ตอนที่33 ความเป็นจริงกับความฝัน
ตอนที่33 ความเป็นจริงกับความฝัน
“แค่ได้ยินท่านพ่อกล่าวออกไปเช่นนั้นก็ทราบแล้วว่า เขาจะต้องทิ้งข้าแน่นอน ชั่วขณะอึดใจดั่งความใฝ่ฝันของข้าแตกสลาย แต่เมื่อได้แสดงเจตจำนงของตัวข้าออกไปกลับรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะข้าไม่จำเป็นต้องไล่ตามฝันจอมปลอมให้เหนื่อยอีกต่อไป”
“ส่วนท่านแม่ทำให้ข้าผิดหวังเช่นกัน ตลอดสิบสองปีที่ผ่านมา ท่านแม่กลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวข้าเลย แต่ข้าเองก็คิดมาตลอดว่า ท่านแม่จะเป็นคนอ่อนโยนใจดีไม่มีใครเทียบเคียงอีกแล้วบนผืนพิภพ แต่ตอนนี้ข้าตระหนักชัดแจ้งแล้วว่าตนคิดผิด”
“บางทีทั้งหมดอาจเป็นเพราะข้า จึงทำให้ท่านแม่ต้องการกำจัดพี่หลี่หวง ทว่าสำหรับตัวข้าแล้ว นี่มันเรื่องไร้สาระสิ้นดี”
“จู่ๆ ท่านแม่ก็เปลี่ยนไปราวกับคนละคน ท่านในตอนนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ นิสัยแบบนี้มันแตกต่างไปจากฮูหยินรองได้ยัง?”
“ข้ารู้สึกเศร้าและโง่งมยิ่งนักที่บังคับตัวเองให้จมอยู่กับความรักจอมปลอมเหล่านี้ พอตื่นขึ้นมากลับพบว่าทุกสิ่งอย่างช่างว่างเปล่า ช่างน่าแปลกเสียจริง...ทั้งที่ข้าตาบอดแต่กลับรู้สึกตาสว่างกว่าที่แล้วมา พี่หลี่หวง...ตลอดหลายปีมานี้ท่านคงต้องทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสยิ่ง ถูกทุกคนดูแคลนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ข้ารู้สึกเสียใจแทนท่านพี่จริงๆ ที่ไม่เคยคิดมาช่วย แต่ถึงแบบนั้นใจหนึ่งข้าก็อิจฉา อิจฉาจิตใจอันแกร่งกล้าของท่านที่สามารถยืนหยัดได้ถึงทุกวันนี้”
หลี่หวงฟังคำอธิบายของจวิ๋นอี้ทุกคำพูดจนจบอย่างเงียบงัน จากนั้นก็ค่อยๆ กดร่างของอีกฝ่ายให้นั่งลง
ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยความใจเย็นว่า
“สิ่งที่เจ้าพูดมานั้นถูกต้อง วิเคราะห์ได้สมเหตุสมผลนัก ทว่าหากถามแก่นแท้ใจจริงของเจ้า ให้เลือกระหว่างข้ากับแม่ของเจ้า เจ้าย่อมต้องเลือกแม่ของเจ้าเป็นอย่างแรก”
“ข้าหาได้คาดหวังให้เจ้าเห็นใจข้า เพียงข้าอยากมอบความจริงที่เป็นอยู่ให้เจ้ารับรู้ก็เท่านั้น เจ้าไม่ต้องเสียใจแทนข้าหรอก”
ใช่แล้ว...สิ่งที่พวกเจ้าควรเศร้าโศกคือ จวิ๋นหลี่หวงตัวจริงได้ตายไปแล้ว จวิ๋นหลี่หวงที่อยู่ตรงหน้าหาใช่นางไม่
“ข้า...”
จวิ๋นอี้พยายามตอบปัดปฏิเสธออกไปโดยเร็ว ทว่าในความเป็นจริง เขากลับพูดไม่ออกเช่นกัน
สิ่งที่หลี่หวงพูดออกมาให้เขาได้ฟังคือสัญชาตญาณดิบของความเป็นลูกที่ฝังลึกอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ
“เสี่ยวอี้ แค่ข้าต้องการจะบอกว่า หากแม่ของเจ้ายังกล้าเคลื่อนไหวอีก ครั้งหน้าข้าไม่มีไว้หน้าแล้ว”
หลี่หวงกล่าวต่อน้ำเสียงเงียบว่า
“ข้าหาใช่กุลสตรีนิสัยอ่อนโยน แต่เป็นสตรีพิษที่แสนร้ายกาจ เดิมทีข้าไม่เคยปราณีใครอยู่แล้ว หากเจ้าเกลียดชังข้าคนนี้ก็มิได้ว่าเช่นกัน”
“ไม่! ข้าจะเกลียดท่านได้ยังไง!”
