WS บทที่ 355 ก้าวเข้าสู่นักเวทย์ระดับสาม
“หากมีอัตราความสำเร็จสามสิบเปอร์เซ็นต์สำหรับการปรงุยาโมครา ฉันก็จะได้รับน้ำยาโมคราอย่างน้อย 300 ขวด!”
เมอร์ลินตกใจมากกับตัวเลขนี้ 300 ขวด มันเกือบสิบเท่าของจำนวนน้ำยาโมคราที่เขาปรุงสำเร็จในครั้งล่าสุด
"ฟู่…"
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เมอร์ลินก็ค่อย ๆ สงบลง ด้วยวัสดุปรุงยาจำนวนมาก เขาจะไม่ต้องกังวลกับการเติบโตของพลังจิตของเขาในอนาคตอันไกลโพ้น
ปัจจุบัน พลังจิตของเมอร์ลินยังไม่ถึงจุดสูงสุดของระดับสี่แต่การจถึงจุดนั้นมันก็เป็นเรื่องของเวลา ตอนนี้เขามีน้ำยาโมคราอยู่ 14 ขวด จากชุดแรกของเขา มันก็เพียงพอแล้วที่จะเพิ่มพลังจิตของเมอร์ลินไปสู่ระดับห้า
ตอนนี้พ่อมดลีโอยังคงอยู่ในการล่าถอยทางพลังจิต เขากำลังใช้น้ำตาเทพเจ้าในการขจัดข้อบกพร่องที่เกิดจากดวงตาแห่งความมืด เขาจะไม่ออกจากเมืองอิมพีเรียลในเร็ว ๆ นี้ นี่จะเป็นเวลาที่ดีที่สุดสำหรับเมอร์ลินที่จะดื่มน้ำยาโมครา
“แบมมู!” เมอร์ลินใช้เอกสารสัญญาเรียกพ่อมดแบมมู
*หวู่ม!*
แบมมูอยู่ในคฤหาสน์ขององค์ชายแปดเมื่อเขารู้สึกถึงการเรียกของเมอร์ลิน ดังนั้นเขาจึงรีบไปปรากฏตัวหน้าห้องทันที
“นายท่าน มีอะไรให้ข้ารับใช้ขอรับ” แบมมูแอบมองเมอร์ลินและถามอย่างนอบน้อม
“แบมมู ฉันจะดื่มยา ดังนั้นฉันต้องการให้คุณคอยระวัง อย่าให้ใครมารบกวนฉันเด็ดขาด!”
เมอร์ลินได้เรียนรู้บทเรียนจากครั้งก่อน เวลาดื่มน้ำยาโมคราแล้วหลับไป จำเป็นต้องมีคนคอยคุ้มกัน เมื่อพ่อมดแบมมูมาถึงเมืองอิมพีเรียลแล้ว เขาก็เป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับงานนี้
“นายท่าน โปรดวางใจ จะไม่มีใครมารบกวนท่านอย่างแน่นอน!”
แบมมูได้ลงนามสัญญาทาส ดังนั้นชีวิตและความตายของแบมมูจึงอยู่ในมือของเมอร์ลิน ย่อมหมายความว่าเขาต้องปกป้องเมอร์ลินด้วยชีวิตและจิตวิญญาณของเขา
เมอร์ลินรู้สึกมีความมั่นใจมากขึ้นจากพ่อมดแบมมู เขาจึงพยักหน้าและปิดประตู จากนั้นเขาก็เริ่มเตรียมการบางอย่างก่อนที่จะดื่มน้ำยาโมครา
หลังจากดื่มน้ำยาโมครา สิ่งที่อันตรายที่สุดคือการหลับลึก ทุกครั้งที่ดื่มน้ำยาโมคราจะต้องนอนอย่างน้อยสามวัน
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เมอร์ลินใช้น้ำยาโมครา ดังนั้นหลังจากดื่มเสร็จ เขาก็ผล็อยหลับในทันที
พลังจิตของเขาเติบโตอย่างรวดเร็วและประสิทธิภาพของน้ำยาโมคราก็เริ่มแสดงผล
เมื่อเมอร์ลินตื่นขึ้นในอีกสามวันต่อมา เขาได้ตรวจสอบพลังจิตของเขาสั้น ๆ และดื่มน้ำยาโมคราทันที โดยไม่มีการหยุดพักเลย
หนึ่งขวด สองขวด สามขวด...
