บทที่ 49 คนละเส้นทาง
วันเวลาล่วงเลย กลางวันที่ร้อนระอุดุจไฟแผดเผาและกลางคืนที่เย็นยะเยือกดุจน้ำแข็งผ่านไปอย่างรวดเร็ว
แสงตะวันในยามเช้าปรากฏขึ้นอีกครั้ง เวลานี้ผ่านมาสามวันแล้วนับจากที่หนิงเทียนได้สลบไป
ด้วยระดับความวิเศษของโอสถสวรรค์ทำให้ความเร็วในการฟื้นฟูของหนิงเทียนเป็นไปอย่างน่าประหลาดใจ เวลานี้หนิงเทียนพอที่จะขยับตัวได้บ้างแล้ว
มันจึงค่อยๆเปิดตาขึ้นจากการหลับลึกถึงสามวัน และพยามยันกายขึ้นอิงอยู่กับซากหิน
“ข้าหลับไปกี่วัน?” มันถามไปยังชายชุดขาวที่กำลังนั่งหันหลังให้แก่มัน
“ท่านฟื้นแล้ว”ฉางอินอุทานอย่างตกใจพร้อมทั้งกล่าวต่อ “ท่านหลับไปสามวัน” ฉางอินตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พลางใช้มือปัดทรายที่เปื้อนเสื้อของมันออก
หนิงเทียนมองไปยังชายหนุ่มตรงหน้า “ขอบคุณมากที่ช่วยข้าไว้”น้ำเสียงของมันเต็มไปด้วยความจริงใจ
“อย่าคิดมากการช่วยคนคือความฝันของข้าอยู่แล้ว”ฉางอินตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบดวงตาของมันใสซื่อเป็นแก้วสีขาว
“เป็นหนี้บุญคุณเจ้าแล้ว ข้าชื่อหนิงเทียนแล้วเจ้า?”หนิงเทียนกล่าวถามออก ไม่บ่อยครั้งที่มันจะเริ่มทำความรู้จักผู้คนก่อน
“ข้าชื่อฉางอิน” ฉางอินยังคงกล่าวตอบอย่างยิ้มแย้ม
ได้ยินเช่นนั้นหนิงเทียนได้แต่ส่งยิ้มออกจางๆ พร้อมทั้งหันไปมองภูมิประเทศรอบๆก่อนจะกล่าวต่อ “ฉางอิน เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่กลางทะเลทรายเช่นนี้?”
ทันทีที่ได้ยินคำถาม ใบหน้าอันสดใสของฉางอินพลันหม่นหมองลงในทันใด มันกล่าวตอบอย่างไม่เต็มเสียงนัก“ข้าเป็นบัณฑิต”
“หืมม์ บัณฑิตที่ต้องการสอบเป็นขุนนางนะหรือ?”
“ใช่ ข้ากำลังเดินทางกลับบ้านเพราะพึ่งสอบเป็นขุนนางเสร็จ....แถมยังสอบตกเสียด้วย”น้ำเสียงของฉางอินเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
มันยังคงกล่าวต่อเหมือนว่าได้ระบายสิ่งที่อัดอั้นออกมาภายนอก “นี้เป็นครั้งที่สองแล้วที่ข้าสอบตก ทั้งๆที่มั่นใจมากแท้ๆ ข้าไม่สามารถแม้แต่จะผ่านข้อเขียน
การเป็นขุนนางของเมืองฉางผิงมันยากพอๆกับปีนขึ้นสวรรค์เลยนะท่าน”
“เอาเถอะ ครั้งหน้าเจ้าก็ยังมีโอกาส”หนิงเทียนเห็นใบหน้าที่โศกเศร้าของฉางอิน มันจึงกล่าวปลอบใจ
“ไม่ทันการแล้ว ข้าจะมีหน้ากลับเมืองไปพบกับผู้คนที่คาดหวังในตัวข้าและคนที่ข้ารักได้อย่างไร” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าอาดูร จับเข้าไปในจิตใจของผู้ที่ได้ฟัง
“เจ้ายังหนุ่มยังแน่นแท้ๆกลับย่อท้อต่อโชคชะตาเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“ไม่ใช่เช่นนั้น” ฉางอินกล่าวตอบพลางก้มหน้าลงต่ำสองมือกำเม็ดทรายไว้แน่น
“หรือเจ้ามีเหตุผลใด?”