จวิ๋นอี้ตะโกนเสียงแข็งสวนออกไปทันที
“ข้าไม่มีทางเห็นท่านแม่ต้องมาตายต่อหน้าแน่นอน แต่ข้าเองก็ไม่อยากให้พี่หลี่หวงที่ช่วยชีวิตข้าต้องมาตาย ข้า...”
ในขณะนี้ภายในใจของจวิ๋นอี้รู้สึกขัดแย้งกันอย่างมาก เขาไม่มีทางเลือกเลย ไม่มีเลยจริงๆ
ด้านหนึ่งก็ผู้มีพระคุณที่เลี้ยงดูเขาตั้งแต่เกิดอย่างท่านแม่ ส่วนอีกด้านก็เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเขาจากความตาย...
หากท่านแม่สังหารผู้มีพระคุณ เขาเองก็ไม่มีทางยอมแน่นอน แต่ถ้าผู้มีพระคุณสังหารผู้เป็นแม่ เขาเองก็คงรับไม่ได้...
ในกรณีเช่นนี้ แม้แต่สวรรค์ยังตัดสินใจเลือกได้ยาก นับประสาอะไรกับเด็กน้อยคนหนึ่ง?
แต่เพราะหลี่หวงทราบดีอยู่แล้วว่า ในท้ายที่สุดจวิ๋นอี้จะต้องจมอยู่กับร่องความคิดนี้ นางจึงบอกกล่าวไว้ล่วงหน้าว่า จะเกลียดนางก็ไม่เป็นไร จะอย่างไรหานชิงคงไม่จบแค่นี้แน่นอน และจะต้องวางแผนเคลื่อนไหวอะไรอีกในสักวันอันใกล้
จวิ๋นอี้นั่งก้มศีรษะเงียบนิ่งอยู่คนเดียว ไม่มีใครรู้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
หลี่หวงเองก็ไม่กล่าวอะไรให้มากความอีกต่อไป นางหยิบกระบี่และตำราเพลงกระบี่ออกมาฝึกอีกครั้ง
ตลอดวันหลังจากนั้นหลี่หวงเพ่งสมาธิอยู่กับการฝึกกระบี่จนดึกดื่น ส่วนจวิ๋นอี้ก็นั่งอยู่ที่เดิมครุ่นคิดทั้งวันคืน
ในตอนดึก หลี่หวงที่ทานข้าวเย็นเสร็จก็พาจวิ๋นอี้กลับเข้าในตัวเรือน
ทั้งยังสั่งให้สาวรับใช้ทั้งสองเข้ามาปรนนิบัติอาบน้ำให้จวิ๋นอี้อีกด้วย
จู่ๆ ก็ตาบอดฉับพลัน การจะช่วยตัวเองในสภาพแบบนี้ได้คงต้องใช้เวลาปรับตัวมากกว่านี้
แต่หลังจากนั้นไม่นาน หน้าเรือนบุปผาโปรยปรายกลับมีแขกพิเศษที่คาดไม่ถึงคนหนึ่งมาเยี่ยมเยือนยามดึก
จวิ๋นรั่ว!
“ข้ามิยักจะจำได้ว่า เจ้าสามารถเดินเข้าออกเรือนพิรุณร่วงโรยได้ตามใจชอบ?”
หลี่หวงสั่งให้ฮั่วหยางพาเข้ามาในโถงรับแขก พร้อมรินชาให้สองแก้ว นางยกสองมือประคองถ้วยชาขึ้นมาริมจิบอยู่คำหนึ่งพลางเอ่ยถามขึ้นอย่างเฉยเมย เหลือบหางตาไปก็เห็นจวิ๋นรั่วที่ยืนถูไม้ถูกมือท่าทางประหม่าอยู่ตรงหน้าราวกับว่ากำลังอึดอัดบอกไม่ถูก
“เจ้า...เจ้าเป็นสตรีพิษจริงๆ งั้นรึ? พิษ...พิษของเจ้ามันแรงหรือไม่?”
