ตอนที่40 รัตติกาลอันเงียบสงัด
ตอนที่40 รัตติกาลอันเงียบสงัด
ยามเย็น
จวิ๋นหลี่หวง จวิ๋นหลี่จิวและจวิ๋นอี้ พวกเขาสามพี่น้องจากเรือนบุปผาโปรยปรายได้รับเชิญให้ไปเข้าร่วมรับประทานอาหาร ณ เรือนรองของจวน
เนื่องจากยามนี้ไม่สามารถจัดงานเลี้ยงฉลองใหญ่โตได้ จวิ๋นจ้านจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพยายามหาทางจัดเตรียมมื้ออาหารอย่างดีที่สุดเพื่อต้อนรับการมาถึงของจวิ๋นหลี่จิว
“รั่วเอ๋อร์ นี่คือคุณชายหลี่จิว เรียกเขาว่าพี่ชายเร็ว!”
“คาราวะพี่หลี่จิว”
จวิ๋นรั่วย่อตัวโค้งคาราวะให้จวิ๋นหลี่จิวด้วยท่าทางอันสง่างาม น้ำเสียงหวานฉ่ำฟังแล้วน่าหลงใหลยิ่งนัก!
จวิ๋นหลี่จิวไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรต่อนางเท่าไหร่นัก กลับหันไปมองสุราบนโต๊ะที่ถูกจัดเตรียมพร้อมเอ่ยขึ้นอย่างร่าเริงว่า
“สุราชั้นดี! สุราชั้นดี!”
“หากจำมิผิด มีหญิงสาวนางหนึ่งที่ชื่อจวิ๋นฉีอยู่ในตระกูลสาขาหลักเช่นกัน เจ้าหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับนางคนนั้นมาก หรือเป็นพี่น้องกัน?”
กระดกสุราหมดจอกไปถ้วยหนึ่ง จวิ๋นหลี่จิวพลางเอ่ยถามขึ้น
“เป็นพี่สาวที่รักของข้าเองเจ้าค่ะ”
จวิ๋นรั่วคลี่ยิ้มกว้างดูสดใสราวกับตนภาคภูมิใจอย่างมากที่มีพี่สาวคนนี้!
“โอ้? คุณชายหลี่จิวเองก็รู้จีกฉีเอ๋อร์เช่นกัน? ไม่รู้เลยว่านางเป็นอย่างไรบ้างตั้งแต่ย้ายไปอยู่ที่นั่น?”
จวิ๋นจ้านฉวยโอกาสนี้รีบสอบถามความเป็นอยู่ของบุตรสาวตนทันที
“อืม...ข้าเองก็มิค่อยแน่ใจนัก แต่ได้ยินมาว่า หญิงสาวนางนั้นเพิ่งเลื่อนขึ้นกลายเป็นนักอัญเชิญชั้นกลางห้าดาวในปีนี้ พรสวรรค์ของนางนับว่าไม่เลวเลย”
จวิ๋นหลี่ยกมือถูคางเล็กน้อยประหนึ่งกำลังใช้ความคิด พอนึกขึ้นได้จึงกล่าวเล่าออกไปตามตรง
แต่พอประโยคดังกล่าวดังเข้าหูของจวิ๋นจ้านกับฮูหยินรอง เรื่องนี้นับว่าเป็นข่าวดียิ่งนัก เพราะยิ่งระดับพลังของลูกสาวพวกเราสูงขึ้นเท่าไหร่ สถานะศักดิ์ในตระกูลของนางก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น!
และคนเป็นพ่อเป็นแม่อย่างทั้งสองย่อมมีหน้ามีตามากขึ้นตามไปด้วย!
รู้เช่นนี้แล้วใครบ้างจะไม่อารมณ์ดี?
“ลุงจ้าน”
จวิ๋นหลี่จิววางจอกสุราในมือลง และเปลี่ยนสีหน้ากล่าวขึ้นน้ำเสียงจริงจังขึ้นถนัดตา
“ที่ข้ามาในครานี้ก็เพื่อพาน้องหลี่หวงกลับเข้าตระกูลสาขาหลัก หลายปีมานี้ที่ให้ดูแลน้องสาวข้านับว่าเกรงใจมากแล้ว!”
