ตอนที่39 น้องสาว
ตอนที่39 น้องสาว
“ข้าสบายดี...”
จวิ๋นหลี่จิวยิ้มบางเป็นคำตอบ เจ้าของร่างเดิมของนาง คงต้องทนทุกข์ทรมานอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทว่ายังดีที่มีความทรงจำที่ดีเหล่านี้คอยขับกล่อมจิตใจ บางทีที่เจ้าของร่างเดิมยังสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้จวบจนวันสุดท้ายก่อนที่นางจะมาแทน ความทรงจำเหล่านี้แหละคือการปลอบประโลมในยามโศกที่ดีที่สุด
“แล้วเจ้า...เคยเกลียดข้าบ้างหรือไม่? :”
ทันใดนั้นจวิ๋นหลี่จิวพลันเอ่ยถามเสียงหนึ่งด้วยความกังวล
หลี่หวงชะงักไปชั่วขณะที่ได้ยิน ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า เมื่อหกปีก่อน ตอนที่หวงถูกลดศักดิ์สถานะลงมาขั้นหนึ่งและโดนเนรเทศออกจากตระกูลสาขาหลัก คนที่ออกคำสั่งนี้กับนางก็มิใช่ใครอื่นนอกเสียจาก จวิ๋นหลี่จิว!
นอกจากนี้เอง เมื่อได้ยินสิ่งที่คนรับใช้รายงานคำสั่งนี้มา แทนที่จวิ๋นหลี่หวงจะขัดขืนไม่ยอมลาจาก นางกลับพยักหน้าให้การสนับสนุนด้วยความเต็มใจ
“เคยเกลียดมาก่อน”
หลี่หวงตัดสินใจไว้แล้ว ไม่ว่าจะยังไงนางก็ขอพูดแทนสิ่งที่เจ้าของร่างเดิมต้องการจะพูด
เพียงวิธีนี้เท่านั้นที่นางจะสามารถปล่อยวางมารในใจ และเดินหน้าต่อไปได้
“ข้าขอโทษจริงๆ ที่ต้องทำให้น้องหลี่หวงอยู่อย่างทุกข์ทรมาน”
จวิ๋นหลี่จิวเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง ก่อนปริปากกล่าวขึ้นอย่างโศกเศร้าต่อ
“ตอนนั้นภายในตระกูลจวิ๋นของเราปราศจากความสงบโดยสิ้นเชิง และข้าไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยของเจ้าได้เช่นกัน ดังนั้น...ทางเดียวที่จะทำให้เจ้ารอดตายคือวิธีนี้เท่านั้น”
หลี่หวงยิ้มตอบ แม้สิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวไปจะไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าใด ทว่าอย่างน้อยมันก็ยังมีคำอธิบายรองรับ นางรู้สึกว่ามีหินผาก้อนยักษ์ก้อนหนึ่งหายไปจากจิตใจ ยามนี้ปราศจากความทุกข์ใจแล้ว!
“ตอนนี้ข้ารู้สึกดีขึ้นแล้ว”
หลี่หวงคลี่ยิ้มอ่อน
“อย่างน้อยพี่จิวก็ยังรักข้าดังเดิม”
จวิ๋นหลี่จิวยกมือทั้งสองข้างขึ้นเท้าสะเอวพร้อมระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น จนแพร่กระจายไปทั่วทั้งบริเวณอันใกล้
“แน่นอน เจ้ายังมีข้าอยู่ทั้งคน!”
จวิ๋นหลี่จิวเหลือบสายตามองไปยังกระบี่ยาวในมือของหลี่หวง
“น้องหลี่หวง เมื่อครู่เจ้ากำลังฝึกเพลงกระบี่อยู่กระมัง? สนใจซ้อมกันสักตาหรือไม่?”
หลี่หวงยิ้มพยักหน้าตอบ
“ตกลง”
“ดี! น้องหลี่หวง! เตรียมรับมือ!”