เวลาผ่านไปมากกว่าหนึ่งเดือนในพริบตา เมอร์ลินดื่มน้ำยาโมคราอย่างต่อเนื่องนานกว่าหนึ่งเดือน ดังนั้นตอนนี้จึงเหลือน้ำยาโมคราเพียง 2 ขวด
ปัจจุบัน พลังจิตของเมอร์ลินได้มาถึงจุดสูงสุดของระดับที่สี่แล้ว แต่เขาก็ยังไม่สามารถทะลุทะลวงไปสู่ระดับห้าได้ นี่เป็นการสะสมเชิงปริมาณซึ่งในช่วงนี้มันเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อในการเพิ่มพลังจิตไปสู่ระดับถัดไป
วิธีนี้เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดแต่พลังจิตที่ต้องสะสมนั้น มันต้องใช้ปริมาณมหาศาล หากเป็นนักเวทย์ทั่วไป พวกเขาต้องในระยะเวลาในการค่อย ๆ สะสมพลังจิต อย่างไรก็ตาม สำหรับเมอร์ลิน เขาไม่สามารถใช้วิธีดังกล่าวได้ เพราะมันช้าเกินไป
สิ่งเดียวที่เมอร์ลินขาดไปคือเวลา เนื่องจากพลังจิตของเขายังไม่ผ่านการพัฒนา นั่นหมายความว่าการสะสมยังคงมีความจำเป็น เมื่อมองไปที่ยาอีกสองขวดที่เหลือ เมอร์ลินตัดสินใจว่าจะดีกว่าถ้าเพียงแค่ดื่มมันทั้งหมด
การดื่มน้ำยาโมคราสองอันในครั้งเดียวเป็นการกระทำที่เมอร์ลินไม่กล้าที่จะทำ หลังจากดื่มน้ำยาโมคราไปเป็นจำนวนมากไป ความเจ็บปวดอันรุนแรงเพียงอย่างเดียวจะทำให้นักเวทย์ทั่วไปเสียสติ
นอกจากนี้ การกระทำของเมอร์ลินในการดื่นมน้ำยาโมคราสองขวดพร้อมกัน มันจะยิ่งยืดเวลาของการหลับใหล มันแตกต่างจากการนอนหลับหกวันตามที่เมอร์ลินคาดไว้ คราวนี้ เมอร์ลินหลับไปสิบวันแล้ว เมอร์ลินเพิ่งตื่นขึ้นอย่างช้า ๆ หลังจากผ่านไปสิบวันเต็ม ๆ ทันทีที่เขาตื่นขึ้น เขาได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในพลังจิตของเขาแล้ว
"พลังจิตของฉันเลื่อนระดับรึเปล่า?"
เมอร์ลินรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าของเขาดูเหมือนจะบอบบางมากขึ้น พลังจิตของเขาขยายออกไปอย่างไม่สิ้นสุด เกือบจะครอบคลุมทั้งคฤหาสน์ในทันที
พลังจิตระดับห้าแข็งแกร่งกว่าพลังจิตระดับสี่สิบเท่า ไม่น่าแปลกใจเลยที่เมอร์ลินต้องใช้น้ำยาโมคราจำนวนมากก่อนที่เขาจะทะลวงผ่านระดับไปได้
“ในที่สุด ฉันก็ทำสำเร็จ ฉันควรจะสร้างคาถาระดับสามทั้งหมดของฉัน เพื่อที่ฉันจะได้เป็นนักเวทย์ระดับสาม!”
พลังจิตของเมอร์ลินทะลวงไปถึงระดับห้าและตอนนี้ก็เพียงพอที่จะสร้างคาถาระดับสามทั้งหมดแล้ว อย่างไรก็ตาม เขาจำเป็นต้องเข้าใจการเปลี่ยนแปลงล่าสุดที่เกิดขึ้นในเมืองอิมพีเรียลก่อนที่เขาจะเริ่มสร้างคาถาระดับสาม
“แบมมู!” เมอร์ลินเรียกพ่อมดแบมมู
“นายท่าน มีอะไรข้ารับใช้ขอรับ”
พ่อมดแบมมูเปิดประตู เขาเพียงมองเมอร์ลินเพียงชั่วครู่ แต่เขาสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเมอร์ลิน เมื่อรู้ว่าเมอร์ลินดื่มน้ำยามาระยะหนึ่งแล้ว เขาต้องประสบความสำเร็จอย่างมาก
“แบมมู อาจารย์ลีโอเป็นยังไงบ้าง?”