พอเอ่ยถึงประโยคนี้ จวิ๋นหลี่จิวนึกฉุนขึ้นมาพลางคิดกันตัวเองในใจว่า
‘หากยังไม่พากลับ เกรงว่าน้องสาวข้าจะยิ่งโดนพวกเจ้าทรมานมากกว่านี้เป็นแน่!’
จวิ๋นจ้านที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ก็ได้แต่ส่ายหัวตอบกลับไปอย่างสุภาพว่า
“ไม่เลย ไม่เลย หลี่หวงเป็นเด็กดี พูดแค่คำสองคำก็เข้าใจแล้ว”
หลี่หวงนั่งรับประทานอาหารบนโต๊ะอย่างเงียบงัน ฟังจวิ๋นจ้านพล่ามไร้สาระออกมา
คล้อยกล่าวจบประโยค จวิ๋นจ้านลอบถอนหายใจกับตัวเองด้วยความโล่งอก แสดงว่าหลี่หวงไม่ได้นำเรื่องตลอดหกปีไปอธิบายให้จวิ๋นหลี่จิวผู้นี้ฟัง!
นับว่ายังพอมีไหวพริบ!
แต่อย่างไร สีหน้าท่าทางของฮูหยินรองในขณะนี้กลับไม่สู้ดีนัก ไฉนถึงเร็วปานนี้?
ไม่! ข้ายังไม่ยอมให้นังแพศยาจวิ๋นหลี่หวงกลับตระกูลสาขาหลักตอนนี้เด็ดขาด!
ฮูหยินรองแอบขยิบตาให้สาวรับใช้นางหนึ่งที่กำลังนวดปรนนิบัติให้อยู่ด้านหลัง ซึ่งอีกฝ่ายก็ดูเหมือนว่าจะเข้าใจได้ทันที จึงรีบเร่งร่นถอยออกไปอย่างเงียบๆ
“ลุงจ้าน”
ในเวลานี้เอง หลี่หวงก็เอ่ยปากขึ้น
“ข้าอยากจะพาอี้เอ๋อร์กลับไปเมืองหลวงด้วยกัน”
“แน่นอน! แน่นอน! ไม่มีปัญหา!”
จวิ๋นจ้านได้ยินแบบนั้นก็รีบตอบตกลงทันที บุตรชายพิการตาบอดอยู่ที่นี่คงไม่มีประโยชน์อะไร บางทีการพาเด็กคนนี้เข้าเมืองหลวงอาจจะพอสร้างประโยชน์อะไรให้แก่เขาได้บ้าง
“ท่านพ่อ แล้วข้าล่ะ?”
จวิ๋นรั่วที่ได้ยินแบบนั้นกลับไม่มีความสุขเลยแม้สักนิด ทำไมจวิ๋นอี้ถึงไปเมืองหลวงได้ ในขณะที่ตัวนางกลับไม่มีใครสนใจเลย!
“ใช่แล้วท่านพี่ คุณชายหลี่จิวโปรดพารั่วเอ๋อร์กลับไปด้วยกันเถิด!”
ฮูหยินรองรีบกล่าวเสริมขึ้นเช่นกัน นางพยายามขอร้องให้อีกฝ่ายพาจวิ๋วรั่วกลับเข้าเมืองหลวงไปด้วย เพราะอยู่ในเมืองเล็กๆแบบนี้ต่อไปก็มีแต่จะไร้อนาคต
จวิ๋นจ้านจับจ้องไปที่จวิ๋นหลี่ เผยสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็เอ่ยขอร้องขึ้นเช่นกัน
“คุณชายหลี่จิว ลองพินิจพิจารณ์ดูสักครา ระดับพลังของรั่วเอ๋อในวัยเท่านี้หาใช่ต่ำต่อย พานางเข้าเมืองหลวงด้วยกันหาใช่เรื่องเสียหายไม่”
จวิ๋นหลี่จิวเพ่งสมาธิมองระดับพลังบ่มเพาะของจวิ๋นรั่วเล็กน้อย ก่อนพยักหน้าตอบว่า
“พรสวรรค์ไม่เลว”
จวิ๋นจ้านกับฮูหยินรองที่ได้ยินแบบนั้นก็โล่งใจขึ้นเป็นอย่างมาก
หลี่หวงแอบหัวเราะกับตัวเองภายในใจ เห็นได้ชัดว่าพี่ชายของนางตอบปฏิเสธแบบเกรงใจ แต่พวกนี้กลับโง่เกินจะรับรู้!
