตา แต่อย่างน้อยก็พูดกับเขาแล้ว!
หลิงฉางเจวี่ยไม่พูดพล่ามอันใดอีกต่อไป เขาใช้มือแหวกห้วงมิติตรงหน้า และชั่วพริบตาเดียว ทั้งสามก็กลับมาถึงจวนตระกูลจวิ๋น!
หลี่หวงสงสัยในความสามารถของหลิงฉางเจวี่ยมาโดยตลอด นัยน์ตาสีทองอร่ามของเขา เป็นเครื่องยืนยันชั้นดีว่า อีกฝ่ายเป็นนักอัญเชิญธาตุศักดิ์สิทธิ์ แต่ทุกครั้งที่หลิงฉางเจวี่ยปรากฏตัวขึ้นมา แม้เมื่อวานนางจะหมดสติ แต่นางก็ยังสัมผัสได้ว่า อีกฝ่ายมีความสามารถในการเดินทางผ่านห้วงมิติ!
หรือเป็นไปได้ไหมว่า...เขาจะเป็นนักอัญเชิญธาตุมิติในตำนาน!
เบื้องหลังของชายคนนี้เต็มไปด้วยความลับ!
พอเห็นว่าทั้งสองรู้จักกันแบบนี้ หลี่หวงก็ไม่รู้จะบรรยายอะไรออกมาเช่นกัน บทจะเรียกนึกไม่ออก ก็เลยเรียกไปห้วนๆว่า ฉางเจวี่ยแทนแล้วกัน
หลิงฉางเจวี่ยยังพาหลี่หวงกับหลี่จิวมาข้ามห้วงมิติกลับมายังเรือนบุปผาโปรยปรายของนาง
พอมาถึงทั้งสามก็เห็น ฮั่วหยางกับเหยาอวี้ที่กำลังนอนร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่บนพื้น พอเห็นห้วงมิติตรงหน้าบิดเบี้ยวก่อนจะปรากฏเป็นร่างของหลี่หวงขึ้นมาติ่หน้าต่อตา พวกมันก็อดตื่นเต้นดีใจมิได้!
“นายท่าน! ไปตายที่ไหนมา!”
“นายท่าน ข้า...ข้าคิดว่าท่านไม่ต้องการพวกเราแล้ว... แงง....”
ฮั่วหยางระเบิดน้ำตาออกมาทันทีอย่างไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป
เมื่อได้ยินคำทักทายอันปั่นประสาทของเหยาอวี้ และความขี้แยของฮั่วหยาง หลี่หวงก็อารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย นางเดินไปลูบหัวของพวกมันทั้งสองและกล่าวน้ำเสียงอ่อนโยนขึ้นคำหนึ่งว่า
“ข้าขอโทษที่ทำให้พวกเจ้าเป็นห่วง...”
เหยาอวี้เบ้ปากใส่ เชิดหน้ากล่าวขึ้นว่า
“ข้าไม่ได้เป็นห่วง! จริงไหมฮั่วหยาง?”
ฮั่วหยางพยักหน้าอย่างใสซื่อ ทว่ายังกล่าวทั้งน้ำตาว่า
“ฮึก... ข้าไม่ได้เป็นห่วงสักหน่อย..ฮึก..ฮึก... ฮืออ....แงงง~ ขอกอดหน่อย!!”
หลี่หวงเขกหัวฮั่วหยางไปทีหนึ่งและกล่าวดุว่า
“อย่าขี้แย!”
ฮั่วหยางไม่ได้รู้สึกโกรธแม้แต่น้อย ทว่าพอจะเอ่ยปากกล่าวกลับเหลือบไปเห็นชายร่างสูงทั้งสองที่ยืนอยู่มุมห้อง
สีหน้าของมันพลันมืดทมิฬลงทันที พร้อมเร่งเร้าเพลิงบัวโลหิตในกายจนปะทุขึ้น!
หลี่หวงโบกมือห้ามและกล่าวว่า
“พวกเขาเป็นสหายของข้า ไม่ต้องกังวลไป”
หลิงฉางเจวี่ยรู้สึกปวดใจเล็กน้อยที่ได้ยินคำว่า‘สหาย’จากปากของหลี่หวง อยากจะเอ่ยกล่าวอะไรออกไปสักคำเพื่อแก้ต่าง ทว่าสุดท้ายก็เลือกที่จะเก็บคำพูดเหล่านั้นไว้ในใจ
ไม่ อย่าทำให้นางหงุดหงิดเป็นอันขาด!
ข้าต้องให้เวลานางหน่อย!
“ฮั่วหยาง ไปลากตัวฮูหยินรองมาให้ข้า”
หลี่หวงกล่าวน้ำเสียงเรียบปราศจากความรู้สึกใด
“ได้เลย!”
“น้องหวง ไปพามันมาทำไม? ไฉนไม่ฆ่าทิ้งไปเสียเลย?”
“ฆ่าทิ้ง? คำว่าตายมันยังน้อยเกินไปสำหรับนาง!”
หลี่หวงเค้นเสียงเย็นสะท้านจับขั้วหัวใจเปล่งดัง
“พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ”
หลี่หวงกล่าวกับทั้งสอง ถึงได้ยินแบบนั้น แต่จะบอกให้ไปเลยก็กระไรอยู่
แต่เมื่อจวิ๋นหลี่จิวมองเห็นความเด็ดเดี่ยวที่สะท้อนออกมาจากนัยน์ตาของนาง เขาก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรอีก และรีบเดินกลับไปยังเรือนพักของตัวเองทันที
หลิงฉางเจวี่ยยังคงไม่เคลื่อนขยับไปไหน นัยนต์ตาสีทองอร่ามยังคงจ้องมองมาทางหลี่หวงอย่างอ่อนโยน
หลี่หวงรู้สึกได้ว่าถูกอีกฝ่ายกำลังจับจ้อง ทว่ากลับไม่กล้าเงยหน้ามองหลิงฉางเจวี่ยเลย นางหันหลังให้และกล่าวขึ้นว่า
“ไฉนเจ้ายังไม่ไป?”