ตอนที่36 มุมที่อ่อนโยนของหลี่หวง
ตอนที่36 มุมที่อ่อนโยนของหลี่หวง
น้ำตารินไหลออกมาจะเปรอะเปื้อนไปทั่วใบหน้าน้อยๆ เสียดายที่ไม่ได้เจอกันก่อนจากกันเป็นครั้งสุดท้าย
“ท่านแม่...ไฉนท่านแม่ถึง...ถึงทิ้งอี้เอ๋อร์ไว้คนเดียว!”
จวิ๋นอี้ตบโลงศพอย่างแรงไปสองสามที แม้กระทั่งฝ่ามือจะบวมแดงแต่ก็ยังตบไม่หยุด
ทุกคนในที่นี้ไม่มีใครออกไปหยุด ภายใต้บรรยากาศอันโศกเศร้าเช่นนี้ แต่ละคนต่างทราบดีว่าคนเป็นลูกย่อมเจ็บปวดเพียงใด
ณ โถงหลักที่ใช้จัดงานศพอันเงียบสงัด มีเพียงเสียงร้องห่มร้องไห้ของจวิ๋นอี้เท่านั้นที่เปล่งดังออกมา
“ท่านพ่อ...”
จวิ๋นอี้ร้องเรียกจวิ๋นจ้านทั้งน้ำตา
“ท่านแม่...ท่านแม่ตายอย่างไร?”
จวิ๋นอี้หยุดคิดเป็นเวลานานก่อนเอ่ยถามคำถามนี้ขึ้นมา
เขาเองก็ทราบว่าหลี่หวงก็อยู่ในงานศพของแม่ตน แต่ถึงยังไงเขาก็จำเป็นจะต้องรู้ความจริงให้จงได้
“นางฆ่าตัวตาย...เมื่อเราไปพบ แม่ของเจ้าก็นอนปราศจากลมหายใจพร้อมกระบี่เล่มหนึ่งในมือ”
“ฆ่าตัวตาย...เช่นนั้นรึ?”
จวิ๋นอี้พึมพำออกมา
“ฆ่าตัวตายก็ดี...ที่แท้ก็ฆ่าตัวตายนี่เอง...”
จวิ๋นอี้ถอนหายใจเฮือกหนึ่งออกมาด้วยความโล่งอก เขาในตอนนี้ทั้งร้องไห้และหัวเราะออกมาในเวลาเดียวกัน
ทว่าเวลานี้กลับไม่มีใครหัวเราะออกเลยสักคน
หลี่หวงที่เห็นท่าทีของจวิ๋นอี้ก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่งออกมา
กลับเป็นความคิดของตัวเราเองนี่แหละ...คือมารในใจ
แล้วจะช่วยอะไรได้ล่ะ?
โดนพิษยังมียารักษา แต่โดนความคิดที่เปรียบเสมือนมารในใจครอบงำ มีใครบ้างที่สามารถช่วยได้นอกจากตัวเราเอง?
หลี่หวงหลับตาลงอย่างเงียบงัน พยายยามลดความรู้สึกของตัวเองให้ลงสู่จุดต่ำสุด ไม่พูดไม่จาหรือแสดงความรู้สึกอันใดสักนิด
จวิ๋นอี้ยังคงนั่งอยู่หน้าโลงศพตลอดวัน ช่วงเที่ยง ฮูหยินรองกับจวิ๋นรั่วขอตัวออกไปพักผ่อนก่อน เนื่องจากช่วงนี้สุขภาพร่างกายไม่ค่อยดี ส่วนจวิ๋นจ้านก็ยังมีธุระอีกมากมายต้องจัดการ จึงอยู่ตรงนี้ได้ไม่นานเช่นกัน
หลี่หวงไม่อยากรบกวนใครเท่าไหร่ในเวลาแบบนี้ พอตกดึกเห็นว่าไม่มีใครสังเกตเห็น นางก็แอบลุกออกจากโถงหลักอย่างสงบเสงียม
“เจ้ามาได้อย่างไร?”