จวิ๋นหลี่จิวไม่พูดพล่ามอันใดอีก เสี้ยวขณะเขาชักกระบี่ออกจากฝัก ร่ายระบำความเร็วสูงจนคมกระบี่ในมือแยกร่างกลายเป็นเงาหลายสิบสาย แต่จะเห็นได้ชัดแจ้งว่า กระบี่ที่จวิ๋นหลี่จิวใช้หาใช่ยุทธภัณฑ์ธรรมดาทั่วไป เมื่อร่ายกระบี่ครบกระบวน ปลายคมกระบี่นับสิบสายก็ทิ่มทะลวงตรงมาถึงเบื้องหน้าของหลี่หวงแล้ว
หลี่หวงแสยะยิ้มมุมปากหนึ่งคราอย่างสงบ หันคมกระบี่เทพฤทัยเข้าสัประยุทธ์สวนตอบทันใด
“ชวิ้ง! ชวิ้ง!...”
“ชวิ้ง! ชวิ้ง!....”
กลางห้วงเวหาปรากฏเพียงสุ้มเสียงคมกระบี่ที่ฉีกสะบั้นอากาศ สองคมกระบี่ร่ายระบำ สองพี่น้องหลี่หวงและหลี่จิวเข้าปะทะนับหลายสิบกระบวน จนท้ายที่สุดก็เป็นฝ่ายหลี่หวงที่พ่ายแพ้ไป
นางหอบหายใจถี่อย่างเหน็ดเหนื่อย พลางยิ้มกล่าวขึ้นว่า
“ยินดีที่ได้ประกระบวน พี่จิวนับเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งยิ่งแล้ว”
แม้ว่านางจะพ่ายแพ้ แต่สามารถทำได้ขนาดนี้ทั้งที่เพิ่งเริ่มฝึกมาได้ไม่กี่วัน นับว่ายอดเยี่ยมจนเป็นที่น่าพอใจสำหรับนาง
ระหว่างปะทะเพลงกระบี่ จวิ๋นหลี่จิวก็ได้ค้นพบข้อบกพร่องและช่องโหว่ของกระบวนท่าของหลี่หวงมากมาย มีบ้างที่ขอหยุดมือชั่วขณะเพื่อเร่งชี้แนะถึงจุดอ่อนเหล่านั้นให้น้องสุดที่รักทันที เพราะกลัวว่าจะลืมไปทีหลัง ดังนั้นการซ้อมครั้งนี้นับว่านางได้รับประโยชน์ครั้งใหญ่!
“เพลงกระบี่ที่น้องหลี่หวงสำแดงใช้นับว่าค่อนข้างพิเศษ ทว่าทักษะท่าร่ายของเจ้ายังไม่เสถียรพอ เดาว่ายังฝึกกระบี่มาได้ไม่ถึงปีกระมัง?”
จวิ๋นหลี่จิวยกชายเสื้อขึ้นมาปาดเหงื่อให้หลี่หวงพลางพร้อมกับรอยยิ้ม
“ไม่ถึงปี? พี่จิวคิดมากเกินไปแล้ว”
หลี่หวงหัวเราะคิกคักและกล่าวต่อว่า
“ข้าเพิ่งฝึกกระบี่ได้ไม่กี่วันเอง”
“พร๊วดดด!”
จวิ๋นหลี่จิวที่กำลังกระดกสุราจากน้ำเต้าคู่กาย ถึงกับสำลักพรวดออกมาโดยตรง
“มะ-ไม่กี่วัน? เจ้าบอกว่าไม่กี่วันงั้นรึ?!”
เขาเบิกตากว้างจับจ้องหลี่หวงอย่างไม่อยากจะเชื่อ
หลี่หวงพยักหน้าย้ำว่านี่คือความจริง เห็นดังนั้นจวิ๋นหลี่จิวรีบพุ่งเข้ามากุมมือของหลี่หวงพร้อมสายตาเป็นประกายทันที
“อัจฉริยะ! เจ้าต้องเป็นอัจฉริยะแห่งกระบี่เป็นแน่! น้องข้า...เจ้าต้องฝึกกระบี่ให้ดี! อย่าได้เกียจคร้านเด็ดขาด เข้าใจไหม?”
“แน่นอน!”
หลี่หวงพยักหน้าตอบ แววตาส่อประกายความมั่นใจออกมาหลายส่วน
ครั้งนี้ที่จวิ๋นหลี่จิวมาเยี่ยมเยือน เขารู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมากแล้ว เขาหยิบยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดปากและกล่าวต่อว่า
“อันที่จริงครั้งนี้ที่มาหา เพราะจะพาเจ้ากลับไปยังเมืองหลวง”
“...”
ครั้งนี้กลับหลี่หวงเงียบนิ่งไม่ตอบ
“หรือน้องหลี่หวงไม่อยากกลับไปงั้นรึ?”