ฉางอินกล่าวตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม“ข้ามีคนรักอยู่ที่เมืองเกิด นางเป็นสาวงามชื่อ เสี่ยวซวง นางนั้นมีจิตใจโอบอ้อมอารี
ทั้งยังมีพรสวรรค์ในการฝึกตน เสี่ยวซวงสามารถฝึกฝนทักษะบ่มเพาะ ฟ้ากำเนิดได้ในเวลา2ชั่วยามและสำเร็จขั้นหลอมรวมได้ภายใน3วัน”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ ดวงตาที่ใสซื่อของมันถูกปกคลุมด้วยโทสะเข้าแทน
ฉางอินกัดฟันแน่นพร้อมทั้งกล่าวออก “แต่ด้วยนิสัยใจคอที่ชอบช่วยเหลือผู้คนและมองโลกในแง่ดีของนาง ทำให้ต้องหลงกลแผนร้ายของเจ้าเมืองคนใหม่ และถูกมันจับตัวไป”
“เจ้าเลยต้องการเป็นขุนนางเพื่อหยิบยืมกำลังคนจากเมืองฉางผิง มาปราบเจ้าเมืองที่จับกุมคนรักของเจ้าไปสินะ เป็นเหตุผลที่เห็นแก่ตัวไม่น้อยจริงๆ”หนิงเทียนกล่าวออกมาด้วยท่าทีนิ่งเฉย
“ไม่ใช่เช่นนะ เจ้านั้นมันเป็นคนไม่.....” ฉางอินกล่าวด้วยเสียงที่ดังขึ้น
หนิงเทียนกล่าวแทรกออกมาก่อนที่ฉางอินจะกล่าวจบประโยค
“แน่นอน คนที่แย่งแม้แต่ผู้หญิงของคนอื่น ไม่มีทางเป็นเจ้าเมืองที่ปกครองได้อย่างยุติธรรมแน่ๆ” หนิงเทียนหยุดคำพูดอยู่ชั่วขณะ
ก่อนจะกล่าวต่อ “แต่เจ้าควรรู้ไว้ว่าการเป็นขุนนางเพื่อที่จะตายแทนคนอื่นมันไม่ใช่เรื่องที่น่าสนุกนักหรอก
เอาเถอะ ‘ชีวิตใครมันผู้นั้นจะต้องเป็นคนขีดเส้นทางเดินเอง’ มันเป็นคำพูดที่ข้าเชื่อมาตลอด
ถ้าเจ้าเริ่มฝึกฝนทักษะต่อสู้ตอนนี้แทนการเล่าเรียนอ่านตำรา อีกไม่นานเจ้าก็สามารถช่วยคนรักของเจ้าได้แน่ ถ้าเจ้าพยามละน่ะ”
“ท่านหมายความว่า ให้ข้าเลิกหวังที่จะเป็นขุนนาง” ฉางอินตะโกนออกด้วยความโกรธ
“การที่หวังพึ่งพลังของผู้อื่นเพื่อช่วยเหลือคนสำคัญของตัวเอง แค่เริ่มคิด ข้าก็เห็นเส้นทางข้างหน้าในชีวิตเจ้าแล้ว” หนิงเทียนกล่าวออกขณะปัดเศษทรายที่เปรอะเปื้อนเสื้อผ้าของมันออก
“ท่านไม่รู้อะไรเลยแท้ๆ ทำไมถึงได้กล่าวเช่นนี้ ท่านเป็นผู้ฝึกตนที่มีพร้อมทุกอย่าง
ท่านเคยเกิดมาพร้อมพรสวรรค์1แกนแท้ หรือแม้แต่เกิดมายังไม่รู้ว่าพ่อแม่ตัวเองหน้าตาเป็นเช่นไร
ท่านเคยถูกแย่งชิงคนรักไปหรือไม่ ท่านเคยโกรธที่ตัวเองไร้พลังหรือไม่? ไม่เลยท่านไม่มีทางเข้าใจมัน” ฉางอินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นเรื่อยๆ
หนิงเทียนยันกายลุกขึ้นอย่างลำบาก “คนที่หวังจะรวยทางลัดนะ มักจะหมดตัวทุกรายไป พวกมันไม่เคยแม้แต่จะพยามด้วยซ้ำ กลับวาดฝันถึงผลลัพธ์ที่สวยหรู”
“นี้ท่าน...”