ถ้าอยู่ในโลกที่หลี่หวงเคยอยู่ อย่างสองคนนี้น่าจะเรียกว่าได้ พวกไอคิวต่ำ!
คล้อยหลังจากนั้นครอบครัวตระกูลจวิ๋นก็นั่งรับประทานอาหารเย็นด้วยกันอย่างสนุกสนาน
หลี่หวงได้โอกาสลองชิมสุราของโลกแห่งนี้ดูสักจอก และพอได้ลิ้มรสเท่านั้นแหละ นางถึงกับร้องอุทานเป็นภาษาปัจจุบัน!
อร่อยโคตร!
จากนั้นนางจึงอาสารินเองและกระดกไปอีกหลายจอก
“คืนนี้ก็ดึกมากแล้ว ได้เวลาแยกย้ายกลับไปพักผ่อน”
เมื่อสังเกตเห็นดวงจันทร์แย่มแสง จวิ๋นจ้านก็เสนอให้ทุกคนแยกย้ายกลับเข้าเรือนตัวเอง
ทุกคนเองก็ไม่ได้คัดค้านเช่นกันและเดินออกจากเรือนรอง
“พี่จิว ข้ากลับเรือนบุปผาโปรยปรายเองได้ ท่านไม่ต้องมาส่งข้าหรอก”
จวิ๋นหลี่จิวครุ่นคิดอยู่ยนาน การจะเข้าไปในเรือนกับสตรีกลางดึกนับเป็นเรื่องไม่สมควร ถึงจะเป็นน้องสาวก็ตามที ทว่าคนที่มาเห็นเหตุการณ์กลับไม่คิดเช่นนั้น พอรู้สึกว่าคำกล่าวนี้ของหลี่หวงสมเหตุสมผล เขาจึงพยักหน้าตอบตกลง
“เช่นน๊าน...น้องข้า...กลับไปพักผ่อนให้เพียงพอ จา...ได้มีแรงเดินทาง!”
“อืม!”
หลี่หวงเฝ้ามองจวิ๋นหลี่จิวที่เดินกระดกสุราในน้ำเต้าจากออกไป ในสภาพไม่ค่อยมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนสักเท่าไหร่ ก่อนที่นางจะเดินโซซัดโซเซกลับไปยังเรือนบุปผาโปรยปราย
อาจจะเป็นเพราะนางดื่มมากเกินไป จึงทำให้ร่างกายของหลี่หวงในขณะนี้อ่อนยวบไปหมด ราวกับกำลังถูกไฟแผดเผา
“เกิดอะไรขึ้น...”
หลี่หวงกุมหน้าผากตัวเองเล็กน้อย ลมหายใจเริ่มหอบถี่
“ดื่มไปแค่ไม่กี่สิบจอกเอง ระดับข้าไม่น่าจะเป็นขนาดนี้กระมัง...”
ต้องกล่าวก่อนว่า ในชีวิตก่อนหน้านางเป็นผู้หญิงที่ชอบดื่มไวน์มาก ดังนั้นก็เลยค่อนข้างมั่นใจกับความคอแข็งของตน
หลี่หวงรู้สึกว่ายิ่งก้าวเดินออกไปมากเท่าไหร่ ร่างกายก็ยิ่งหนักอึ้งมากขึ้นเท่านั้น จนท้ายที่สุดนางไม่สามารถฝืนร่างต่อไปได้ไหว จึงรีบตรงเข้าไปในเรือนและล้มตัวลงนอนทั้งแบบนั้นทันที
ณ เรือนพิรุณร่วงโรยในเวลาเดียว
“เป็นอย่างไรบ้าง?”
ฮูหยินรองเอ่ยถามสาวรับใช้นางนั้นอย่างร้อนรน
“ติดกับเข้าอย่างจังเลยเจ้าค่ะ ยาปลุกกำหนัดน่าจะกำเริบระหว่างทางกลับพอดิบพอดี”
คล้อยหลังกล่าวจบ สาวรับใช้นางนั้นก็เผยรอยยิ้มอันน่าสะอึดสะเอียนออกมา
ฮูหยินรองแสยะยิ้มกว้าง
“ไม่เลว ไม่เลว เดี๋ยวข้าตบรางวัลให้! แม้จะฆ่านางไม่ได้ แต่ก็หาใช่ว่าจะทำลายอนาคตนางไม่ได้!”
