ตอนที่30 ความเจ็บปวดจากที่ตาบอด
ตอนที่30 ความเจ็บปวดจากที่ตาบอด
“แล้วควรปรับท่านอนอย่างไรดี? ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่า สรีระร่างกายของผู้หญิงท่าใดจึงจะนอนหลับสบายโดยเฉพาะกับเด็กสาวเช่นเจ้า?”
หลิงฉางเจวี่ยเอ่ยถามท่าทีดูจริงจังราวกับเขากำลังต้องการศึกษาสิ่งใหม่ๆ
ยกมือขึ้นกระชับกอดเอวของหลี่หวงไว้แน่น จากนั้นเขาก็พยักหน้าและกล่าวต่อว่า
“ท่านี้สบายกว่าจริงๆ”
“นี่เจ้า!”
สีหน้าของหลี่หวงเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อขึ้นทันใด จ้องหน้าหลิงฉางเจวี่ยด้วยความโกรธ
หลิงฉางเจวี่ยกระพริบตาปริบ กล่าวตอบอย่างไร้เดียงสาไปว่า
“ก็ข้าพูดจริง”
“ปล่อยข้า!”
หลี่หวงพยายามดิ้นขยับตัวออก แต่กลับพบว่านางไม่สามารถขยับออกไปไหนได้เลย
หลิงฉางเจวี่ยคลายมือออกจากเอวด้วยแววตาขี้เล่น พลางเห็นใครบางคนที่รีบลุกขึ้นและพยายามหนีออกไป
แต่สวรรค์ดันลงโทษเพราะปากไม่ตรงกับใจหรืออย่างไร เนื่องจากรีบลุกขึ้นกะทันหันทำให้นางสะดุ้งฟูกล้มหัวคะมำกับพื้น
ผลที่ได้คือ...ปล่อยโก๊ะต่อหน้าผู้ชาย
สวรรค์เถอะ! หลี่หวงอยากกัดลิ้นตายให้รู้แล้วรู้รอดตรงนี้
“ก็เจ้าอยากวิ่งออกไปเอง”
หลิงฉางเจวี่ยอดกลั้นหัวเราะมิได้ พลางเหลือบมองไปทางสาวน้อยที่ล้มคะมำกองอยู่กับพื้น
หลิงฉางเจวี่ยอุ้มร่างของหลี่เองขึ้นมานอนบนฟูกอีกครั้ง ส่วนนางก็เขินอายจนไม่กล้าดิ้นอีกต่อไป
เขาโอบเอวของนางอีกครั้งและกล่าวว่า
“อีกสักพักข้าก็ต้องไปแล้ว”
หลี่หวงทราบดีว่าต่อให้ดื้นยังไงก็คงไม่เกิดประโยชน์ ถ้าอย่างนั้นก็นอนต่อเลยแล้วกัน
เสียงจังหวะหายใจที่สม่ำเสมอของนางดังผ่านเข้ารูหูของหลิงฉางเจวี่ยอย่างรวดเร็ว นางหลับไปอีกครั้ง
เขาทราบดีว่าเมื่อวานหลี่หวงใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อที่จะหลอมกลั่นโอสถ ดังนั้นเขาจึงอยากให้วันนี้นางได้พักผ่อนมากๆ
หลิงฉางเจวี่ยเอนตัวลงนอนต่ออีกชั่วครู่ ก่อนที่จะค่อยๆ ลุกจากฟูกโดยให้เกิดเสียงน้อยที่สุด ลุกขึ้นมาสวมชุดคลุมแต่งตัวให้เรียบร้อย ก่อนจากไปเขาทิ้งรอยจูบบนหน้าผากของหลี่หวงที่กำลังหลับฝันดี
หลี่หวงสะดุ้งตื่นอีกครั้งเนื่องจากเสียงกรีดร้องลั่นที่สุดแสนจะฉีกกระชากใจ
“พี่ใหญ่!!!”
