บทที่ 550 เล่นตลกอะไรกัน?(ตอนฟรี)
บทที่ 550 เล่นตลกอะไรกัน?
“เสี่ยวหยู เธอคิดว่าแขนหุ่นยนต์ของชาวต่างชาติคนนั้นที่เหวินเว่ยซินเห็นจะเป็นแขนเทียมของเขาหรือเปล่า?” จี้เฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามขึ้น “พี่เคยได้ยินมาว่าเดี๋ยวนี้มีเทคโนโลยีขั้นสูงในการทำแขนขาเทียม ด้านในเป็นการใช้โลหะผสมอย่างดี และผิวหนังด้านนอกก็สามารถลอกเลียนแบบให้เหมือนผิวหนังเดิมของคนที่สวมใส่ได้...”
จี้เสี่ยวหยูกระทืบเท้าอย่างรีบร้อน “พี่สาม เรายืนโอ้เอ้กันอยู่ตรงนี้นานมากแล้วนะ ทำไมพี่ถึงได้มีอารมณ์ที่จะมาศึกษาแขนขาเทียมของคนอื่นอยู่อีกล่ะ? เราไปช่วยซินซินกันก่อนดีมั้ย?!”
จี้เฟิงขมวดคิ้ว คำบอกเล่าของเสี่ยวหยูทำให้เขานึกถึงนักฆ่าชาวต่างชาติที่เขาเคยเจอเมื่อก่อนหน้านี้ในเจียงโจว กระดูกสันหลังของนักฆ่าคนนั้นทำมาจากโลหะ อีกทั้งรูปร่างลักษณะก็ดูแปลกตามาก ในตอนที่จี้เฟิงมองมัน จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวไปถึงขั้วหัวใจ
เนื่องจากรูปร่างแบบนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้โดยการผ่าตัดธรรมดาอย่างแน่นอน เพราะนอกจากสมองแล้ว กระดูกสันหลังคืออวัยวะส่วนที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ คนๆหนึ่ง หากไม่มีมือเท้าแขนหรือขา ขอเพียงได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ก็สามารถมีชีวิตรอดและใช้ชีวิตต่อไปได้
ในประวัติศาสตร์จีน เคยมีคนถูกตัดแขนตัดขาแล้วใส่ขวดโหลแต่สุดท้ายเขาก็รอดชีวิตมาได้
แต่จนถึงตอนนี้ ยังไม่เคยมีใครได้ยินว่าหลังจากคนคนหนึ่งถูกถอดกระดูกสันหลังออกแล้ว เขาจะยังสามารถอยู่รอดได้!
หากเป็นการผ่าตัดเอากระดูกสันหลังเพียงบางส่วนออกไปตามการรักษาของแพทย์เฉพาะทาง ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่างไรก็ตาม นักฆ่าชาวต่างชาติที่จี้เฟิงเห็น กระดูกสันหลังทั้งหมดของเขาทำจากโลหะแปลกๆที่จี้เฟิงไม่รู้จัก นั่นหมายความว่า กระดูกสันหลังดั้งเดิมของเขาถูกถอดเปลี่ยนออกไปทั้งหมด!
ในสภาพแบบนั้น เขายังสามารถอยู่รอดได้ มันอยู่นอกเหนือขอบเขตของการรักษาทางการแพทย์ในปัจจุบันที่จี้เฟิงรู้จักแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่ว่าใครหากได้เห็น พวกเขาคงอดไม่ได้ที่จะเหงื่อแตกพลั่กและรู้สึกหนาวสั่นอย่างช่วยไม่ได้!
เพราะมันหมายความว่ามีคนกำลังใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์เพื่อเปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดที่มีกระดูกทำจากโลหะ!
จี้เฟิงนึกถึงคำคำหนึ่งขึ้นมาได้ในทันที มันคือการแปลงร่าง!
ใช่แล้ว มันคือการจับมนุษย์มาแปรสภาพ มันคือการเปลี่ยนแปลงของมนุษย์!
เขาเอามนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่มาทดลองโดยการดึงกระดูกสันหลังของมนุษย์ออกมาทั้งหมดและเปลี่ยนมันเป็นกระดูกโลหะ เปลี่ยนจากมนุษย์ธรรมดาให้กลายเป็นมนุษย์ที่มีความสามารถพิเศษบางอย่าง...
แค่ลองนึกภาพ ก็ทำเอาขนหัวลุกแล้ว!
แม้ว่าในตอนนั้นจี้เฟิงจะไม่ได้พูดอะไรและไม่เคยพูดคุยกับใครเกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจี้เฟิงจะไม่ตกใจ!
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จี้เฟิงก็ให้ความสนใจอย่างมากกับองค์กรที่เรียกว่าราชวงศ์(หวางฉาว)และองค์ชาย(หวางเยว่)ที่เหอหงเหว่ยพูดถึง
และตอนนี้เขาได้ยินเรื่องของชาวต่างชาติที่มีแขนเหมือนหุ่นยนต์จากปากของเสี่ยวหยูอีกครั้ง แม้ว่าครั้งนี้จะเป็นเพียงแขนโลหะ แต่มันก็ทำให้จี้เฟิงรู้สึกเหมือนจะเชื่อมต่อเรื่องราวบางอย่างได้
จี้เฟิงอดคิดในใจไม่ได้ ‘ในตอนนั้นก็เป็นชาวต่างชาติเหมือนกัน และมีอวัยวะบางส่วนเป็นโลหะเหมือนกันอีก... มันจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญจริงๆเหรอ?’
“พี่สาม! พี่สามคะ พี่กำลังคิดอะไรอยู่? ไปช่วยซินซินกันเถอะค่ะ!” จี้เสี่ยวหยูจับมือของจี้เฟิงและเขย่าไม่หยุด “เสี่ยวหยูรู้ว่าพี่สามไม่ค่อยชอบซินซิน แต่ครั้งนี้เธอตกอยู่ในอันตรายจริงๆ เสี่ยวหยูสัญญาว่าถ้าเราช่วยซินซินเสร็จแล้ว เราจะกลับบ้านกันทันทีเลย โอเคมั้ยคะพี่สาม?”
จี้เฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “อืม พี่จะไปกับเธอ!”
“จริงนะ?!”
ดวงตาของจี้เสี่ยวหยูเป็นประกาย เธอพยักหน้าอย่างลนลาน “โอเคๆ พี่สาม พี่พูดแล้วนะ ห้ามกลับคำนะ!”
“พี่ไปช่วยเหวินเว่ยซินก็ได้ แต่เธอต้องรับปากกับพี่ก่อนว่าจากนี้เป็นต้นไป เธอไม่ได้รับอนุญาตให้มาที่นี่อีกรวมถึงสถานที่ที่คล้ายๆแบบนี้ด้วย โดยเฉพาะกับเหวินเว่ยซินยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ และถ้าเธอไม่เชื่อฟัง พี่จะบอกพ่อของเธออย่างละเอียด แล้วมาคอยดูกันว่าเขาจะจัดการกับเธอยังไง!” จี้เฟิงพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและใบหน้าที่เคร่งขรึม
สีหน้าของจี้เสี่ยวหยูซีดเผือดขึ้นมาทันที เธอพูดด้วยความขมขื่นว่า “พี่สาม เสี่ยวหยูสัญญาว่าจะไม่มาสถานที่แบบนี้อีก ดังนั้นพี่สามอย่าบอกพ่อเลยนะ โอเคมั้ย? เสี่ยวหยูรู้ว่าพี่สามรักเสี่ยวหยูที่สุด พี่คงไม่อยากเห็นเสี่ยวหยูโดนพ่อด่าใช่มั้ยคะ?”
จี้เฟิงโกรธเธอขึ้นมาทันที เขาเขกหัวจี้เสี่ยวหยูอย่างแรง “รู้ว่าพี่รักและเป็นห่วง แต่ทำไมยังมาที่แบบนี้อีกล่ะ ยัยเด็กคนนี้ ถ้าต่อจากนี้ยังมาสถานที่แบบนี้อีก คอยดูแล้วกันว่าพี่จะจัดการกับเธอยังไง!”