ตราบใดที่สามารถหาใครสักคนมาพรากพรหมจรรย์จากนางได้ เส้นทางชีวิตของนางในอนาคตย่อมต้องถูกทำลายจนย่อยยับไม่เหลือชิ้นดี วิธีนี้มันก็ไม่ต่างอะไรกับตายทั้งเป็น!
“อีกประมาณหนึ่งชั่วยาม ข้าจะไปเรียกเหล่าหวัง ไอ้ทาสรับใช้ที่เลี้ยงหมูเข้าไปเผด็จศึกนาง!”
เพราะความคิดอันสุดแสนจะโสโครกนี้ แม้จะมีเครื่องประทินผิวชั้นหนาตกแต่งบนใบหน้าของนางมากเพียงใด แต่มันก็ไม่สามารถปกปิดความอัปลักษณ์และเน่าเฟะจากเนื้อในได้เลย!
“เจ้าค่ะ! เช่นนั้นบ่าวของตัวก่อน!”
สาวรับใช้จากไปอย่างภาคภูมิใจ
ทิ้งให้ฮูหยินรองยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับกระจกตรงหน้า
ได้ผัวเป็นทาสเลี้ยงหมูที่แสนต่ำตม แค่คิดก็น่าสะอึดสะเอียนเกินจินตนาการแล้ว!
ณ เรือนบุปผาโปรายปราย
“....”
บรรยากาศทั่วทั้งห้องมีเพียงเสียงหอมหายใจอันหนักหน่วงของหลี่หวง แม้นางจะเป็นหมอพิษฝีมือฉกาจ ทว่ายามนี้กลับไม่ทราบเช่นกันว่า เกิดอะไรขึ้นกับตนเอง
เหยาอวี้รีบปรากฏกายขึ้นมาและเอ่ยขึ้นว่า
“นายท่าน...เป็นอะไรรึเปล่า?”
ฮั่วหยางเองก็เช่นกัน
“นายท่าน? ไฉนถึงตัวร้อนปานนี้?”
หลี่หวงเอาแต่ส่ายหน้า กล่าวเสียงแผ่วอ่อนเสมือนจะหมดแรง
“พวกเจ้า...ออกไปเฝ้า...”
“ได้!”
เหยาอวี้กับฮั่วหยางพยักหน้ากล่าวตอบโดยไม่มีลังเล ทว่าก่อนที่เหยาอวี้จะวิ่งออกไปเฝ้าหน้าเรือน มันหันมากล่าวกับหลี่หวงว่า
“นายท่าน อดทนไว้ก่อน!”
หลิงฉางเจวี่ยที่หลบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางเงามืด โผล่ออกมาเฝ้าสังเกตเบื้องหน้าเรือนบุปผาโปรปราย ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย ไฉนจิตวิญญาณยุทธภัณฑ์กับเด็กอสูรเผ่าวิหคเพลิงถึงออกมาเฝ้ายามหน้าประตูเรือน?
หรือเป็นไปได้ไหมว่า...จะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับนางกัน?
ทันทีที่หลินฉางเจวี่ยคิดได้เช่นนั้น เขาก็สังหรณ์ใจได้ว่าจะต้องมีอะไรผิดปกติแน่นอน จึงรีบเร่งฉีกห้วงมิติที่ตนเองซ่อนตัวออกมา และปราดพุ่งเข้าไปในเรือนจากด้านหลังเพื่อไปหาหลี่หวง ทั้งยังไม่ลืมที่จะกางม่านพลังป้องกันเสียงคลุมเคลือบไว้ชั้นหนึ่ง!
แต่เมื่อเข้ามาถึงภายในห้องของหลี่หวง เขากลับเห็นเพียง เสื้อผ้าแพรพรรณของนางที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น ในขณะที่บนเรือนร่างของเจ้าตัวเหลือเพียงชั้นในโบราณตัวน้อยสีขาว ปกปิดบริเวณจุดซ่อนเร้นและเนินอกสีขาวนวลเท่านั้น เสียงลมหายใจฟังดูโกลาหลไปหมด มือไม้อ่อนยวบปราศจากเรี่ยวแรง!
