ตอนที่31 ต้องฆ่านาง!
ข่าวดีครับ
…
…..
…….
ซื้อลิขสิทธิ์เรื่องนี้มาแล้วนะครับ!!
แปลอ่านกันยาวๆเลยจ้าา><
******************
ตอนที่31 ต้องฆ่านาง!
“อยู่ในเรือนบุปผาโปรยปรายจนกว่าเจ้าจะคิดออก”
หลี่หวงจูงมือจวิ๋นอี้ไปพาอีกฝ่ายไปทานข้าว
จวิ๋นอี้เงียบปากลง ดวงตาที่หม่นหมองไร้แววยิ่งทวีความเทาทึบเพิ่มอีกหลายส่วน
ณ ลานกว้างหน้าเรือนหลัก
หานชิงจับจ้องไปยังศพของพี่ชายตังเองด้วยความไม่อยากเชื่อสายตาที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นลานหน้าเรือน เสี้ยวพริบตาที่เป็นนางถึงขั้นตกตะลึงจนใบหน้าซีดเผือด
เมื่อวานพี่ใหญ่ยังมีชีวิตชีวากระฉับกระเฉงอยู่เลยมิใช่รึ? ไฉนวันนี้ถึงนอนกลายเป็นศพแข็งไปเสียแล้ว!?
ฮูหยินรองที่ได้ยินเสียงกรีดร้องลั่นก็รีบพาจวิ๋นรั่วกับประมุขตระกูลอย่างจวิ๋นจ้านมากันทันที พอมาถึงก็พบเห็นเหาชิงกำลังคุกเข่าต่อหน้าศพของพี่ชายคนโตด้วยสีหน้าเหม่อลอยไร้สติ
ร่างของหานกวงไม่ขยับเขยื้อนแล้ว แถมยังเน่าเปื่อยเละ จะเห็นได้ชัดว่าตอนตาย อีกฝ่ายไม่ได้ตายดีเลย
“ทำไม...พี่ใหญ่ตายแล้ว...ทั้งพ่อและแม่ข้า...แม้แต่พี่น้องทุกคน...ล้วนตายสิ้นแล้ว ข้า...ข้าไม่เหลือญาติสักคนแล้ว...”
จู่ๆ น้ำตาสายหนึ่บงก็รินไหลออกมาจากดวงตาของหานชิง น้ำเสียงของนางแหบแห้งปราศจากเรี่ยวแรง
ทั่วทั้งใบหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความโศกเศร้า
ทว่าเพียงปราบตาเดียว ฮูหยินรองก็พึงทราบว่าแผนการทั้งหมดล้มเหลว สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจที่สุดคือ หานกวงผู้มีระดับชั้นแกร่งกล้า ไฉนถึงมาตายสภาพเช่นนี้ได้? หรือเป็นไปได้ไหมว่า...นังแพศยาจะมียอดฝีมือผู้สูงส่งคอยหนุนหลัง?
นางขบฟันแน่นกดังกรอดด้วยความเจ็บแค้นใจ พลางสบถกับตัวเองว่า
‘หานชิง!นังโง่!เรื่องง่ายๆ เช่นนี้กลับทำล้มเหลวเสียได้!แถมหาใช่แค่พลาดพลั้ง แต่ยังก่อความวุ่นวายใหญ่โตจนต้องลำบากคนอื่นอีก!’
จวิ๋นรั่วที่ยืนอยู่ข้างๆ พบเห็นภาพฉากศพเน่าเปื่อย น้ำหนองไหลเยิ้มเช่นนี้ นางก็อดที่จะอยากอาเจียนมิได้
สภาพศพของหานกวงหาได้สมบูรณ์นัก เนื่องจากยังมีผงพิษที่สูดดมไปตกค้างในร่างกาย ทำให้พอเสียชีวิตลงไปทำให้ซากศพเริ่มเน่าเปื่อยเร็วขึ้น ถ้ามิใช่เพราะใบหน้าที่ยังคงรูปลักษณ์สมบูรณ์กว่าครึ่ง คงไม่มีใครจำได้เช่นกันว่าเป็นใคร
และจวิ๋นจ้านนั้น...ยามนี้ปั้นสีหน้าช่างซับซ้อนยิ่ง
เมื่อเขาพบเห็นภาพฉากนี้ เขาก็เข้าใจได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
เขาไม่เหลือเรี่ยวแรงมากพอที่จะเอ่ยปากตำหนิหานชิงภรรยาของเขา แต่ใจหนึ่งก็รู้สึกเกรี้ยวโกรธจนจุกอก ทั้งๆ ที่กำชับกับนางไปแล้วว่า อย่าไปยั่วโมโหคนในเรือนบุปผาโปรยปรายแล้วแท้ๆ ไฉนพูดแล้วถึงไม่ฟังเล่า!