“อยากลองหรือไม่ว่าแรงรึเปล่า?”
หลี่หวงเลิกคิ้วเอ่ยถามขึ้นคำหนึ่ง
“ไม่ ไม่ ไม่...”
จวิ๋นรั่วรีบโบกมือปัดอย่างร้อนรน ส่ายศีรษะไปมาโดยไว
“ในเมื่อเช่นนั้นแล้ว เจ้าก็เข้าธุระที่มาเสียดีกว่า”
หลี่หวงกรนเสียงเย็นแผดออกไป
“ข้าต้องการยาพิษจากเจ้าสักขวด คือ...คือ...ข้าอยากให้คนๆ หนึ่งแท้งลูก ขอแบบ...แท้งเงียบๆ ไม่ทิ้งร่องรอยให้ผู้ใดสืบสาวได้...”
จวิ๋นรั่วกล่าวน้ำเสียงเจือท่าทีโง่งม แต่ก็ยังพยายามกัดฟันหน้าด้านกล่าวออกมา
“หื้ม?”
มุมปากหลี่หวงกระตุกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
ทำแท้ง?
น่าสนุกดีหนิ
หลี่หวงลอบกวาดสายตาสำรวจเรือนร่างของจวิ๋นรั่วอยู่ปราดตาหนึ่ง ดูจากตำแหน่งกระดูกเชิงกรานแล้ว จวิ๋นรั่วยังเป็นสาวพรหมจรรย์แน่นอน ไม่มีทางตั้งครรภ์ได้
แล้ว...ใครล่ะ?
หลี่หวงหรี่ตาแคบลงทันที ขณะกำลังจะเอ่ยปากตอบนั้นเอง…
“เจ้ามีหรือไม่มี!”
จวิ๋นรั่วที่เห็นหลี่หวงยังคงใจเย็นไม่ตอบอะไร กลับเป็นนางที่รีบเร่งกล่าวกระตุ้นด้วยความร้อนใจ
“กี่เดือนแล้ว?”
“อะ-อ่า...กี่เดือน?”
จวิ๋นรั่วเอ่ยทวนคำถามด้วยความสับสน
“เด็กในท้องกี่เดือนแล้ว?”
หลี่หวงขยายความคำถามอย่างใจเย็น
สีหน้าการแสดงออกของจวิ๋นรั่วบิดเบี้ยวเล็กน้อย หลังคิดทบทวนโดยละเอียดแล้วค่อยกล่าวตอบไปว่า
“ประมาณสองเดือน”
“มี”
หลี่หวงพยักหน้าวให้เบาๆ
“จริงรึ?! เจ้ามีจริงรึ?!”
เห็นได้ชัดว่าจวิ๋นรั่วดูไม่ค่อยแน่ใจสักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนี้ นางก็รู้สึกมั่นใจขึ้นหลายส่วน
“อืม พรุ่งนี้มาที่นี่เวลาเดิม”
หลี่หวงเน้นย้ำยืนยันไปคำหนึ่ง
จวิ๋นรั่วรีบพยักหน้าตอบ รู้สึกอยากให้วันพรุ่งนี้มาถึงโดยไว นางตื่นเต้นจนบอกไม่ถูก!
แต่พอพินิจให้ดี ไฉนหลี่หวงถึงให้ความร่วมมือกับนางง่ายดายปานนี้? นี่ทำให้จวิ๋นรั่วรู้สึกว่า มีบางอย่างไม่ถูกต้อง
“เจ้าไม่คิดจะถามอะไรเลยรึ?”
จวิ๋นรั่วเอ่ยถามน้ำเสียงหยั่งเชิง
“หากถามแล้วเจ้าจะตอบงั้นรึ?”
หลี่หวงถามสวนกลับไป
จวิ๋นรั่วพูดไม่ออก
ขณะที่จวิ๋นรั่วกำลังจพจากไป นางก็เหลือบไปเห็นห้องข้างๆ ที่ดับไฟเทียนลงแล้ว และหันมาเอ่ยถามหลี่หวงอีกประโยคหนึ่งว่า
“ดวงตาน้องสาม...รักษาไม่หายจริงๆ รึ?”