“ในเมื่อเจ้าต้องการที่จะกลับ ส่วนข้ามีธุระต้องไปทำที่เมืองฉางผิง จุดหมายของพวกเราต่างกัน เช่นนั้นข้าขอแยกทางเสียตรงนี้”
ตุ๊บ!!!! ตำราเล่มสีแดงถูกโยนมาตกตรงหน้าของฉางอิน
ฉางอินมองไปยังม้วนตาราสีแดง ก่อนจะเพ่งไปยังตัวอักษรที่สลักอยู่ด้านหน้าของตำรา
“นี้...นี้คือ ทักษะท่าร่างอัคคี ทักษะระดับปราชญ์ของอดีตผู้พิทักษ์แดนฟ้า ชิงเชียว” มันกล่าวออกด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
หนิงเทียนกล่าวออกอย่างไร้อารมณ์ “ไม่เสียแรงที่เจ้า ร่ำเรียนมาเยอะ คิดเสียว่ามันเป็นสิ่งตอบแทนที่เจ้าช่วยลากข้ามาถึงสามวัน” กล่าวจบประโยคนี้หนิงเทียนยกมือขึ้นโบกแสดงออกแทนคำบอกลา
“เจ้าจงตัดสินใจเอาเอง ว่าจะเลือกฝึกมันและกลับไปแก้แค้นเจ้าเมืองที่มันแย่งชิงคนรักเจ้าไป หรือว่าจะนำมันไปขายเพื่อจ้างนักฆ่าไปสังหารมัน ก็สุดแล้วแต่เจ้า”
ฉางอินมองไปยังแผ่นหลังของหนิงเทียนด้วยแววตาซาบซึ้ง มันตะโกนไล่หลังหนิงเทียนออกมา “ขอบคุณมาก ข้าจะตั้งใจฝึกมัน จากนี้ไปข้าจะพึ่งพาพลังของตัวเอง”
หนิงเทียนได้ยินเช่นนั้นมันได้แต่โบกมือลา มันเดินลากเท้าบนทะเลทรายที่เต็มไปด้วยความร้อนอยู่ชั่วครู่
ก่อนจะหยุดอยู่กับที่ เหมือนว่าจะนึกอะไรขึ้นมาได้ หนิงเทียนหันหลังกลับพร้อมก้าวเดินไปยังฉางอินอย่างรีบเร่ง
ฉางอินเห็นเช่นนั้น มันจึงกล่าวถามออกด้วยความสงสัย “ท่านมีอะไรหรือ?”
“เอ่อ....ข้าขอโทษที่ต้องพูดคำนี้ แต่ว่า เจ้าพอจะมีแผนที่บ้างหรือไม่
ข้านั้นไม่เคยมาแถวนี้ อีกทั้งยังไม่รู้ทิศทางที่จะไปยังเมืองฉางผิง” หนิงเทียนกล่าวออกอย่างเรียบเฉย
ฉางอินยิ้มที่มุมปากก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา จากนั้นมันล่วงมือเข้าไปหยิบหนังสัตว์ขนาดเล็ก ที่สลักเส้นทางเดินไว้นับสิบสาย
ก่อนจะใช้ ถ่านไม้สีดำขีดเขียนอยู่ชั่วลมหายใจ “ท่านเดินไปตามเส้นทางที่ข้าขีดไว้ ใช้เวลาเดินเท้าไม่เกิน7วันจะถึงเมืองฉางผิง และนี้...”
ขณะที่กล่าวออกฉางอินขีดเส้นทางเดินเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งสาย “นี้คือเส้นทางไปเมืองลี่หลิน(หยกงาม) บ้านของข้า ถ้าท่านทำธุระเสร็จแล้วแวะมาเยี่ยมข้าบ้าง”
หนิงเทียนรับแผนที่มาพร้อมกล่าวออก “เจอกันครั้งหน้า ข้าหวังว่าเจ้าจะช่วยเหลือคนรักของเจ้าได้แล้ว” สิ้นคำกล่าว หนิงเทียนหันหลังและเดินจากไปตามเส้นทางที่ระบุไว้ในแผนที่
“ข้าจะพยาม” เสียงตอบรับของฉางอินดังไล่หลังมา
ในขณะที่หนิงเทียนก้าวเดินออกไปได้ห้าถึงหกก้าว จู่ๆความรู้สึกประหลาดใจเกิดขึ้น
พร้อมทั้งพื้นทรายที่มันยืนอยู่สั่นสะเทือนเป็นลูกคลื่นคล้ายกับว่ามีสิ่งใดกำลังเคลื่อนไหวอยู่ใต้พื้นทรายนั้น
ใบหน้าของมันฉายแววตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้ง เวลานี้หนิงเทียนไม่สามารถส่งเสียงผ่านลมปราณได้เหมือนเช่นเคย
มันจึงแผดเสียงจากลำคอของมันออกอย่างสุดเสียง “ฉางอิน วิ่ง!!!!!”