ลุงคนโตหานกวงได้สิ้นใจตายลงไปแล้ว ซึ่งเขาผู้นี้เป็นถึงนักอัญเชิญชั้นสูงและยังเกิดในตระกูลนักฆ่า ทว่าตอนนี้กลับนอนแน่นิ่งบนแผ่นพื้นอันแสนเย็นเฉียบ สภาพช่างอเนจอนาถนัก
นักฆ่ายอดฝีมืออย่างเขา ใครจะไปคิดว่าจะต้องมีจุดจบเช่นนี้กัน
นอกจากนี้เอง ณ ปัจจุบันตระกูลหานไม่เหลือใครอีกต่อแล้ว ไพ่ตายสุดท้ายที่หนุนหลังหานชิงได้แตกสลายเป็นเสี่ยงเล็กเสี่ยงน้อยในชั่วพริบตา
“จวิ๋นหลี่หวง...”
ทุกคนต่างเอ่ยขานชื่อนี้โดยพร้อมเพรียง ต่างน้ำเสียงต่างความรู้สึกกันออกไป
“ข้าจะฆ่านาง!”
หานชิงดวงตากลมโตสีแดงก่ำราวกับเลือด นางแผดจิตสังหารออกมาจากภายในก้นบึ้งหัวใจ พร้อมพุ่งไปยังเรือนบุปผาโปรยปรายโดยไม่สนอะไรอีกต่อไป
ต้องฆ่ามัน!ต้องฆ่ามันเพื่อแก้แค้นให้พี่ใหญ่!แก้แค้นให้อี้เอ๋อร์!!
ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว
ฮูหยินรองกับจวิ๋นรั่วยังคงยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนไปไหน เหลือกันอยู่สองคน ณ ตรงนั้น โดยเฉพาะกับฮูหยินรองที่เวลานี้ยิ่งเห็นทุกอย่างวุ่นวายโกลาหลไปหมด นางก็ยิ่งชูอกยืดขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ
“สุนัขกัดกับสุนัข ช่างเป็นละครฉากหนึ่งที่น่าอภิรมย์นัก”
ฮูหยินรองระเบิดหัวเราะเยาะเสียงดังลั่น แม้ว่าผลลัพธ์จะแตกต่างจากจากตอนแรกที่คาดเอาไว้ ทว่าตอนนี้นางก็ยังรู้สึกว่า ตนยังไม่แพ้
จวิ๋นรั่วยืนนิ่งขบริมฝีปากแน่น เหลือบสายตามองไปทางแม่ของนาง สายตาที่สาดสะท้อนเจือแววไม่ค่อยสบายใจ
“ท่านแม่ ดวงตาของน้องสาม...”
“มันตาบอดแน่นอน เว้นเสียแต่เทพหงสาจุติลงมาช่วย ชาตินี้อย่าได้เห็นแสงตะวันอีกเลย!”
ฮูหยินรองที่ได้ยินคำถามของบุตรสาวตัวเองก็พลางคิดไปว่า นางน่าจะกังวลกลัวว่าดวงตาของจวิ๋นอี้จะหายดีเป็นปกติ
จวิ๋นรั่วใจหายวาบตกลงไปยังตาตุ่ม ทว่ากลับปิดปากเงียบไม่พูดไม่จา
ภายในเรือนบุปผาโปรยปรายในตอนนี้ มีเพียงสามรับใช้สองคนกับหลี่หวงและจวิ๋นอี้เท่านั้น
แน่นอนว่าสาวรับใช้สองคนนี้ไม่ใช่คนที่ฮูหยินใหญ่และฮูหยินรองส่งมา แต่ได้มาจากตลาดค้าทาสที่นางไปซื้อมาในคืนงานประมูล
คนรับใช้ที่มารับอาสาเรื่องอาหาร ปกติไม่ค่อยปรากฏตัวต่อหน้าหลี่หวงเท่าไหร่
สำหรับสาวรับใช้สองคนนั้นที่ฮูหยินทั้งสองส่งมา หนึ่งในนั้นคือผู้ทรยศ พอหลี่หวงจับได้ก็นำนางคนนั้นมากรอกพิษใส่ปาก ทำให้ร่างกายเป็นอัมพาตและโยนทิ้งป่าข้างจวนไปแล้ว คาดว่าศพของนางในปัจจุบันคงถูกหมาป่าเจ้าถิ่นกัดกินจนไม่เหลือซากแล้ว
ส่วนสาวรับใช้อีกคนที่หานชิงส่งมา ก็ถูกหลี่หวงเฉดหัวไล่ไปแล้ว
ตอนนี้ท่าทีของหานชิงที่มีต่อนางเริ่มเป็นไปในทางลบมากกว่าทางบวก ดังนั้นนางจึงไม่อยากเก็บตัวปัญหาไว้ใกล้มือ