จี้เสี่ยวหยูเอามือลูบหัวและหัวเราะแห้งๆ เธอจับมือของจี้เฟิงและจูงไปที่คลับเฮ้าส์ “พี่สาม เร็วเข้าเถอะค่ะ ก่อนหน้านี้เหวินเว่ยซินถูกพวกคนเลวจับตัวไปแล้ว ถ้าเรายังโอ้เอ้อยู่แบบนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น รีบๆเถอะค่ะ”
จี้เฟิงที่ถูกจี้เสี่ยวหยูดึงให้เดินไปข้างหน้า กำลังคิดประมวลผลบางอย่างอยู่ในสมองอย่างรวดเร็ว
อันที่จริงจี้เฟิงยังรู้สึกสับสนและติดใจอะไรบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่น คลับเฮ้าส์หรูๆแบบนี้ ปกติแล้วจะมีการรักษาความปลอดภัยที่ดีมาก แต่ถ้ามีเรื่องอย่างเสี่ยวหยูพูดมาจริงๆ ก็น่าจะมี รปภ.ประจำคลับเฮ้าส์หรืออะไรประมาณนั้นเข้าไปไกล่เกลี่ยหรือจัดการให้เรื่องสงบแล้วไม่ใช่หรือ
แต่ตอนนี้มีเหตุการณ์จับตัวผู้หญิงคนหนึ่งเกิดขึ้น แต่กลับไม่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยออกมาห้ามปราม เห็นได้ชัดว่ามันไม่ค่อยสมเหตุสมผลเลย
“อย่าบอกนะว่าพวกที่จับคนไปจะเกี่ยวข้องกับบุคลากรของคลับเฮ้าส์แห่งนี้?” จี้เฟิงคิดกับตัวเอง ถ้ามันเป็นกรณีนี้จริงๆ การช่วยเหวินเว่ยซินก็อาจจะไม่ง่ายอย่างที่คิด
จี้เฟิงตัดสินใจ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังยังไง เขาก็ต้องสืบหาความจริงก่อนแล้วค่อยว่ากัน
เมื่อทั้งสองคนมาถึงหน้าประตู พวกเขาก็เห็นยามที่พาจี้เฟิงมายืนรออยู่หน้าประตู
เมื่อยามเห็นจี้เฟิงและจี้เสี่ยวหยูเดินมา เขาก็เดินเข้าไปหาทันที “หัวหน้าน้อย คุณหนูน้อย!”
จี้เฟิงโบกมือและรีบพูด “ตามฉันมา เราจะไปช่วยคน!”
“ครับ!” ยามคนนั้นตอบรับทันที ทุกท่วงท่าล้วนแสดงให้เห็นถึงความสง่างามของทหาร
จี้เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ทหารที่มีบุคลิกแข็งแกร่งแข็งขันแบบนี้ก็ดีอยู่หรอก แต่ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน คนอื่นเห็นก็ต้องบอกได้เลยว่าผู้ชายคนนี้เป็นทหาร และเมื่อถึงเวลานั้นอาจจะมีปัญหาอยู่บ้าง
“จริงสิ ฉันยังไม่ได้ถามเลยว่าพี่ชายชื่ออะไร?” จี้เฟิงไม่ได้รีบร้อนที่จะเข้าไป เขาหันไปถามทหารยามด้วยรอยยิ้ม
“กัวจื่อเจี้ยนครับ!” ทหารยามตอบ
จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า “พี่ชายกัว ไม่ต้องเรียกฉันว่าหัวหน้าน้อยหรอก ฉันเป็นแค่นักเรียนธรรมดาๆ เรียกชื่อฉันเฉยๆเลยก็ได้!”
“คือ...” กัวจื่อเจี้ยนลังเลเล็กน้อย
จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า “ตกลงตามนี้แหละ ไปกันเถอะ!”
กัวจื่อเจี้ยนไม่ยืนกรานที่จะปฏิเสธอีกต่อไป เขาเดินตามหลังจี้เฟิงเข้าไปข้างในคลับเฮ้าส์
ทั้งสามคนเดินมาถึงหน้าประตู พนักงานต้อนรับกำลังจะอ้าปากถาม จี้เสี่ยวหยูก็หยิบบัตรใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋า “พวกเราเป็นสมาชิก!”