หลี่หวงจับจ้องไปที่ชายหนุ่มผู้หนึ่งที่กำลังยืนอาบแสงจันทร์ยามรัตติกาลอยู่เงียบๆ ก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ก็ข้ากลัวว่าฮูหยินของข้าจะหิวตาย หากไม่แวะเวียนมาหาบ้าง มีหวังกำพร้าเมียเป็นแน่”
หลิงฉ่างเจวี่ยคลี่ยิ้มให้พร้อมเดินตรงมาหา ก่อนจะอุ้มร่างของหลี่หวงขึ้นมาในอ้อมแขน
“เจ้าจะทำอะไร!”
หลี่หวงรีบเอื้ออมือกอดคอของหลิงฉางเจวี่ยทันที เพื่อป้องกันมิให้ตัวเองร่วงตก
ทั่วใบหน้าของหลิงฉางเจวี่ยประดับยิ้มแย้ม เขากล่าวอย่างช้าๆ ขึ้นว่า
“ไปหาของอร่อยทานกัน”
ยังไม่ทันที่หลี่หวงจะตั้งตัวได้ดี หลิงฉางเจวี่ยก็พานางทะยานขึ้นฟ้าเหินหาวออกจากจวนตระกูลจวิ๋นโดยตรง
หลิงฉางเจวี่ยพาหลี่หวงมายังจัตุรัสกลางเมือง สิ่งที่นางเห็นในตอนนี้คือ ลานจัตุรัสกว้างที่เต็มไปด้วยแสงเทียนส่องสว่างอยู่ทั่ว ข้างทางทั้งสองฝั่งมีร้านอาหารหลากหลายรูปแบบ พร้อมจานชามและตะเกียบที่วางไว้พร้อม
ดินเนอร์ใต้แสงเทียน?
หลี่หวงอดคิดขึ้นไม่ได้
อย่างไรก็ตาม หลี่หวงที่แอบหลุดยิ้มก็รีบส่ายหัวสลัดความคิดเหล่านั้นออกไปทันที นี่นางกำลังคิดบ้าอะไรอยู่
หลิงฉางเจวี่ยหันไปมองศีรษะน้อยๆ ของนางที่ส่ายไปมาในอ้อมอก ก็อดขำไม่ได้ นางในตอนนี้ดูน่ารักมากเลย
เมื่อปลายเท้าของเขาสัมผัสพื้น ทั้งสองก็เดินตรงเข้าไปในลานจัตุรัสทันที
เดินตรงเข้าไปร้านหนึ่งที่ดูหรูหรากว่าร้านอื่นๆ ซึ่งร้านอาหารดังกล่าวอยู่ติดกับทัศนีย์แม่น้ำที่ผ่ากลางเมือง
พอเข้ามาข้างในก็พบว่า โต๊ะอาหารถูกจัดเตรียมเพียบพร้อมไว้หมดแล้ว
หลิงฉางเจวี่ยยกมือเรียกเสี่ยวเอ๋อเพื่อขอเก้าอี้พิเศษสำหรับหลี่หวง
ทันทีทีหลี่หวงเห็นเสี่ยวเอ๋อหยิบเก้าอี้พิเศษตัวนั้นมา สีหน้าของนางก็ถึงกับมืดทมิฬลงทันใด
นี่มันเก้าอี้สำหรับเด็กไม่ใช่เหรอ? หมอนี่กำลังจะบอกว่าข้าเตี้ยงั้นรึ!
แม้นี่จะเป็นความปรารถนาดีของอีกฝ่ายก็ตาม แต่นางอยากยกเก้าอี้ฟาดหัวใส่สักทีจริงๆ
ดวงตาคู่คมกริบของนางสาดเข้าใส่หลิงฉางเจวี่ยอย่างอดไม่ได้
“มีอะไรรึ?”
หลิงฉ่างเจวี่ยเอ่ยถามขึ้นทันทีที่เห็นหลี่หวงเม้มปากจิกตาใส่ ทว่ากลับไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
“หึ!”