ในลานหลังเรือนบุปผาโปรยปราย หลี่หวงกำลังฝึกปรือเพลงกระบี่อยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ ในขณะที่จวิ๋นอี้นั่งนิ่งอยู่เงียบๆ ไม่ใกล้ไม่ไกล
เนื่องจากเขาไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้อีกต่อไปแล้ว จวิ๋นอี้เริ่มทำใจปลงได้ในระดับหนึ่ง จากที่ร้องไห้โวยวายรับสภาพตัวเองในปัจจุบันมิได้ บัดนี้ได้นั่งนิ่งดูสงบลงเยอะ
เขากำลังนั่งเพ่งสมาธิฟังเสียงอวดดัง ‘วืดวาด’ ของคมกระบี่ที่ฉีกผ่านห้วงอากาศ ทั้งยังมีสุ้มเสียงของฝีเท้าจากหลี่หวงกำลังรำเพลงกระบี่กระทบใบหญ้า เสียงลู่ลมโบกสะบัดพัดผ่านกิ่งไม้จนเกิดเสียง เสียงเหล่านี้แล่นผ่านใบหูเข้าไปในห้วงความคิดอันว่างเปล่าของจวิ๋นอี้ ยามนี้แค่นั่งฟังเสียงรอบตัวอย่างสงบโดยไม่คิดอะไรอื่น
อย่างน้อยก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่จวิ๋นอี้รู้สึกอุ่นใจได้ ถ้าได้ยินเสียงเหล่านี้แสดงว่าหลี่หวงยังอยู่ข้างๆ เขา
หลี่หวงถือตำรากระบี่ไว้ในมือหนึ่ง ส่วนอีกมือก็กำลังร่ายรำกระบี่เทพฤทัย นางฝึกปรือตามตำราสอนอย่างตั้งอกตั้งใจ
กระบี่เทพฤทัยเป็นกระบี่ยาวที่สตรีนิยมใช้
สำหรับผู้หญิงโดยทั่วไป ช่วงแรกที่ฝึกจะรู้สึกว่ากระบี่เหล่านี้หนักมือเป็นอย่างมาก แต่สำหรับหลี่หวง นางถือเหวี่ยงไปมาได้อย่างสบายๆ
บนตัวคมกระบี่เป็นสีเงินทั้งเล่ม พอนำส่องสะท้อนกับแสงจะแผดปรากฏสีสันหลากหลายสาดกระจายดูน่าพิศวง มองผ่านสายตาดูงดงามอย่างบอกไม่ถูก
ในเวลาเดียวกัน ฮูหยินใหญ่หานชิงรีบวิ่งตรงเข้ามาถึงหน้าประตูเรือนบุปผาโปรยปราย แต่กลับเห็นฮั่วหยางยืนตระหง่านกอดอกขวางไว้อยู่ รอบกายาปรากฏเพลิงบัวโลหิตลุกโชนปะทุขึ้น
“ไสหัวไปไอ้เด็กเหลือขอ!”
หานชิงในยามนี้ไม่สนอะไรอีกแล้ว นางรีบโบกมือไล่อีกฝ่ายราวกับเป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง
“ข้าไม่สามารถปล่อยให้เจ้าเข้าไปได้ แม้แต่แมลงวันสักตัวก็มิอาจอนุญาต!”
ฮั่วหยางเร่งเร้าเพลิงบัวโลหิตรอบกายจนปะทุเดือดดาล บับบังคับให้หานชิงร่นถอยหลังออกไปได้ในพริบตา
“ท่านอสูรศักดิ์สิทธิ์!ข้าเพียงต้องการให้เจ้านายของท่านอธิบายเรื่องหานกวงแก่พวกเราฟังก็เท่านั้น!ไฉนเขาถึงตายกลายเป็นศพอยู่ในจวนจวิ๋นของเราได้!”
จวิ๋นจ้านที่รีบวิ่งติดตามหานชิงมา เร่งเข้ามาฉุดร่างของภรรยามิให้โดนเพลิงบัวโลหิตแผดเผาและกล่าวอธิบายทันที
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว จวิ๋นจ้านหาได้สนไม่ว่าหานกวงจะตายอย่างไร แต่เพียงต้องการหาข้ออ้างพบปะกับนักหลอมโอสถลึกลับคนนั้น
“หึม!แล้วเจ้าคิดว่าเพราะสาเหตุใด? เกรงว่าไม่ต้องไถ่ถามนายท่านคงทราบดีอยู่แก่ใจ?”
ฮั่วหยางเค้นเสียงเย็นชาสะท้านเข้าใส่ ต่อหน้าเขาแบบนี้แล้ว แม้แต่จวิ๋นจ้านยังไม่คิดที่จะพูดด้วยความสัตย์จริง
“นายท่านเคยลั่นวาจาเอาไว้ ผู้ใดบุกรุกเรือนบุปผาโปรยปราย ผู้นั้นตายสิ้น!”