หลี่หวงขยี้ตาอย่างแรงก่อนพบว่าหลิงฉางเจวี่ยที่นอนอยู่เคียงข้างได้จากไปแล้ว นางลุกขึ้นบิดกระดูกดังกร๊อบแกร๊บเจือท่าทีเกียจคร้าน
“ฮั่วหยาง เจ้าออกไปเฝ้าระวังข้างนอกไว้ อย่าปล่อยให้แมลงวันเข้ามาได้แม้แต่ตัวเดียว!”
หลี่หวงลุกขึ้นจากเตียงรีบแต่งตัว พร้อมเอ่ยปากสั่งน้ำเสียงเรียบนิ่ง
หลี่หวงไม่สนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นข้างนอกแม้สักนิด นางลุกไปล้างหน้าล้างตาตามปกติจากนั้นก็เดินไปหาต้นเสียงหรือก็คือจวิ๋นอี้ที่นอนอยู่ห้องข้างๆ
ตุบ ตุบ ตุบ... มีเสียงดังตึงตังดังออกมาจากห้องนอนของจวิ๋นอี้
เมื่อหลี่หวงเปิดประตูเข้าไป นางก็เห็นว่าจวิ๋นอี้กำลังใช้สองเข่าคลานไปมาอยู่บนพื้น พร้อมด้วยสีหน้าสติแตกวิตกจริตสุดขีด
มือคู่น้อยทั้งสองของเขากวาดพื้นไปมาราวกับกำลังคลำหาอะไรบางอย่าง ไม่ว่าจะพยายามเบิกตากว้างเท่าไหร่ แต่กลับไม่เห็นอะไรเลย
“พี่ใหญ่...ข้า...ข้ามองไม่เห็น...พี่หลี่หวง…พี่อยู่ไหน!!? ข้ามองไม่เห็นอะไรเลย...ข้ามองไม่เห็นอะไรเลย!!”
จวิ๋นอี้ได้ยินเสียงเปิดประตูก็พยายามคลานออกจากฟูก กวาดมือทั้งสองพยายามคลำทางเพื่อคลานไปหาพี่หลี่หวงอย่างร้อนรน
สุดท้ายพอเริ่มทราบว่าทุกอย่างช่างไร้ประโยชน์ เขาก็ลดมือลงด้วยความสิ้นหวัง
มองไม่เห็น จับสัมผัสอะไรไม่ได้แม้สักนิด แม้แต่จะลุกขึ้นเดินยังทำไม่ได้!
ความรู้สึกที่แสนอึดอัดเช่นนี้ ข้าไม่เคยสัมผัสมาก่อน
เสมือนว่าตัวเขาดำดิ่งสู่ห้วงแห่งความมืดไร้ก้นบึ้ง บนผืนพิภพแห่งนี้เหลือเพียงเขาแค่ลำพัง ไม่มีใครสามารถช่วยได้เลยสักคน
ความสิ้นหวังได้แทรกซึมไปทั่วทุกอณูของร่างกายหรือแม้แต่จิตใจก็ตาม
“เดี๋ยวทุกอย่างจะเรียบร้อยเอง”
“แต่...แต่ตาข้า...ตาของข้ามัน...”
“เสี่ยวอี้!”
หลี่หวงลงน้ำหนักเสียงดุดันยิ่งขึ้นพร้อมตะคอกใส่ทันที เบื้องลึกน้ำเสียงเร้นแฝงความเย็นชาไว้ส่วนหนึ่ง
“หากเจ้ารับสภาพตัวเองมิได้ เช่นนี้ข้าจะส่งเจ้าไปสู่สุคติบัดเดี๋ยวนี้เลย!”
หลี่หวงตวาดใส่น้องสามอย่างไร้ความปรานีใด แม้ประโยคเหล่านี้จะฟังดูโหดร้าย แต่ทั้งหมดคือความจริง
หากจวิ๋นอี้ไม่สามารถยอมรับความจริงที่แสนโหดร้ายข้อนี้ได้ การมีชีวิตอยู่ต่อไปมันทรมานเสียยิ่งกว่าความตายอีก
หลี่หวงไม่อยากช่วยขยะที่จมปรักอยู่กับอดีตและไม่สามารถยอมรับปัจจุบันได้
ดังนั้นแล้ว หากน้องสามไม่สามารถทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ความเมตตาเดียวที่หลี่หวงจะมอบให้คือความตาย
“พี่หลี่หวง...”
