ตอนที่35 ความตายของหานชิง
ตอนที่35 ความตายของหานชิง
เรือนร่างบางของหลี่หวงหมุนกลับและเดินจากออกไปทันทีโดยไม่พูดไม่จา
หานชิงนั่งอดอะไรตายยากอยู่กับพื้น คิดเคี้ยว พินิจคำพูดของหลี่หวงก่อนหน้าอย่างเชื่องช้า นางยกมือขึ้นทุกตีศีรษะของตัวเองไปมาด้วยความโกรธเกลียดในความโง่เขลาของตัวเอง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังที่เคลื่อนห่างออกไปของหลี่หวง
นางตะโกนลั่นสุดเสียงขึ้นว่า
“ได้โปรดดูแลอี้เอ๋อร์ด้วย! ได้โปรด!!”
หลี่หวงชะงักฝีเท้าหยุดลงเล็กน้อย และก้าวย่างเดินจากออกไปโดยไม่สนใจอีกต่อไป
‘นายท่านกล่าวถูกต้อง สตรีผู้นี้ช่างโง่งม กว่าจะรู้ตัวกลับสายเกินไปเสียแล้ว’
สุ้มเสียงของเหยาอวี้ดังขึ้นในห้วงความคิดของนาง
“เพราะเป็นมนุษย์ยังไงล่ะ”
หลี่หวงกล่าวตอบเสียงเงียบ
‘ทั้งน่าสงสาร ทั้งรู้สึกสมน้ำหน้า และที่สำคัญ...ช่างน่าสังเวช’
“ยังมีอีกเรื่องที่รอให้ข้าจัดการอยู่”
หลี่หวงถอนหายใจเสียงหนึ่ง วันนี้มีเรื่องราวมากมาย ช่างน่าเหนื่อยหน่ายเสียจริง
“เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถอะ เมื่อครู่ข้าจำได้ว่า เจ้าถูกคมดาบของพวกนักฆ่าเฉี่ยวแขนมิใช่รึ? เลือดยังไหลซิบอยู่เลย เรื่องแก้แค้นวันหน้ายังไม่สาย”
เหยาอวี้รีบกล่าวหยุดนางก่อนทันที เป็นผู้หญิงประสาอะไรไม่ใส่ใจกับรูปลักษณ์ของตัวเองเลย หากเป็นแผลเป็นขึ้นมาจะทำยังไง?
“หืม? ข้ามิยักรู้ว่าโดนฟัน โอ้...เนื้อเปิดเลยแหะ”
หลี่หวงชำเลืองมองบาดแผลบนแขนของตนเอง พลางหัวเราะคิกคักออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
‘นี่เจ้ายังเป็นสตรีอยู่รึเปล่า? ยังจะมาขำอีก! อยากปล่อยให้เป็นรอยแผลเป็นรึไง! ทายาเร็ว! ข้ามียาผงสมานแผลเก็บไว้อยู่!’
เมื่อหลี่หวงได้ยินอีกฝ่ายกล่าวตำหนิด้วยความห่วงใยเช่นนี้ นางเองก็ไม่อยากปฏิเสธเช่นกันจึงหยิบผงยาสมานแผลออกมาจากแหวนมิติ และชโลมลงเนื้อแผลโดยตรง
ทันใดนั้นบาดแผลก็สมานกลับสู่สภาพเดิมภายในระยะเวลาอันสั้น
หลี่หวงสะบัดแขนเสื้อทีสองทีและมุ่งหน้ากลับไปยังตระกูลจวิ๋น
ในช่วงดึก
จวิ๋นรั่วแอบเดินทางจนมาพถึงเรือนบุปผาโปรยปรายในเวลาและตำแหน่งเดียวกันกับเมื่อวาน ดูท่าแล้วนอกจากความเจ้าเล่ห์ที่เห็นจากภายนอก ทว่าเบื้องลึกในใจกลับเร้นแฝงความรู้สึกผิดไว้หลายส่วน
มันก็จริง ท่านแม่ทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงกับชายอื่นจนท้อง ยังต้องโยนภาระให้ลูกสาวมาแบกหน้าขอยาแท้งเด็กจากคนอื่น
นี่ชักจะเห็นแก่ตัวเกินไปจริงๆ
หลี่หวงหยิบขวดโอสถออกมาและส่งให้กับจวิ๋นรั่ว
“โอสถชนิดนี้ใช้อย่างไร?”