หลี่หวงสะบัดหน้าหนีอีกฝ่ายเชิดหน้าไปด้านหนึ่ง โดยไม่สนใจเขาอีกต่อไป
“หุหุ”
หลิงฉางเจวี่ยยกมือป้องปากหัวเราะกับตัวเองเบาๆ คนหัวไวอย่างเขามีหรือจะไม่ทราบว่า หลี่หวงโมโหตนเรื่องอะไร?
เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบน่องไก่ลงในชามของหลี่หวง พลางกล่าวติดตลกขึ้นว่า
“กินเยอะๆ จะได้ตัวสูง”
“ว่าข้าเตี้ยงั้นรึ!”
“ฮ่าฮ่าๆๆ ...”
“ฮ่าฮ่า! ขำตายล่ะ! ตายซะ!!”
ชั่วจังหวะนั่นเอง หลี่หวงหยิบพิษกำมือหนึ่งออกจากแหวนมิติและสาดใส่หลิงฉางเจวี่ยตรงหน้าเพื่อโจมตีอย่างฉับพลัน
“เปล่า ข้าแค่ยิ้มเท่านั้น”
หลิงฉางเจวี่ยรีบหุบยิ้มและเบี่ยงตัวหลบพิษทันที ก่อนจะคว้าอุ้งมือน้อยๆ ของหลี่หวงที่โจมตีเมื่อกี้พร้อมประกบจูบลงบนฝ่ามือโดยตรง
“...”
หลี่หวงสงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็ว เหลือบสายตาลงมามองบนฝ่ามือตัวเองเล็กน้อยก่อนจะชักกลับมไป
“กินเถิด”
หลิงฉางเจวี่ยหยิบตะเกียบในมือและตักข้าวในข้าวเข้าปาก กล่าวกับหลี่หวงที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ว่า
“ข้ารู้ว่าเจ้ายังไม่ทานอะไรมาเลยตั้งแต่เช้า ทานสักหน่อยเถิด เดี๋ยวร่างกายเจ้าจะอ่อนเพลียเอาได้”
หลี่หวงเงยหน้ามองหลิงฉางเจวี่ยเล็กน้อย ตั้งแต่ตอบตกลงไปในครานั้น เขาก็ดูจะอ่อนโยนกับข้ามาตลอด?
เพราะเป็นฮูหยินในนามของเขาแล้วงั้นรึ? แต่ถ้าต้องการแต่งงานเพื่อหลบเลี่ยงไม่ให้คนรอบตัวมาสนใจ ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องเอาใจใส่ข้าขนาดนี้ก็ได้ หรือหมอนี่จะพอมีใจให้ข้าแล้ว?
ไม่รู้ทำไม หลี่หวงถึงรู้สึกแอบดีใจขึ้นมาเล็กๆ พอนึกได้แบบนั้น
หลี่หวงหยิบตะเกียบขึ้นมาและเริ่มรับประทานอาหารอย่างเงียบๆ
กล่าวกันตามตรง เวลานี้นางไม่มีความหิวเลยแม้แต่น้อย มองดูอาหารที่ถูกจัดเรียงจนเต็มโต๊ะ ทว่านางกลับรู้สึกไม่อยากอาหารเลยจริงๆ
เพราะมีเรื่องหนึ่งอยู่ในใจที่ยังกังวล จนไม่สนใจอย่างอื่นสักเท่าไหร่
“อาหารพวกนี้เจ้าคงไม่ชอบกระมัง?”
หลิงฉางเจวี่ยเอ่ยถามเจือสีหน้ากังวล เมื่อเห็นว่าหลี่หวงทานน้อยมาก
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาชวนสตรีไปรับประทานอาหารด้วยกัน จึงไม่รู้ว่าโดยปกติแล้วผู้หญิงเขาชอบทานอะไรกัน หรือสาวน้อยคนนี้ไม่ชอบกินน่องไก่กัน?
“หลิงฉางเจวี่ย”
หลี่หวงไม่ได้ตอบคำถามของเขา แต่วางชามและตะเกียบลงทันทีและขานชื่อเขาออกมา
หลินฉางเจวี่ยถึงกับตะลึงงันไปเล็กน้อย เพราะเท่าที่เขาจำความได้ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่หลี่หวงเรียกเขาว่า ‘หลิงฉางเจวี่ย’
เมื่อเงยหน้ามองหลี่หวง เขากลับเห็นว่าอีกฝ่ายหาได้มองหน้าสบสายตากับเขา นางกำลังก้มหน้าก้มตาราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
“เจ้าเป็นใคร?”