เมอร์ลินกังวลมากที่สุดเกี่ยวกับสถานการณ์ของพ่อมดลีโอในตอนนี้ พ่อมดลีโอใช้น้ำตาเทพเจ้าเพื่อขจัดข้อบกพร่องบางประการที่เกิดจากการฝึกฝนดวงตาแห่งความมืด ดังนั้นเขาจึงสามารถเลื่อนระดับเป็นนักเวทย์ระดับเจ็ดได้สำเร็จ ถ้าพ่อมดลีโอสามารถกลายเป็นนักเวทย์ระดับเจ็ดได้ มันจะเป็นข่าวดีสำหรับทั้งดินแดนมนต์ดำและองค์ชายแปด หรือแม้แต่เมอร์ลิน
พ่อมดแบมมูลังเลอยู่ครู่หนึ่งและเขาก็กระซิบว่า “นายท่าน พ่อมดลีโอยังไม่ออกมา ยังไม่มีการเคลื่อนไหวจากเขา ข้อบกพร่องของดวงตาแห่งความมืดนั้นไม่ง่ายที่จะแก้ไข แม้จะใช้น้ำตาเทพเจ้าแต่ก็ยังต้องใช้เวลานานมาก…”
เมอร์ลินขมวดคิ้ว นี่ก็ผ่านมาเกือบสองเดือนแล้ว น่าแปลกที่ยังไม่มีข่าวจากพ่อมดลีโอเลย นอกจากนี้ เมื่อได้ยินน้ำเสียงของพ่อมดแบมมู ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกไม่ค่อยดีเกี่ยวกับพ่อมดลีโอ
ดังนั้น สายตาของเมอร์ลินจึงชะงักเล็กน้อยและเขาพูดด้วยเสียงต่ำ “แบมมู พูดตามตรง คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับอาจารย์? น้ำตาเทพเจ้า มันสามารถแก้ไขข้อบกพร่องของดวงตาแห่งความมืดได้หรือไม่?”
เมอร์ลินรู้ว่าพ่อมดแบมมูมีความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับดวงตาแห่งความมืดมากกว่าเขา
พ่อมดแบมมูสูดหายใจเข้าลึก ๆ แม้เขาไม่อยากจะตอบแต่เขาก็ต้องตอบเมอร์ลินอยู่ดี “นายท่านดวงตาแห่งความมืดเป็นพลังต้องสาป แม้น้ำตาเทพเจ้าอาจช่วยบรรเทาคำสาปได้แต่ก็ยังมีในจำนวนที่จำกัด ในอดีต บางคนเคยได้รับมันมาก่อน แต่หลังจากหลายปีมานี้ ข้าไม่เคยได้ยินใครที่สามารถฝึกฝนดวงตาแห่งความมืดได้อย่างเต็มที่…”
แม้ว่าแบมมูไม่ได้ตอบคำถามของเมอร์ลินโดยตรง แต่ใจความสำคัญมันอยู่ในคำพูดของเขาอย่างชัดเจนแล้ว
เมอร์ลินอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว แม้แต่เขาก็ไม่คิดว่าดวงตาแห่งความมืดจะเป็นอันตรายมากนัก แต่ถึงอย่างนั้น น้ำตาเทพเจ้าก็ไม่สามารถแก้ไขข้อบกพร่องของมันได้ นอกจากนี้ แบมมูไม่ได้มองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับสถานการณ์ของพ่อมดลีโอ
อย่างไรก็ตาม เมอร์ลินไม่สามารถช่วยเรื่องนี้ได้มากนัก เขาทำได้เพียงรออย่างเงียบ ๆ โดยหวังว่าจะมีข่าวดี
“เอาล่ะ คุณยังคงเฝ้าอยู่ข้างนอก แจ้งฉันทันทีหากมีข่าวเกี่ยวกับอาจารย์ลีโอ”
จากนั้น พ่อมดแบมมูก็ออกจากสถานที่นั้นไปอย่างเงียบ ๆ แทบจะทันที เหลือเพียงเมอร์ลินอยู่ในห้อง