“อืม”
“แม้แต่ชายลึกลับผู้นั้นยังจนปัญญา?”
จวิ๋นรั่วเอ่ยถามย้ำอย่างไม่ยอมแพ้
“คนวางยาพิษใช้วิธีเลือดเย็นเกินไป สักวันสวรรค์จะลงโทษเอง”
ทั่วร่างกายาของจวิ๋นรั่วถึงกับสั่นสะท้านเล็กน้อย ก่อนจะรีบจากออกไปอย่างรวดเร็ว
“คนที่กล้าวางยาพิษด้วยวิธีเลือดเย็นเช่นนั้น ยังมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอีกงั้นรึ?”
เหยาอวี้ลอยล่องออกมากลางอากาศและเอ่ยปากถามหลี่หวง
“นางแค่กลัว”
หลี่หวงกล่าวตอบเสียงเงียบ
“แต่ด้วยโอสถที่ข้าคิดค้นขึ้นมา ดวงตาของจวิ๋นอี้จะสามารถให้หายขาดได้ภายในสิบปี เจ้าไหวใช่หรือไม่?”
“แน่นอน ข้าจะทำให้ดีที่สุด”
น้ำเสียงเย็นสะท้านของหลี่หวงเร้นแฝงไปด้วยความเด็ดเดี่ยวไม่ยอมแพ้
เป็นคืนที่นอนหลับฝันดี
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นหลี่หวงเดินไปปลุกจวิ๋นอี้ให้ตื่นตามปกติ และรับประทานอาหารมื้อเช้า หลังจากนั้นค่อยเริ่มฝึกปรือเพลงกระบี่
จวิ๋นอี้นั่งสมาธิเข้าฌานอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสถานที่ที่หลี่หวงฝึกอยู่
แม้เขาจะไม่ค่อยมีพรสวรรค์ในด้านการบ่มเพาะพลังมากนัก แต่ถึงยังไงเขาก็เป็นมืออัญเชิญธาตุน้ำแล้ว ดังนั้นหากต้องการมีชีวิตรอดบนโลกอันโหดร้าย เขามีแต่ต้องขัดเกลาฝีมือให้เก่งขึ้นเท่านั้น
ในช่วงบ่ายของวัน หลี่หวงทิ้งให้จวิ๋นอี้นั่งสมาธิต่อไปเพียงลำพังในเรือนบุปผาโปรยปราย โดยกำชับให้ฮั่วหยางเฝ้าดูแลอีกฝ่ายให้ดี
ส่วนนางก็ออกไปคนเดียว
ครั้งนี้หลี่หวงเดินออกไปทางประตูใหญ่ของจวนตระกูลจวิ๋น ผู้ใดที่มองนาง นางก็จะส่งสายตาอันไม่แยแสคู่นั้นสวนกลับออกไป จนไม่มีใครกล้ามองหน้านางอีกเลยแม้สักคน
พอเดินออกจากจวนตระกูลจวิ๋นไปได้ไม่นาน หลี่หวงพลันสัมผัสได้ถึงจิตสังหารอยู่ขุมหนึ่งที่หลบซ่อนอยู่เบื้องหลัง แม้กลิ่ยจิตสังหารเหล่านี้จะอ่อนมาก แต่นางก็ยังสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน
ลองประเมินคราวๆ จากสัญชาตญาณ
นี่จะประมาณยี่สิบคนเห็นจะได้
หลี่หวงเองก็หาได้ร้อนรนอะไรเช่นกัน ขณะนี้นางตรงเข้าไปรวมอยู่ในธารฝูงชน มีแวะร้านขายสมุนไพรเดินเลือกซื้อของอย่างสบายใจ
แต่อย่างไรก็ตามคล้อยหลังจากที่ออกมาและเดินเล่นต่อไป กลุ่มคนประมาณยี่สิบยังคงลอบติดตามมาไม่ห่าง จนท้ายที่สุด หลี่หวงก็พบกับสถานที่ที่เหมาะสมสถานการณ์ตอนนี้อย่างมาก
หอม่านพิรุณ
ฟังจะชื่อดูแล้วก็พึงทราบว่าเป็นสถานที่แบบใด
ใช่แล้ว หอม่านพิรุณก็คือหอนางโลมประจำเมืองแห่งนี้นี่เอง!
แต่ที่นี่ไม่ใช่หอนางโลมธรรมดาทั่วไป!