พนักงานต้อนรับกล่าวทันทีว่า “แขกผู้มีเกียรติทั้งสามท่าน เชิญทางนี้ครับ!”
พนักงานต้อนรับเดินนำทางจี้เฟิงและคนอื่นๆไปยังทางเดินด้านหลัง จี้เฟิงแกล้งทำเป็นถามโดยไม่ได้ตั้งใจว่า “คุณครับ เส้นทางด้านบนนี้จะนำเราไปที่ไหนเหรอ?”
“อ๋อ”
พนักงานต้อนรับยิ้มอย่างสุภาพ “พวกเราจะเดินขึ้นบันไดไป แต่แขกทั่วไปจะขึ้นลิฟต์ ทางเดินนี้เป็นเพียงของตกแต่งเท่านั้นครับ!”
จี้เฟิงยิ้มตอบ แต่ในหัวเขากำลังครุ่นคิด เขาเชื่อว่าเส้นทางนี้ไม่ใช่แค่ของตกแต่งอย่างแน่นอน เพราะเมื่อมองจากที่ไกลๆ จะเห็นรอยเท้าอยู่มากมายบนขั้นบันได แม้ว่าจะไม่ชัดเจนนัก แต่ก็ไม่สามารถหนีจากสายตาของจี้เฟิงได้ เห็นได้ชัดว่าเมื่อไม่นานมานี้ก็เพิ่งจะมีคนเดินผ่านที่นี่
เพราะคลับเฮ้าส์ที่หรูหราเช่นนี้ การทำความสะอาดจะต้องเนี้ยบและทันเวลา แต่บันไดนี้กลับมีรอยเท้า แน่นอนว่าหลังจากการทำความสะอาดล่าสุดจะต้องมีคนเพิ่งเดินผ่านไป
แต่ตอนนี้จี้เฟิงก็ไม่รู้ว่าเส้นทางนี้ใช้ทำอะไรกันแน่ และไม่รู้ว่าจะนำไปสู่ที่ใด และเพื่อไม่ให้พนักงานต้อนรับคนนี้รู้สึกสงสัย จี้เฟิงจึงไม่อยากถามอะไรมาก เขาเดินตรงเข้าไปในอีกช่องทางหนึ่ง
หลังจากส่งทั้งสามคนมาถึงทางเดินแล้ว พนักงานต้อนรับคนนั้นก็กล่าวขอตัวอย่างสุภาพและกลับไปที่ประตูอีกครั้ง
จี้เฟิงและคนอื่นๆ เดินตรงไปตามทางเดินภายใต้การนำทางของจี้เสี่ยวหยู ทั้งสามคนเดินผ่านล็อบบี้และมาถึงห้องโถงของชั้นสอง มันมีลิฟต์สี่ตัว
“พี่สาม คนเลวพวกนั้นอยู่บนชั้น 4 พวกเรารีบขึ้นไปกันเถอะค่ะ!” จี้เสี่ยวหยูพูดอย่างรีบร้อน
“อืม ไปกันเถอะ!” จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้า จากนั้นก็ก้าวนำเข้าไปในลิฟต์
เมื่อเห็นจี้เฟิงและคนอื่นๆเดินเข้ามา พนักงานลิฟต์ก็รีบกดปิดลิฟต์และถามว่า “ทุกท่านจะไปที่ชั้นไหนครับ?”