เมอร์ลินหยิบหนังสือที่พันด้วยด้ายออกมาจากแหวน มันมีคาถาระดับสามมากมาย นี่เป็นคาถาบางส่วนที่องค์ชายแปดให้กับเมอร์ลินก่อนหน้านี้ซึ่งมีคาถาที่มีเพียงราชวงศ์เท่านั้นที่สามารถสร้างได้
คาถาเหล่านี้ถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูลของเมทริกซ์ด้วย เมอร์ลินได้เปรียบเทียบพวกมันและพบว่าพวกเขาเหมือนกันทุกประการ มันแสดงให้เห็นว่าองค์ชายแปดได้ทุ่มสุดตัวและนำคาถาของราชวงศ์ทั้งหมดมาเพื่อได้รับการสนับสนุนจากเมอร์ลิน
เมอร์ลินพลิกคาถาในหนังสือ จากนั้นใส่กลับเข้าไปในแหวนแล้วเริ่มครุ่นคิด
ตอนนี้ ในจิตใต้สำนึกของเมอร์ลิน มีการสร้างคาถาระดับสาม สามคาถา หลอมเปลวเพลิง, วังวนแห่งความมืดและเกราะสัมบูรณ์ เขายังคงต้องการสร้างคาถาสามธาตุที่เหลือ ได้แก่ น้ำแข็ง, ลมและสายฟ้า จากนั้นเขาก็สามารถกลายเป็นนักเวทย์ระดับสามได้
พลังจิตของเมอร์ลินก็เพียงพอแล้วที่จะสร้างคาถาระดับสามทั้งหก แต่ตอนนี้ เขากำลังเผชิญกับภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในการเลือกคาถา
การรวมข้อมูลของเดอะเมทริกซ์ทำให้เกิดคาถาใหม่ เนื่องจากเขาสามารถได้รับคาถาระดับสี่ ดังนั้นคาถาระดับสามก็สามารถได้รับเช่นกัน
ดังนั้น เมอร์ลินจึงมีทางเลือกสองทางในตอนนี้ คือ เลือกคาถาที่สร้างขึ้นใหม่หรือใช้คาถาระดับสามแบบสำเร็จรูป
การใช้คาถาที่สืบทอดมามีประโยชน์มากมาย เช่น พลังเวทย์ที่เพิ่มขึ้น ความเข้ากันได้ที่สูงขึ้นและอื่น ๆ ประโยชน์มีมากมายจริง ๆ แต่เดอะเมทริกซ์จะต้องใช้พลังงานจากแม็กซิมแห่งไฟเพื่อสร้างคาถา
ตอนนี้เมอร์ลินขาดพลังงานจากแม็กซิมแห่งไฟมากที่สุด มันเหลือเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถ้ามันถูกใช้มากเกินไป มันจะยากมากที่จะได้รับคาถาระดับสี่อันที่สองในอนาคต
“สำหรับคาถาระดับสาม แม้ว่าฉันจะใช้คาถาใหม่ พลังอาจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้สร้างความแตกต่างมากนัก มีเพียงคาถาระดับสี่เท่านั้นที่แสดงให้เห็นความแตกต่าง! ทำไมต้องใช้แม็กซิมแห่งไฟอันล้ำค่าตอนนี้เพื่อสร้างคาถาที่มีความเข้ากันได้เพียงเล็กน้อยด้วย”
ความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในหัวของเมอร์ลิน เขายังคิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ ยิ่งเขาจัดระเบียบความคิดและคิดอย่างรอบคอบมากเท่าไร เขายิ่งรู้สึกว่าเขาไม่ควรเสียพลังของแม็กซิมแห่งไฟเพื่อสร้างคาถาระดับสาม
เมอร์ลินจะต้องสร้างคาถาระดับสี่ในอนาคต ตอนนี้พลังของแม็กซิมแห่งไฟนั้นต่ำเกินไปและถ้าไม่มีเหลือมัน เขาจะสร้างคาถาระดับสี่ได้อย่างไร?