จวิ๋นหลี่จิวกังวลว่า เงามืดภายในใจตอนนั้นยังไม่เลือนหายไป จึงแสดงท่าทีต่อต้านเรื่องกลับเมืองหลวง
“เปล่า”
หลี่หวงส่ายหน้าไปทีหนึ่ง
“เพียงคิดว่าเพราะเหตุใดจู่ๆ ถึงเรียกข้ากลับ”
ตัดหางปล่อยวัดทิ้งนางอยู่ที่นี่โดยไม่สนใจไยดีถึงหกปีเต็ม ไม่ใช่ว่าทุกคนในตระกูลสาขาหลักเลิกหวังกับตัวนางไปแล้วหรอกรึ?
ถ้ามารับเร็วกว่านี้ บางทีโศกนาฏกรรมของเจ้าของร่างคนเดิมคงจะไม่เกิดขึ้น
จวิ๋นหลีจิวสีหน้าหม่นหมองลงทันที และกล่าวขึ้นอย่างแช่มช้าเจือน้ำเสียงหนักใจว่า
“ระยะนี้ข้าเองก็เหนื่อยใจมิใช่น้อย พอกลับไปถึงเมืองหลวงเดี๋ยวเจ้าจะรู้เอง”
หลี่หวงรู้สึกหดหู่ใจเล็กๆ นางเกลียดความรู้สึกแบบนี้ที่สุด บทจะถีบไล่ส่งก็หาได้ไยดี บทจะพากลับก็หาได้ถามความสมัครใจ
แต่นางก็ทราบว่าความผิดนี้มิใช่ของจวิ๋นหลี่จิว แต่เป็นเพราะสถานการณ์ในตระกูลจวิ๋นสาขาหลักมันบีบบังคับ
“น้องหลี่หวง เจ้ากลับเมืองหลวงกับข้าเถอะ”
จวิ๋นหลี่จิวส่งสายตาอ้อนวอนปิ๊งปิ๊ง
“…ก็ได้ ก็ได้”
หลี่หวงพยักหน้าตอบ บางทีนี่ก็ดีเหมือนกัน ทางฝั่งหลิงฉางเจวี่ยเองก็เคยบอกว่าจะพานางกลับไปเมืองหลวง ดังนั้นนางก็ควรใช้โอกาสนี้กลับไปเลย
“คุณหนูใหญ่! คุณชายสามตื่นแล้วเจ้าค่ะ! คุณชายสามเอาแต่โวยวายจะกลับไปที่โถงบรรพชนตระกูลให้ได้!”
ในเวลานั้นเอง จู่ๆ ก็มีสาวรับใช้นางหนึ่งรีบวิ่งเข้ามารายงานกับหลี่หวง
หลี่หวงหันควับมองจวิ๋นหลี่จิวแวบหนึ่ง
“พี่จิว โปรดรอสักครู่ ข้าขอตัวกลับไปทำธุระก่อน”
จวิ๋นหลี่จิวพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจนัก และรีบโบกมือให้หลี่หวงไปดูแลทางนั้น
จวิ๋นหลี่จิวถอนหายใจเฮือกหนึ่งออกมา ขณะเฝ้ามองแผ่นหลังของหลี่หวงที่เดินจากไป
“ฉางเจวี่ย หลายปีมานี้น้องข้าคงลำบากมากเลยจริงๆ!”