จวิ๋นรั่วเอ่ยถาม
“วันละเม็ดเวลาใดก็ได้ ทานครบแปดวันจึงจะเห็นผล”
หลี่หวงกล่าวเสียงเรียบ
“...ขอบคุณ”
สุ้มเสียงอันแสนแผ่วเบาเสมือนยุงของจวิ๋นรั่วดังผ่านเข้าในหูของหลี่หวง นางแอบกลอกตามองบนใส่นางเล็กน้อย
จวิ๋นรั่วรีบเก็บขวดโอสถไว้ในอกเสื้อเพื่อป้องกันผู้ใดพบเห็น ขณะที่กำลังจะเดินออกไป นางก็พลันได้ยินคำเตือนจากหลี่หวงดังขึ้นมาอีกครั้ง
“โอสถนี้เป็นพิษ หากบริโภคมากเกินขนาดย่อมไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
แข้งขาของจวิ๋นรั่วอ่อนยวบแทบทรุดลงกับพื้น
นางฝืนใจเดินออกจากเรือนบุปผาโปรยปรายอย่างรวดเร็ว
‘เจ้าเตือนเช่นนี้ไป มีหรือที่สมองโง่เง่าอย่างนางจะเข้าใจ?’
“ไม่ว่าจะเข้าใจหรือไม่ แต่ข้าก็ได้เอ่ยเตือนไปแล้ว หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นหลังจากนี้จะได้ไม่รู้สึกละอายใจ”
หลี่หวงคลี่ยิ้มบางและกล่าวต่อว่า
“เจ้าออกมาได้แล้ว ถึงเวลาหลอมกลั่นโอสถต่อ”
“เข้าใจแล้ว”
เหยาอวี้ลอยออกมาพร้อมกับหม้อหลอมโอสถวิเศษในมือ จับตั้งวางลงบนพื้นอย่างมั่นคง
“แต่เจ้าตั้งใจจะช่วยนางทำแท้งจริงๆ รึ? แล้วแบบนี้จะหาทางจัดการนางได้อย่างไร?”
เหยาอวี้ลอยเคว้งแหวกว่ายไปมากลางอากาศ พลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย
มันไม่เข้าใจความคิดของมนุษย์เลยจริงๆ
“เห็นข้าเป็นคนดีขนาดนั้นเลย?”
หลี่หวงเอ่ยถามสวนกลับไปคำหนึ่ง ทันใดนั้นนางก็แสยะยิ้มฉีกกว้างออกมา
“คนบงการเรื่องทั้งหมดอยู่เบื้องหลังอย่างนาง จะไปมีจุดจบที่สบายกว่าหานชิงได้อย่างไร?”
“เจ้าอย่ายิ้มแบบนั้นให้ข้าเห็นอีก ข้ากลัว! เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว...ข้าจะรอดู”
เหยาอวี้สั่นสะท้านไปทั่วร่างยามได้เห็นรอยยิ้มอันสยดสยองของหลี่หวง ถึงขนาดขนลุกขนพองขึ้นเฉียบพลัน
“จะว่าไป...เจ้าวางแผนอย่างไรบ้างรึ?”
“ให้นางมีชีวิตอยู่ต่ออีกสักสองสามวัน รอจนกว่างานศพของหานชิงจะครบเจ็ดวัน ตอนนั้นก็ถึงตานางแล้ว”
“งานศพ? แต่หานชิงยังไม่ตายเลยมิใช่รึ?”
เหยาอี้เอ่ยถามขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า ไฉนนางถึงกล่าวเช่นนี้
“คนที่ไม่เหลืออะไรในชีวิตแล้วอย่างนาง จุดจบเดียวที่รออยู่คือตายอันแสนโดดเดี่ยวที่มาพร้อมกับความสิ้นหวัง ยามนี้คงกำลังเดินเตร่ไปทั่วเมืองดั่งขอทาน และกำลังจะตายลงในอีกไม่ช้า”
หลี่หวงตอบโดยปราศจากความรู้สึกใดเจือปน
หลี่หวงกดสายตาเคลื่อนลงต่ำ และกางฝ่ามือออกมาปรากฏสิ่งของชิ้นหนึ่งอยู่ในมือ
มันเป็นปิ่นปักผม
“นี่หาใช่ปิ่นปักผมของเจ้าที่นางกล่าวถึงหรอกรึ? ไปขอมาตั้งแต่เมื่อใด?”