หลิงฉางเจวี่ยค่อยๆย่างเท้าเดินเข้าไปใกล้ ยิ่งทำให้เห็นเรือนร่างน้อยที่ดูขาวเนียนประดุจหิมะของนางได้ชัดถนัดตามากขึ้น ส่วนบริเวณใบหน้ากลับดูเห่อแดงจนผิดปกติ!
ตอนก่อนหน้าแววตาสีม่วงคู่สวยมักส่องประกายแสดงถึงความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ทว่ายามนี้กลับอ่อนละทวยเผยเสน่ห์เย้ายวนดั่งไฟราคะที่ลุกโชน นางขบริมฝีปากสีแดงเล็กน้อย พร้อมเสียงครางที่เปล่งร้องอยู่ในลำคอ
นางช่างดูมีเสน่ห์อย่างยิ่งยวด!
หลิงฉางเจวี่ยกลืนน้ำลายอึกหนึ่งลงคอไปอย่างยากลำบาก รีบเร่งสะบัดความคิดสกปรกออกจากหัวก่อนเดินตรงเข้าไปใกล้ เพื่อจะพยุงร่างของนางขึ้นมานอนดีๆ
ทว่าทันทีที่ปลายนิ้วของเขาสัมผัสถูกตัวหลี่หวง ร่างของนางพลันกระตุกวูบอย่างแรงราวกับถูกกระตุ้นจุดเสียว หลิงฉางเจวี่ยรีบชักมือกลับมาทันทีด้วยความตกใจ!
“สาวน้อย? ได้ยินข้าไหม?”
หลิงฉางเจวี่ยพยายามเอ่ยเรียกสตินางเบาๆ
หลี่หวงได้ยินเสียงเรียกจากอีกฝ่าย และพยายามเบิกตาโตเพ่งมองว่าเป็นใครกัน
นั่นเขาเหรอ?
“ไสหัวไป!”
เสียงแหบพร่าเปล่งดังออกมา แต่นี่ไม่สามารถปกปิดความอ่อนแรงของนางได้เลย
และไม่ทราบเพราะเหตุใด ทันทีที่รู้ว่าเป็นหลิงฉางเจวี่ย นางก็รู้สึกได้ว่า ร่างกายของตนพลันร้อนระอุมากยิ่งขึ้นไปอีก!
นัยน์ตาสีทองอร่ามของหลิงฉางเจวี่ย ทันใดนั้นก็หม่นหมองลง สาวน้อยคนนี้โดนวางยา!
และตอนนี้นางก็กำลังทุกข์ทรมานอย่างมาก!
“สาวน้อย! เจ้าตื่นก่อน!”
ขณะที่เห็นว่าดวงตาคู่นั้นของหลี่หวงเริ่มหม่นประกายลง เขาก็รีบใช้มือทั้งสองข้างเขย่าตัวนางทันทีไม่ให้หมดสติไปทั้งแบบนี้!
จากนั้นก็รีบโคจรพลังปราณภายในกายกรอกเทลงไปในร่างของหลี่หวง หวังจะคลายความรุนแรงของพิษนิรนามในกายของนาง
แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร ทุกอย่างกลับเปล่าประโยชน์!
ขณะที่หลิงฉางเจวี่ยกำลังเหม่อลอยคิดหาวิธีช่วยเหลือหลี่หวงอย่างสุดกำลัง ชั่วอึดใจต่อมา ดวงตาคู่สวยของนางพลันโพล่งกว้างสาดประกายจ้าจรัสในทันที และใช้แรงทั้งหมดจับหลิงฉางเจวี่ยกดลงบนฟูกนอน!
เรือนร่างอันขาวนวลของนางกระโดดขึ้นคล่อมอยู่บนตัวของหลิงฉางเจวี่ยโดยตรง!
“เดี๋ยวก่อน! สาวน้อยเจ้าต้องตั้งสติ!”
หลิงฉางเจวี่ยรีบร้องอุทานขึ้นในทันที พร้อมคว้าอุ้งมือจิ๋วของนางทั้งสองข้างที่พยายามจะถอดกางเกงของเขาออก!