ด้วยระยะทางที่ไกลผสมกับแรงลมจากทะเลทราย ทำให้เสียงที่เปล่งออกไปนั้นมันแผวเบาไม่ชัดเจนมากนั้น
“เอ๋....เหมือนท่านหนิงเทียนกำลังกล่าวอะไรกับเรา” ฉางอินเห็นเช่นนั้น มันยิ้มรับพร้อมทั้งกำลังส่งเสียงตอบ “ท่าน........”
ฉึบ!!!!! ดาบสีดำพุ่งออกจากใต้พื้นทรายแทงทะลุหัวใจของฉางอินออกมา
“อ้าาาา...”ฉางอินก้มมองไปยังร่างของมัน พร้อมทั้งพ่นเลือดออกมากองโต ดวงตาที่ส่อประกายด้วยความบริสุทธิ์วูบดับแสงลงทันที มันทิ้งร่างลงไปกับพื้นทรายที่อ่อนนุ่ม
ทันใดนั้นเจ้าของดาบสีดำที่โผล่จากพื้นทราย มันคลานร่างออกมาช้าๆปรากฎให้เห็นแมงป่องขนาดเท่าตัวคน ดาบสีดำที่เห็นถ้ามองดีๆมันเป็นเพียงปลายหางที่เคือบไปด้วยพิษสีดำเท่านั้น
เห็นภาพเช่นนั้นดวงตาของหนิงเทียนเบิกกว้าง มันรีบพุ่งทะยานออกไปหาร่างที่ไร้วิญญาณของฉางอิน
ด้วยการใช้ออกด้วยท่วงท่าอย่างเดียวเวลานี้ความเร็วของมันมีไม่ถึง1ใน10ของยามปกติด้วยซ้ำ หนิงเทียนยกร่างที่ไร้หัวใจของฉางอินขึ้นมา
“เป็นยังไงบ้าง...อดทนไว้” แม้มันจะกล่าวออกเช่นนั้นแต่ความจริงแล้ว มนุษย์ที่หัวใจถูกทำลาย ต่อให้เทพเซียนจุติลงมาก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้
และสิ่งที่เรียกว่าวิญญาณมันจะดับสูญไปพร้อมกับลมหายใจที่หยุดสนิท
เวลานี้แม้แต่โอสถทิพย์เก้าทิวาก็ไม่สามารถดึงวิญญาณของฉางอินกลับมาได้
ขณะเดียวกันแมงป่องหางดำนับสิบตัวปรากฏตัวเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จาก1เป็น10 จนเวลานี้มันล้อมรอบหนิงเทียนนับได้เกิน20ตัว
แมงป่องหางดำนั้นเป็นราชาในพื้นทรายแห่งนี้มันเป็นสัตว์ชนิดเดียวที่นักเดินทางในแทบนี้ต้องระวังตัว
เนื่องจากมันเป็นสัตว์อสูรลมปราณขั้นที่1 พวกมันเป็นสายพันธุ์เดียวที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้
แต่ด้วยแมงป่องหางดำนั้นจะรวมกลุ่มอยู่เป็นฝูงไม่ค่อยแยกออกจากกัน ทำให้โอกาสพบเจอพวกมันนั้นยากพอๆกับงมเข็มในมหาสมุทร
พื้นทรายที่กว้างใหญ่ไพรศาลเช่นนี้ การจะพบพานพวกมันทั้งฝูงได้ ต้องนับว่าเป็นผู้ทีมีชะตากรรมถึงคาดแล้วเท่านั้น
เวลานี้ฝูงแมงป่องหางดำแย่งกันกัดกินหัวใจของฉางอิน พวกมันเริ่มจะต่อสู้กันเองบ้าง สุดท้ายมีแต่ตัวที่ใหญ่ที่สุดเท่านั้นที่จะได้กินหัวใจดวงเล็กๆนี้
วูบ!!!!!!! ดาบสีดำพุ่งใส่หนิงเทียนจากเบื้องล่าง ด้วยสัญชาตญาณของหนิงเทียนมันบิดตัวหลบเล็กน้อย ก่อนที่จะเตะสวนออกไปที่แมงป่องหางดาบ
ด้วยแรงเตะที่ปราศจากพลังปราณของหนิงเทียนเวลานี้มันทำได้เพียงแต่ส่งร่างของแมงป่องหางดาบออกไปไกลไม่กี่ช่วงตัวเท่านั้น
คิ้วของหนิงเทียนขมวดเข้ามากันทันที ‘ด้วยจำนวนขนาดนี้....’