จวิ๋นอี้เงยหน้าขึ้นทั้งน้ำตา
“พี่หลี่หวง ข้ากลัวเหลือเกิน...ข้ากลัว....แต่ข้าก็ไม่อยากตาย”
“ดวงตาของข้ามองไม่เห็น...ข้าจะไม่สามารถเห็นหน้าพ่อกับแม่ได้อีกแล้ว ท่านพ่อจะไม่รักข้า...”
หลี่หวงเองก็ใช่ว่าจะปราศจากความรู้สึกสักทีเดียว นางเองก็รู้สึกสลดใจไม่ใช่น้อยกับเหตุการณ์ครั้งนี้ นางเป็นสตรีผู้ใช้พิษ และหมอพิษเป็นที่รู้จักกันในนาม สิ่งมีชีวิตที่เลือดเย็นที่สุดบนผืนพิภพ สำหรับเรื่องของคนอื่นนางตัดอารมณ์ความรู้สึกไปโดยสิ้นแล้ว ทว่าพอกลายเป็นเรื่องนี้ หลี่หวงเองก็รู้สึกไม่สบายใจเท่าไหร่นัก
นางเข้าใจความรู้สึกของจวิ๋นอี้ที่ทำอะไรไม่ถูกแบบนี้ดี
“หากพ่อของเจ้าจะไม่รักเจ้าเพียงเพราะตาบอด เจ้ายังจะหวังอะไรกับพ่อแบบนี้อีก?”
“...ข้ารู้ว่าพรสวรรค์ในการฝึกปรือของเขาอ่อนด้อยกว่าทั้งพี่รั่วและพี่ฉี แต่เพราะข้าเป็นเด็กผู้ชายคนเดียวในจวน ท่านพ่อจึงรักข้าเป็นพิเศษ แต่ถ้าข้าต้องมาพิการแบบนี้ ท่านพ่อคงทิ้งขว้างข้าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง...”
“สิ่งที่ข้ากลัวหาใช่ท่านพ่อที่ไม่รักข้า แต่เป็นท่านพ่อที่เลิกแสร้งทำเป็นรักข้า!”
“…”
หลี่หวงก้มหน้าลงทันทีโดยไม่รู้ตัว นี่แหละคือความจริงที่โศกเศร้าของครอบครัวตระกูลใหญ่
และสิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจที่สุดคือ ที่แท้จวิ๋นอี้มองทุกอย่างทะลุปรุโปร่งมาตั้งแต่แรกแล้ว?
ดวงตาคู่นั้นที่ใสซื่อบริสุทธิ์ปราศจากที่ใดเจือปน เด็กน้อยผู้ไร้เดียงสาไร้พิษภัยคนนั้น ปรากฏว่าไม่เคยมีตั้งแต่แรก...จวิ๋นอี้รู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นและเข้าใจอย่างชัดเจน เพียงว่าเขาเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมาเท่านั้น
เขาพยายามเก็บเกี่ยวความสุขและความสวยงามของคำว่าครอบครัวให้ได้มากที่สุดในยามที่มีโอกาส แม้จะรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นก็แค่ของ ‘จอมปลอม’ ก็ตาม
“รักจอมปลอมเช่นนั้น เจ้าจะต้องการมันไปเพื่ออันใด! เลิกหลอกตัวเองได้แล้ว!”
หลี่หวงคำรามใส่อย่างเย็นชา
ความอบอุ่นจอมปลอมย่อมรู้สึกดีกว่าความโดดเดี่ยวตลอดกาล
“ข้า...”
จวิ๋นอี้พูดไม่ออก คำกล่าวประโยคนี้ของหลี่หวงเขาไม่สามารถโต้แย้งได้เลยจริงๆ
“สุดท้ายความสุขที่เจ้าได้มันก็แค่สิ่งจอมปลอม ไยเจ้าถึงพยายามไขว่คว้าถึงขนาดไหน?”
“แต่...”