“คนมันกำลังจะตาย ไยต้องขอให้เสียเวลาเล่า?”
หลี่หวงเหลือบสายตามองอยู่หลายครั้ง ก่อนจะเร่งเร้ากระตุ้นเพลิงบัวโลหิตในกายให้ลุกโชนขึ้นบนฝ่ามือ และเผาปื่นปักผมจนกลายเป็นเถ้าถ่านในชั่วพริบตา
นางไม่อยากให้สื่งของชิ้นนี้อยู่กับศพของหานชิงที่กำลังจะตายในอีกไม่นาน บางทีสองแม่ลูกคู่นั้นอาจใช้เจ้าสิ่งนี้ใส่ร้ายนางว่าเป็นคนฆ่าฮูหยินใหญ่ให้จวิ๋นจ้านฟังก็เป็นได้
และเพียงเพราะเจ้าปิ่นปักผมชิ้นน้อยชิ้นนี้ จึงทำให้หานชิงเข้าใจผิดและเล็งเป้ามาใส่หลี่หวง จนสุดท้ายต้องเสียทุกอย่างทั้งหมดในชีวิตไป นี่มันไม่คุ้มกันเลย
แต่อย่างไร ถ้าพูดกับตามตรง หานชิงเป็นคนที่น่าสงสารที่สุดแล้ว บางทีความตายอาจเป็นทางเลือกที่ดี ยังดีกว่าปล่อยให้ใช้ชีวิตกับความผิดบาปตลอดไป
บาปกรรมมันไม่สนหรอกว่าปมเหตุเป็นมาอย่างไร ในเมื่อมีเจตนาที่จะฆ่าคนๆ หนึ่งและลงมือทำจริง เท่านี้ก็นับว่าเป็นบาปและต้องรับการชดใช้แล้ว ส่วนที่ว่าจะชดใช้ตอนไหนกลับขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
หลี่หวงกับเหยาอวี้สบตากันเล็กน้อยและไม่กล่าวอันใดกันต่ออีก เรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องพูดต่างก็ทราบดีอยู่แก่ใจแล้ว
เพลิงสีแดงฉานลุกโชนขึ้นภายในเรือนของหลี่หวงยามดึกดื่น หลี่หวงฝึกปรือหลอมกลั่นโอสถอย่างบ้าคลั่งถึงสามวันสามคืนไม่ได้หลับไม่ได้นอน
ในคืนนั้นหานชิงไม่ได้กลับมายังจวนตระกูลจวิ๋น และก็เป็นจวิ๋นจ้านที่รีบเร่งส่งคนออกไปตามหา แต่ปรากฏว่า อีกฝ่ายกลับกลายเป็นศพนอนตายอยู่ข้างถนนในเมืองอันกว้างใหญ่
หลังจากที่หลี่หวงตื่นนอนขึ้นมาวันนี้ นางก็เดินออกไปล้างหน้าล้างตา และก้าวออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์นอกตัวเรือน
ทว่าเวลานี้ทั่วทั้งจวนตระกูลจวิ๋นกลับเปลี่ยนกลายเป็นสีขาวโพลนไปหมดสิ้น
บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความเศร้าซึม
“ฮั่วหยาง เสี่ยวอี้ตื่นรึยัง?”
ขณะที่กำลังสูดอากาศอยู่นอกตัวเรือน นางก็หันมาถามฮั่วหยางที่คอยดูแลเป็นพี่เลี้ยงให้จวิ๋นอี้ในช่วงที่ผ่านมา
“ยังเลย”
“ปลุกเขาแล้วพาไปที่ลานกว้างหน้าเรือนหลัก”
“รับทราบ”
ในช่วงเวลาแบบนี้คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่นักหากให้หลี่หวงไปคุยกับจวิ๋นอี้เอง แม่ทั้งคนต้องมาตายแบบนี้ ควรปล่อยให้อีกฝ่ายอยู่กับตัวเองสักพัก
พอมาถึงสถานที่จัดงานศพ จวิ๋นจ้าน ฮูหยินรองและจวิ๋นรั่ว ทั้งสามสวมชุดสีขาวไว้อาลัยและกำลังคุถกเข่าลงอยู่หน้าโลงศพ
หลี่หวงมองสีหน้าการแสดงออกของทั้งสามที่ดูโศกเศร้าไม่ต่างกัน ทว่านางกลับเดาออกว่าแต่ละคนกำลังคิดอะไรอยู่
“หลี่หวงเจ้ามาแล้ว...”