“ชั้น 4!” จี้เสี่ยวหยูตอบ
จี้เฟิงไม่ได้พูดอะไร แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ค่อยๆเพิ่มความระมัดระวังและมองไปรอบๆลิฟต์ ที่มุมทั้งสี่ของลิฟต์มีกล้องวงจรปิด และนอกจากนี้กล้องพวกนี้ไม่ได้ถูกซ่อนไว้มิดชิดมากนัก แต่จุดที่ติดตั้งกล้องทั้งสี่ของลิฟต์นั้นอยู่ในจุดที่สูงและแสงไฟส่องไม่ถึง ถ้าไม่สังเกตจริงๆก็ใช่ว่าจะมองเห็นได้
แต่ยิ่งจี้เฟิงมองมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าคลับเฮ้าส์แห่งนี้แปลกมากเท่านั้น เขารู้สึกว่าคลับเฮ้าส์แห่งนี้มีอะไรหลบๆซ่อนๆ บรรยากาศชวนน่าหดหู่มากกว่าความรู้สึกสนุกสนานสดใสเหมือนอย่างคลับเฮ้าส์อื่นๆ
‘ที่นี่มันคลับเฮ้าส์บ้าอะไรกันวะเนี่ย ทำไมยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ!’ จี้เฟิงบ่นกับตัวเองและแอบเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น
“ติ๊ง~ ต่อง—!”
ขณะที่จี้เฟิงกำลังครุ่นคิด อยู่ๆลิฟต์ก็มาถึงชั้นที่ 4 แล้ว
“เสี่ยวหยู นำทางไป!” จี้เฟิงพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ ในขณะเดียวกันเขาก็ส่งสัญญาณให้กัวจื่อเจี้ยน กัวจื่อเจี้ยนเข้าใจทันทีพร้อมกับเอื้อมมือไปที่เอวของเขา
“พี่สาม ห้องส่วนตัวห้องนี้ค่ะ!” จี้เสี่ยวหยูชี้ไปที่ประตูที่มีเลขแปะอยู่หน้าประตูว่า ‘408’ และพูดว่า พวกเราอยู่ที่ห้อง 406 ที่อยู่ติดกับห้องนี้ ซินซินคงจำเลขผิด เธอเลยผลักประตูเข้าไป
จี้เฟิงพยักหน้าและกล่าวว่า “พี่ชายกัว คอยดูแลเสี่ยวหยูให้ดี!”
กัวจื่อเจี้ยนรีบก้าวเข้าไปปกป้องโดยให้จี้เสี่ยวหยูหลบไปอยู่ด้านหลังและมองไปที่ประตูห้องหมายเลข 408 อย่างระแวดระวัง
จี้เฟิงไม่ได้รีบเคาะประตู เขาค่อยๆกระตุ้นกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของเขา สายตาของเขาค่อยๆมองผ่านประตูห้องส่วนตัวหมายเลข 408 แต่เขากลับไม่เห็นสิ่งผิดปกติในห้อง 408 เลย
“นี่มัน...” จี้เฟิงรู้สึกประหลาดใจที่พบว่าภายในห้องส่วนตัวไม่ได้มีฉากยุ่งวุ่นวายอย่างที่คิด มีเพียงเหวินเว่ยซินนั่งอยู่บนโซฟาเพียงลำพัง ไม่มีร่องรอยของการถูกมัด เธอเพียงแค่นั่งเฉยๆราวกับมีใครสะกดจุดเธอ
“แปลกชะมัด!” จี้เฟิงพ่นลมออกจมูก เขาหยิบกระดาษทิชชูออกมาจากกระเป๋าของเขาและจับลูกบิดประตูและเปิดมันออกช้าๆ
“ซินซิน?!” เสี่ยวหยูตะโกนและกำลังจะวิ่งเข้าไป แต่กัวจื่อเจี้ยนก็หยุดเธอไว้
จี้เฟิงขมวดคิ้วมองเหวินเว่ยซิน เธอนั่งนิ่งอยู่บนโซฟา ดวงตาไร้ชีวิตชีวา ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว สองมือจับชายเสื้อเอาไว้แน่น ร่างกายสั่นระริกไม่หยุด...
“เธอทำบ้าอะไรของเธอ?!” จี้เฟิงขมวดคิ้วและถาม “เสี่ยวหยู เธอกับเพื่อนของเธอกำลังเล่นตลกอะไรกับพี่อยู่?!”
เขาสังเกตบริเวณรอบๆแล้ว ในห้องนี้ไม่มีคนอื่น มีเพียงเหวินเว่ยซินที่นั่งนิ่งอึ้งอยู่บนโซฟาเพียงคนเดียว ร่างกายก็ไม่มีร่องรอยถูกทำร้ายหรือถูกมัด!
…จบบทที่ 550~❤️