ทันใดนั้นเอง พลันปรากฏเงาร่างของหลิงฉางเจวี่ยที่กำลังยืนพิงต้นไม้อยู่ด้านหลัง เขาเอ่ยเสียงเรียบขึ้นว่า
“ตอนนี้นางผ่านพ้นความลำบากพวกนั้นไปได้แล้ว”
“แต่เจ้ามารู้เรื่องของน้องสาวข้าได้อย่างไร? ไฉนข้ารู้สึกมีกลิ่นไม่ชอบมาพากลระหว่างพวกเจ้า”
ขณะเอ่ยกล่าว จวิ๋นหลี่จิวพลางหยิบน้ำเต้าประจำตัวขึ้นมากระดกสุราอีกอึดใหญ่ ก่อนจะกล่าวต่อว่า
“เมื่อได้เห็นรูปลักษณ์ใบหน้าและระดับพลังบ่มเพาะของน้องหลี่หวง ข้าจินตนาการไม่ออกเลยว่า ที่ผ่านมานางจะต้องทนทุกข์ทรมานเพียงใด ถึงพยายามถีบตัวเองจนไต่มาถึงขั้นนี้ได้โดยลำพัง? ข้านี่มัน...เป็นพี่ชายที่แย่จริงๆ เจ้าไม่เข้าใจความรู้สึกข้าหรอก”
“ไม่ ข้าผู้นี้เข้าใจดี”
หลิงฉางเจวี่ยส่งยิ้มให้อีกฝ่าย
“ช่างเถอะ ครั้งนี้ถือว่าข้าเป็นหนี้เจ้าแล้ว อยากให้ข้าชดใช้อย่างไรก็จงกล่าวมาเสียแล้วกัน”
จวิ๋นหลี่หวงคลี่ยิ้มตอบอย่างสบายๆ ราวกับปราศจากเรื่องทุกข์โศกทางโลกอีกต่อไปแล้ว
“ต้องขอบคุณเจ้าจริงๆ นั่นแหละ หากมิใช่เพราะว่าเจ้าส่งนกพิราบมาบอกข่าวคราวของน้องสาวข้า เกรงว่านางคงต้องทุกข์ทรมานไปอีกแสนนานเป็นแน่”
“ระหว่างเจ้ากับข้าไยต้องสุภาพกันเช่นนี้? หากต้องการจะขอบคุณจริงๆ ก็มอบสุราชั้นเลิศที่เจ้าเก็บสะสมให้ข้าผู้นี้สักสองสามไห เท่านี้ก็นับว่าชดใช้เกินล้นพ้นแล้ว”
หลิงฉางเจวี่ยยิ้มพลางพูดติดตลกไปคำหนึ่ง
“ได้! เช่นนั้นไปร่ำสุรากันในเรือนของเจ้า!”
จวิ๋นหลี่จิวไม่หวงแหนสุราที่ตนเองเก็บสะสมอีกต่อไป คิดแต่ว่าอยากจะตอบแทนบุญคุณครั้งนี้ให้แก่หลิงฉางเจวี่ยเท่านั้น
แม้เขาจะชอบดื่มสุราเป็นชีวิตจิตใจ แต่สำหรับเรื่องน้องหลี่หวงแล้ว จวิ๋นหลี่จิวก็ยินดีที่จะมอบสุราชั้นเลิศทั้งหมดที่มีกับหลิงฉางเจวี่ย!
“หลังจากกลับถึงเมืองหลวง ข้าจะนำขบวนสู่ขอ มาขอน้องสาวเจ้าแต่งงาน”
“พร๊วดดด!!”
จวิ๋นหลี่หวงที่กำลังกระดกสุราอย่างเพลิดเพลิน ถึงกับสำลักพ่นออกมาเป็นคราที่สองติดต่อกัน
“เจ้ากล่าวว่าอันใด? จะเอาขบวนสู่ขอมาขอน้องสาวข้า?! บัดซบ! ข้าก็ว่าแล้วไฉนได้กลิ่นตุๆ! น้องสาวข้ายังเด็กยังเล็กขนาดนี้ นี่เจ้ายังไม่เว้นเลยรึ?”
“อืม...นางน่ารักมาก”
หลิงฉางเจวี่ยมิได้ปฏิเสธ แต่เอ่ยปากยอมรับอย่างตรงไปตรงมาต่อหน้าพี่เขยในอนาคตของเขา
“ไม่ ไม่ ไม่! ใจเย็นก่อนตัวข้า...”
จวิ๋นหลี่เซถอยหลังกลับไปสองถึงสามก้าว ปั้นสีหน้าตื่นตระหนกราวกับตนกำลังฝันไป
“ยัยนั่นมาแล้ว”
หลิงฉางเจวี่ยหัวเราะขึ้นคำหนึ่งก่อนจะกลับไปหลบซ่อนตัวอีกครั้ง
จวิ๋นหลี่จิวยังคงพึมพำพรางร่ำสุราไม่หยุดหน่อย ยามนี้ขนาดตนยังพูดไม่ออกเช่นกัน
“พี่จิว ข้ากลับมาแล้ว”
หลี่หวงรีบเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าจวิ๋นหลี่จิว
จวิ๋นหลี่จิวรีบส่ายหัวพยายามลืมเรื่องของไอ้วิปลาสกินเด็กไปทันที เอ่ยถามขึ้นมาคำหนึ่งว่า
“คุณชายสามที่ว่าคือใครรึ?”