เมื่อจวิ๋นจ้านได้ยินเสียงฝีเท้า เขาก็หันออกไปมองหลี่หวงที่กำลังยืนอยู่ด้านนอกตัวเรือน ในท่าไว้ทุกข์ด้วยสีหน้าโศกเศร้า
จวิ๋นจ้านเผยรอยยิ้มบางอันสุดแสนจะขมขื่นออกมา
ฮูหยินรองแสร้งทำเป็นเศร้าโศก คุกเข่าอยู่หน้าโลงศพร้องร่มร้องไห้ไม่หยุด ส่วนจวิ๋นรั่วได้แต่นั่งพับเพียบจับจ้องโลงศพตรงหน้าด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ก่อนจะหันไปมองหลี่หวง
หลังจากที่นางหันมา ก็บังเอิญสบสายตากับหลี่หวงโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งอีกฝ่ายเองก็ยิ้มตอบให้เช่นกัน
ทว่ารอยยิ้มนั่น...เหตุใดถึงน่าสยดสยองปานนั้น...
จวิ๋นรั่วเนื้อตัวสั่นสะท้านขึ้นทันใด
นางเข้าใจความหมายของรอยยิ้มนั่นได้ทันที ราวกับอีกฝ่ายกำลังจะสื่อว่า
‘จงดูไว้...งานต่อไปคือพวกเจ้า!’
เมื่อนึกได้เช่นนั้น จวิ๋นรั่วก็รีบหันกลับมาก้มหน้าก้มตา ร่างกายสั่นเทาอย่างหยุดไม่ได้ราวกับคนเป็นไข้
หลี่หวงหาได้สนใจกับท่าทีของจวิ๋นรั่วแม้สักนิด นางเดินไปหามุมนั่งและขัดสมาธิอย่างสงบ
“หลี่หวง เมื่อคืนเจ้าไม่ได้นอนเลยงั้นรึ?”
จวิ๋นจ้านจับจ้องไปที่หลี่หวงด้วยสีหน้าอ่อนแรง ก่อนพบว่า เด็กคนนี้คงนอนไม่หลับตลอดทั้งคืนวาน
ใต้ตาดำของหลี่หวงมีรอยหมองคล้ำจางๆ ดูแล้วปราศจากชีวิตชีวา
“อืม”
หลี่หวงกรนเสียงเย็นพ่นออกจากโพรงจมูก
จวิ๋นจ้านกำลังจะเอ่ยปากเสมือนว่าต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นจากด้านนอก พร้อมกับจวิ๋นอี้ที่กำลังวิ่งเข้ามา
“ท่านแม่!!!”
จวิ๋นอี้รู้สึกโศกเศร้าอย่างหาที่สุดไม่
จวิ๋นอี้ตาบอดมองอะไรไม่เห็น เวลานี้ทำได้เพียงยกสองมือปัดไปมา ด้วยความเร็วของเขาให้สาวรับใช้ทั้งสองที่มาพาตามไม่ทัน จนทำให้จวิ๋นอี้เอ๋ยสะดุดธรณีประตูเรือนล้มหัวคะมำลง แต่เขาก็ยังไม่หยุดแค่นั้นและพยายามตะเกียดตากายลุกขึ้นวิ่งต่อ
ภายในหัวของเขาคิดแค่ว่า อยากรีบไปหาแม่เร็วๆ
“อี้เอ๋อร์...”
จวิ๋นจ้านเอ่ยปากเรียกบุตรชายของเขาเบาๆ
รีบวิ่งเข้ามากอดก่อนที่จวิ๋นอี้จะวิ่งชนเข้ากับโลงศพ จับมือน้อยๆ ของเขาพร้อมเอามาสัมผัสกับโลงศพอันเย็นเฉียบตรงหน้า พลางกล่าวอย่างเศร้าสร้อยว่า
“อี้เอ๋อร์ แม่ของเจ้าอยู่นี่แล้ว”
จวิ๋นอี้สะอึกสะอื้นจนพูดไม่ออก ดวงตากลมโตสีครามฟ้าบริสุทธิ์ในอดีต กลายมาเป็นสีเทาหม่นประกายที่ยามนี้มีน้ำตารินไหลออกมา