นี่เป็นคำถามที่สองที่หลุดออกมาจากปากของจวิ๋นหลี่หวง แต่เพียงเท่านี้หลิงฉางเจวี่ยก็ทราบทันทีว่า สิ่งที่นางอยากรู้จริงๆ คืออะไร
ก่อนหน้านี้ที่นางไม่ได้เอ่ยถามออกไป เพราะรู้สึกว่ามันไม่จำเป็น เพราะชายคนนี้ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับตนเลย เขาก็คือเขา หลี่หวงก็คือหลี่หวง ญาติก็ไม่ใช่เป็นแค่คนแปลกหน้าเท่านั้น ทว่าตอนนี้กลับแตกต่างกันออกไป ในเมื่อนางตอบตกลงเรื่องหมั้นหมาย ไม่ว่ายังไงตัวหลี่หวงเองจำเป็นจะต้องทราบถึงภูมิหลังของอีกฝ่ายก่อน
นี่เป็นมื้ออาหารที่แย่มาก
“สาวน้อย เจ้าอยากรู้เรื่องพวกนี้เพราะอยากรู้จักข้าจริงๆ น่ะรึ?”
หลิงฉางเจวี่ยเอ่ยถามขึ้นน้ำเสียงเบา
“เปล่า”
หลี่หวงตอบปฏิเสธน้ำเสียงฟังดูมั่นใจ
“ข้าต้องทราบภูมิหลังของเจ้าก่อน เผื่ออนาคตจะได้มีทางหนีทีไล่”
หลี่หวงเงยหน้าขึ้นสบตากับหลิงฉางเจวี่ยโดยตรง นัยน์ตาสีม่วงปะทะกับนัยน์ตาสีทอง ทั้งสองต่างไม่มีใครยอมใครเลย
หลี่หวงต้องการรู้รายละเอียดเกี่ยวกับหลิงฉางเจวี่ยไว้บ้าง
“อันที่จริงแล้ว ที่เจ้าต้องการแต่งงานกับเจ้า เพราะมีจุดประสงค์อื่นจริงๆ? และบางทีอาจจะมากกว่าที่ข้าเคยคาดเดาไป”
หลี่หวงกล่าวเสริมเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งประโยค
หลิงฉางเจวี่ยจ้องมองแววตาของหลี่หวงสักพักใหญ่ ก่อนจะคลายเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ
เขาลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินไปอยู่ข้างหลังหลี่หวง และค่อยๆ โน้มตัวกอดนางอย่างแผ่วเบา
“เจ้าฉลาดนัก”
“ก็เจ้าเป็นคนเช่นนี้”
นางกล่าวตอบออกไปโดยไม่มีท่าทีขัดขืนใดๆ
“ทั่วผืนพิภพต่างหันคมอาวุธใส่สตรีพิษ พอเจอตัวจริงสิ่งที่น่ากลัวที่สุดกลับหาใช่พิษ แต่เป็นความคิดความอ่าน...”
“อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง”
หลี่หวงไม่หลงกลตามน้ำอีกฝ่าย
“เอาล่ะ หากเจ้าอยากรู้ว่าข้าเป็นใคร เช่นนี้มีหนี่งคำถามที่เจ้าต้องตอบมาเสียก่อน หากวันหนึ่งข้าคนนี้ทำร้ายจิตใจของเจ้า วันนั้นเจ้าจะตามล่าข้าสุดขอบพิภพหรือไม่?”
หลี่อึ้งไปสักพักเมื่อได้ยินคำถามเช่นนี้
แต่คำตอบก็แน่นอนอยู่แล้ว มีหรือที่นางจะอยู่เฉย?
“ผู้ใดทำร้ายข้าไม่ว่าจิตใจหรือร่างกาย จุดจบของมันผู้นั้นคือความตาย”
นี่คือหลักฐานที่นางถือปฏิบัติมาโดยตลอด