“ในโลกแห่งความเป็นจริงไม่มีสิ่งสวยงามอย่างที่เจ้าจินตนาการ”
จวิ๋นอี้ยิ่งได้ฟังยิ่งรู้สึกสับสนมากยิ่งขึ้น
ในที่สุดหลี่หวงก็คลี่ยิ้มออกมาและกล่าวต่อว่า
“ความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือรักตัวเอง จงภูมิใจที่ได้เกิดมา จงภูมิใจที่เจ้ายังมีสองขาสองมือ อนาคตจะเป็นอย่างไรกลับเป็นตัวเจ้าเท่านั้นที่จะตัดสิน”
หากน้องสามสามารถเข้าใจและยอมรับความจริงข้อนี้ได้ ต่อให้ระดับพลังบ่มเพาะจะไม่สูงนัก แต่เขาก็ยังกลายเป็นบุรุษที่ผู้คนทั่วพิภพให้คำสรรเสริญได้
อย่างไรก็ตามจิตใจของเขาในตอนนี้ก็เป็นเพียงเด็กน้อยที่ต้องการความอบอุ่นจากครอบครัวเท่านั้น
จวิ้นอี้ทรุดตัวลงกับพื้น ปล่อยตัวทิ้งทุกอย่างราวกับหมดอาลัยตายอยาก อนาคตต่อจากนี้ขึ้นอยู่กับเขาแล้วว่าจะเลือกเส้นทางใด
“ข้าจะช่วยเจ้าแต่งตัว”
หลี่หวงจูงมือจวิ๋นอี้ตรงเข้ามายังห้องของตนเงียบๆ และให้นั่งลงบนฟูกนอนของนาง
“ข้าเหมือน...เหมือนได้ยินเสียงท่านแม่”
จวิ๋นอี้กล่าวขึ้นหลังจากที่หลี่หวงสวมชุดคลุมให้
“อืม”
หลี่หวงตอบอย่างเฉยเมย
“เกิดอะไรขึ้นกับท่านแม่? พี่หลี่หวง ข้าอยากไปเยี่ยมเยือนท่านแม่”
จวิ๋นอี้พยายามกวาดมือเพื่อจะจับมือหลี่หวงขอร้อง แต่เนื่องจากเขามองเห็น ไม่ว่าจะทำอะไรเขาก็ดูเงอะงักไปหมด
แม้ว่าท่านพ่อจะไม่รักเขาอีกต่อไปแล้ว แต่ก็ยังมีท่านแม่ที่จะคอยปกป้องเขา
“แม่ของเจ้าส่งนักฆ่ามาสังหารข้า เพียงว่าข้าไม่ตายเท่านั้น”
หลี่หวงไม่มีเจตนาที่จะเก็บซ่อนความลับใดๆ แต่กล่าวน้ำเสียงเงียบอธิบายออกไป
“!!! ทะ-ท่านแม่...ท่านแม่จะฆ่าพี่หลี่หวงงั้นรึ? แล้วพี่หลี่หวงบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่?”
จวิ๋นอี้ที่ได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย
ไยท่านแม่ถึงต้องการฆ่าพี่หลี่หวงด้วย? ในเมื่อพี่หลี่หวงเป็นคนดีขนาดนี้
“ข้าไม่เป็นไร” หลี่หวงตรวจสอบร่างกายของตัวเองตั้งแต่ตื่นนอนแล้ว ก่อนจะพบว่าปราศจากร่องรอยบาดแผลใดๆ น่าจะเป็นฝีมือของหลิงฉางเจวี่ยอีกดตามเคย
“เสี่ยวอี้”
หลี่หวงจับจวิ๋นอี้กดให้นั่งลง
“เรื่องนี้ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะไม่เข้าใจ”
“เจ้าฟังคำถามให้ดีและตอบข้ามาตามตรง หากวันหน้ามีนักฆ่าถูกส่งมาไล่ล่าพี่สาวคนนี้มากขึ้น เจ้าคิดว่าเหตุเกิดจากอะไร?”
จวิ้นอี้ตัวสั่นสะท้าน ตื่นตระหนักอยู่ชั่วขณะก่อนจะก้มหน้าก้มตาตอบอย่างขลาดเขลาว่า
“เพราะดวงตาของข้า...กระมัง...”