ก่อนหน้านี้คล้ายว่าเขาจะได้ยินสาวรับใช้บอกว่า เกิดอะไรขึ้นสักอย่างกับคุณชายสามนี่แหละ และพอหลี่หวงได้ยินดังนั้น สีหน้าของนางก็ดูเป็นกังวลขึ้นมาทันที
คนที่ทำให้น้องสาวของเขารู้สึกกังวลได้เพียงได้ยินชื่อ คงหาใช่คนธรรมดาทั่วไป
“จวิ๋นอี้ เป็นบุตรชายของจวิ๋นจ้านกับหานชิง”
หลี่หวงเอ่ยตอบ
“อ่อ...เดี๋ยว? เขาค้างแรมอยู่ในเรือนพักเดียวกับเจ้า?”
“เปล่า”
หลี่หวงกล่าวตอบขึ้นอีกครา
“ข้าบังคับให้อีกฝ่ายอยู่ที่นี่”
“...?!!”
“เดี๋ยว...ท่านพี่อย่าเพิ่งเข้าใจผิดไป สถานการณ์ที่เสี่ยวอี้ต้องเผชิญพบค่อนข้างซับซ้อน และตอนนี้อารมณ์ของเด็กคนนั้นยังไม่นิ่งเท่าไหร่ ข้าเพิ่งกล่อมให้อีกฝ่ายหลับไปเอง”
พอสิ้นเสียงกล่าวจบ หลี่หวงก็ก้มหน้าก้มตาครุ่นคิดอยู่สักพักและกล่าวต่อว่า
“พี่จิว ข้าอยากพาเสี่ยวอี้กลับเข้าเมืองหลวงด้วย”
“เด็กงั้นรึ? อ่อ อ่อ...ได้สิ ได้สิ!”
พอได้ยินว่าจวิ๋นอี้ยังเป็นเด็ก เขาก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่งและรีบพยักหน้าตอบตกลงอนุญาตทันที ไม่ว่ายังไงขอแค่หลี่หวงยอมกลับเมืองหลวงไปกับตน อะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ
หลี่หวงคลี่ยิ้มดูผ่อนคลายใจลงเป็นอย่างมาก
หลี่หวงสัมผัสได้ว่า จวิ๋นอี้ผู้นี้เป็นเด็กมีพรสวรรค์ และนางยังไม่อยากยอมแพ้ที่จะปลุกปั้นเด็กคนนี้ขึ้นมา บางทีการพาจวิ๋นอี้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันกันสูงขึ้น อาจจะสามารถปลุกกระตุ้มความทะเยอทะยานของเขาขึ้นมาได้
ณ เรือนพิรุณร่วงโรย
ก่อนที่ฮูหยินรองจะกลับมา จวิ๋นรั่วก็ได้รับรายงานจากสาวรับใช้เกี่ยวกับ การเยี่ยมเยือนของแขกคำสำคัญในวันนรี้
ถึงจะไม่สามารถจัดงานเลี้ยงได้ในเวลานี้ แต่มันก็ยังมีการรับประทานอาหารร่วมโต๊ะกัน ซึ่งนี่ถือเป็นโอกาสดีที่จวิ๋นรั่วจะได้แสดงฝีมือที่มีให้คุณชายจากตระกูลสาขาหลักได้เห็น!
จวิ๋นรั่วรู้สึกประหม่านอย่างยิ่ง
แขกที่มาในวันนี้คือจวิ๋นหลี่จิวจากตระกูลสาขาหลัก ว่ากันว่าเขาเป็นหนึ่งในเยาว์ชนที่ประมุขให้ความโปรดปรานอย่างมาก อีกทั้งตำแหน่งภายในตระกูลจวิ๋นยังค่อนข้างสูงศักดิ์ หากนังแพศยาจวิ๋นหลี่หวงฉกฉวยเขาไปก่อนนางมีหวัง...
แล้วจะทำอย่างไรดี? ความใฝ่ฝันสูงสุดในชีวิตนางคือการได้เข้าสู่ตระกูลสาขาหลัก!
แต่จะอย่างไร ระยะนี้นางไม่ได้สร้างปัญหาให้นังจวิ๋นหลี่หวงเลย บางทีอีกฝ่ายอาจจะเมตตานางบ้าง?