ไม่มีเวลาให้หนิงเทียนได้คิดมากนั้น ดาบสีดำอีกสองเล่มพุ่งออกมา คราวนี้เป็นหนิงเทียนที่แบกร่างของฉางอินไว้บ้าง มันกระโดดถอยหลังหลบดาบสีดำอย่างตะกุกตะกัก
อึก!!! เวลานี้เสื้อผ้าของหนิงเทียนเริ่มที่จะมีลอยเลือดจางๆซึมออกมา บาดแผลที่โดนมังกรพิษฟ้าครามทำร้ายค่อยๆเปิดออก
ขณะเดียวกันดาบสีดำนับสิบสายพุ่งเข้าจู่โจมหนิงเทียนอย่างต่อเนื่อง มือขวาของหนิงเทียนเรียกกระบี่พิรุณโปรยออกมาไว้ในมือ
เหมือนจิตวิญญาณของมังกรวารีจะตอบรับวิกฤติของเจ้านายมัน มันแผ่ไอเย็นปกคลุมไปทั่วบริเวณ
ส่งผลให้แมงป่องที่กำลังจู่โจมหยุดชะงักลงแสดงออกถึงความหวาดกลัว
กิ๊กกิกิ๊!!!... เสียงร้องของแมงป่องหางดำตัวใหญ่ที่ได้กัดกินหัวใจของฉางอินนั้นดังขึ้นเป็นสัญญาณให้พวกมันเข้าจู่โจมหนิงเทียนอีกครั้ง
หนิงเทียนกัดฟันแน่ มันกระชับกระบี่พิรุณโปรยและฟาดออกด้วยกำลังทั้งหมดที่มันมี ด้วยความคมของอาวุธที่มีจิตวิญญาณ ช่วยทดแทนพลังปราณที่หายไปได้เป็นอย่างดี
กระบี่ของมันตัดผ่านร่างของแมงป่องหางดำออกเป็นสองส่วน หนิงเทียนคำรามลอดรายฟันออก “จะกินข้า? ต้องเตรียมใจที่จะตายไว้ด้วย”
คราวนี้ดาบสีดำพุ่งเข้าจู่โจมทั้งหน้าและหลังพร้อมกัน หนิงเทียนโน้มตัวไปข้างหน้าในแนวที่เดียวกัน ใบหน้าและแผ่นหลังของมันอยู่ห่างจากดาบสีดำที่โจมตีเข้ามาเพียงคืบเดียวเท่านั้น
ในขณะที่กำลังจะปะทะกับตัวมัน หนิงเทียนกระโดดขึ้นสูงส่งผลให้ดาบสีดำของพวกมันแทงทะลุกันเอง
หนิงเทียนฝืนกลืนเลือดที่พุ่งผ่านลำคอของมันลงไป ภายในของมันตอนนี้บอบช้ำอย่างมาก
และที่มันต้องใช้วิธีการยืมแรงของพวกมันฆ่ากันเองนั้นเป็นเพราะแค่การตวัดกระบี่ครั้งเดียวของมันกลับสะเทือนไปยังอวัยวะภายในจนเกือบจะแตกสลาย
กิ๊กิกิกิ๊!!!... เสียงร้องของแมงป่องหางดำตัวใหญ่ดังขึ้น
ทันใดนั้นกลุ่มแมงป่องหางดำนับสิบตัวพุ่งร่างเข้าใส่หนิงเทียนอย่างพร้อมเพียง
ดาบสีดำมืดนับสิบจ่ออยู่เบื้องหน้าของมัน หนิงเทียนพยามฝืนเร่งลมปราณที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วร่างออกมา
ในขณะที่พลังปราณของมันกำลังโคจรออกมากลับถูก ดวงตะวันทั้งแปด ในจิตวิญญาณของมันดึงกลับเข้าไป
อั๊กกกก!!! เลือดลมของมันตีกลับ หนิงเทียนทรุดเข่าลงกับพื้น พร้อมกะอักเลือดกองโตออกมา มันมองไปยังดาบสีดำที่พุ่งเข้าหาร่างของมันโดยไร้ซึ่งทางหลบหนี
ถ้าเป็นยามปกติด้วยวิชากายาเทพอสูรแล้ว แม้หนิงเทียนจะนอนหลับรับดาบสีดำของพวกมัน ก็ไม่สามารถสร้างบาดแผลให้หนิงเทียนได้เลยแม้แต่น้อย
แต่เวลานี้นั้นต่างออกไป ถ้าหนิงเทียนรับพวกมันโดยตรงร่างกายของมันต้องกลายเป็นรูคล้ายรวงผึ้งเป็นแน่
“โธ่ว้อยยย....นี้มันคราวซวยอะไรของข้านักหนา” หนิงเทียน สบถออกด้วยโทสะ
ซวกกกกก!!! .........