“เมื่อคืนมีคนจ้องจะเอาชีวิตนายท่าน!หากไม่ฆ่าทิ้งคงปล่อยให้มันชิงลงมือก่อนกระมัง?”
ฮั่วหยางรู้สึกเกรี้ยวโกรธอย่างมากเมื่อนึกย้อนถึงเหตุการณ์เมื่อคืน มันกำลังนอนหลับอยู่ในห้วงมิติอสูร จึงไม่สามารถกระโดดออกมาช่วยนายท่านของมันได้ทันท่วงที จนเจ้านายของมันต้องตกอยู่ในอันตรายท้ายที่สุด...นี่ถือเป็นความประมาทของตัวเองเองเช่นกัน!
โชคยังดีที่เจ้านายของมันได้รับการช่วยเหลือจากชายหน้าสวยดั่งสตรี มิฉะนั้นมันคงนั่งร้องไห้รู้สึกผิดจนไม่เหลือน้ำตาแล้ว
ปัจจุบัน นายท่านได้มอบหมายภารกิจเอาไว้ ไม่ว่ายังไงมันจะต้องทำให้สำเร็จ!
มันไม่สามารถทำให้เจ้านายต้องผิดหวังได้อีกแล้ว!
“ทว่าเรื่องนี้ยังมิทราบที่มาที่ไป สัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์โปรดเรียนเชิญนายท่านออกมาเถิด ไม่ว่ายังไงเราอยากถามต่อหน้ามากกว่า”
ฮั่วหยางไม่จำเป็นต้องไว้หน้าสองคนนั้นอีกต่อไป ร่างน้อยยืนกอดอกแน่นไม่พูดไม่จา แม้จะไม่ได้ลงมือเคลื่อนไหวอะไร แต่ถ้าจวิ๋นจ้านหรือแม้แต่หานชิงก้าวเข้ามาอีกแม้แต่ก้าวเดียว มันจะใช้เพลิงบัวโลหิตเผาให้เป็นจุณทันที!
ณ ลานภายใน
“พี่หลี่หวง ข้างนอกดูเหมือนจะมีเรื่อง เสียงดังวุ่นวายมากเลย”
ปัจจุบัน ความสามารถในการได้ยินของจวิ๋นอี้ค่อนข้างเฉียบคมมาก เพียงสุ้มเสียงหนึ่งหลุดรอดออกมาแค่เล็กน้อย เขาก็ได้ยินในทันที
“อืม”
หลี่หวงกรนเสียงหนึ่งตอบและฝึกกระบี่ของนางต่อไป
นางเองก็ได้ยินเสียงจากตัวเรือนด้านนอกนานแล้วเช่นกัน หลังจากเลื่อนขั้นกลายมาเป็นนักอัญเชิญชั้นกลาง ปฏิกิริยาเชิงตอบสนองของสัมผัสทั้งห้าของนางล้วนเฉียบคมขึ้นทุกด้าน หูของนางสามารถได้ยินเสียงจ่ากทุกสารทิศ
“แล้วเกิดอะไรขึ้นรึ?”
แม้จวิ๋นอี้จะได้ยิน แต่ใช่ว่าจะสามารถฟังทุกคำพูดได้อย่างชัดเจน
“พ่อกับแม่เจ้ากำลังแหกปากโวยวายอยู่หน้าทางเข้าเรือน แต่ถูกฮั่วหยางขวางเอาไว้”
“ท่านพ่อกับท่านแม่มาแล้วรึ?”
“เจ้าอยากพบพวกเขา?”
แค่หลี่หวงได้ฟังก็พึงทราบ ประโยคนี้ได้สร้างแรงกระเพื่อมหนึ่งในจิตใจของจวิ๋นอี้
“...พี่หลี่หวงพาข้าไปได้หรือไม่?”
หลี่หวงเก็บกระบี่เข้าฝักและจจูงมือของจวิ๋นอี้เดินออกไปที่หน้าประตู
ไปดูหน่อยเถอะ...ก็ดีเหมือนกัน
อย่างน้อยที่สุดก็จะได้ให้จวิ๋นอี้มองเห็นความเป็นจริงสักที เผื่อว่าจะเข้าใจอะไรมากยิ่งขึ้น
“หลี่หวง”
จวิ๋นจ้านยังคงยืนนิ่งวิตกกังวลไม่กล้าเหยียบย่างก้าวเข้าไป ต้องมาเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่ครอบครองไฟวิเศษเช่นนี้ ต่อให้เป็นเขาคงต้องตายเช่นกัน
แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นหลี่หวงกำลังเดินตรงออกมาทางนี้