ถ้าเขาไม่สามารถสร้างคาถาระดับสี่ได้ เขาจะสูญเสียมากกว่าที่เขาจะได้รับ ท้ายที่สุด คาถาระดับสี่คือการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพที่แท้จริง พลังโดยรวมของนักเวทย์จะดีขึ้นอย่างมาก
หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเป็นเวลานาน เมอร์ลินก็ได้ข้อสรุปในที่สุด แทนที่จะใช้แม็กซิมแห่งไฟอันล้ำค่าเพื่อให้ได้คาถาระดับสาม เขาตัดสินใจว่าเขาจะใช้คาถาของราชวงศ์ที่องค์ชายแปดให้มาเพื่อสร้างคาถาที่เหลือ
เขาได้ตัดสินใจไปแล้ว ดังนั้นคำถามที่เหลืออยู่ในตอนนี้คือคาถาที่จะเลือก สิ่งนี้ง่ายกว่ามาก เมอร์ลินได้กรองพวกมันอย่างระมัดระวังและเลือกคาถาธาตุลมระดับสาม เงาวายุ คาถาธาตุสายฟ้าระดับสาม อัสนีอนันต์ และคาถาธาตุน้ำแข็งระดับสาม ช่องว่างเยือกแข็ง
ไม่ว่าจะเป็นเงาวายุ, อัสนีอนันต์หรือช่องว่างเยือกแข็งเป็นคาถาสร้างโดยอิงจากคาถาที่เขามีอยู่
คาถาเหล่านี้จริง ๆ แล้วมีต้นกำเนิดเดียวกัน นี่จะเป็นข้อได้เปรียบเช่นกันเนื่องจากมีความเข้ากันได้สูงกว่าระหว่างแต่ละคาถา ด้วยเหตุนี้ โครงสร้างคาถาจึงมีเสถียรภาพมากขึ้นในจิตใต้สำนึกด้วย
ในอนาคต เมื่อเมอร์ลินได้รับคาถาระดับสี่ใหม่โดยเดอะเมทริกซ์ เขาควรเลือกคาถาที่เข้ากันได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ตามคาถาเหล่านี้ เมื่อเขาเลื่อนระดับเป็นจอมเวทย์ในอนาคต มันจะง่ายกว่าที่จะรวมโครงสร้างคาถาเข้าด้วยกัน
นักเวทย์คาถาหลายคนได้พิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการเป็นจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ในช่วงแรก ๆ ที่พวกเขาสร้างคาถาระดับต่ำ เช่น คาถาระดับหนึ่ง ระดับสองและระดับสาม มิฉะนั้น แม้ว่าพวกเขาจะมีความสามารถที่โดดเด่นแต่คาถาที่สร้างไว้ไม่มีความเข้ากันได้มากพอ นักเวทย์คนนั้นก็ไม่อาจเป็นจอมเวทย์ได้
แม้ว่าเมอร์ลินจะไม่ได้จงใจควบคุมความเข้ากันได้ของคาถาของเขา โดยอาศัยเดอะเมทริกซ์ คาถาของเขายังคงมีความเข้ากันได้ที่สูงกว่านักเวทย์อัจฉริยะเหล่านั้น
หลังจากเลือกคาถาแล้ว เมอร์ลินก็เปิดใช้งานเดอะเมทริกซ์ทันที เขาเริ่มวิเคราะห์คาถาทีละขั้นตอน ดำเนินการเลือกโครงสร้างคาถาที่ดีที่สุด แล้วจำลองคาถาเหล่านั้นเข้าสู่จิตใต้สำนึกของเขา
กระบวนการแบบนี้ง่ายมากสำหรับเมอร์ลิน!
หลายวันต่อมา เมอร์ลินได้สร้างคาถาเสร็จ ในช่วงเวลาที่คาถาช่องว่างเยือกแข็งถูกจำลองในจิตใต้สำนึกของเขา เมอร์ลินรู้สึกตัวสั่นไปทั้งตัว ดูเหมือนว่าโครงสร้างคาถาทั้งหมดจะถึงจุดสมดุลแล้ว
ความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมนั้นทำให้เมอร์ลินรู้ว่าเขาเป็นนักเวทย์ระดับสามแล้ว!