บทที่ 46 การต่อสู้ที่แท้จริง
เวลานี้หนิงเทียนถูกลุมล้อมด้วยศาสตราวุธที่แปลกแยกต่างกันไป ใบหน้าของหนิงเทียนเย็นชาไร้ความรู้สึก มันพริ้วตัวหลบประกายแสงที่ลัวหลี่ยิงออกมา
พร้อมกับเรียกกระบี่พิรุณโปรยออกมากระชับในมือ หนิงเทียนทั้งฟาดฟันออกด้วยท่าเงากระบี่ใต้อักษร 1ใน13กระบวนท่าของเพลงกระบี่สังหารเทพ
เงากระบี่ของหนิงเทียนพุ่งราวมังกรโบยบินตัดแขนขวาของลั่วหลี่ที่กำลังง้างคันศรหมายจะยิงซ้ำออกจากร่าง
อ้ากกกกกกก!!! เสียงร้องโหยหวนของมันดังออก ลัวหลี่มองไปยังแขนของมันกระเด็นตกอยู่บนพื้น
เวลานี้กลุ่มของลั่วผอ นับสิบคนเหลือเพียง 7คนเท่านั้น พวกมันทั้งตกตายบาดเจ็บกันในเวลาไม่กี่ลมหายใจ สีหน้าของพวกมันทั้งหมดส่ออาการตกตะลึงอย่างมาก
ขณะเดียวกันหนิงเทียนนั้นพ่นเลือดของมันออกมากองหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะความทนทานของวิชากายาเทพอสูร
ร่างกายของมันคงแตกหักไปกับค้อนสีแดงที่ฟาดใส่แผ่นหลังของมันแล้ว คงไม่ใช่แค่กระอักเลือดอย่างนี้แน่นอน
‘ท่านแน่ใจว่าไม่ต้องการความช่วยเหลือ’ เสียงอันแผ่วเบาดังออกมาจากแขนเสื้อของหนิงเทียน
“ไม่จำเป็น” พริบตาเดียว หนิงเทียนพุ่งตัวราวลูกเกาทัณฑ์ที่ถูกยิงออก กระบี่พิรุณโปรยในมือของหนิงเทียนตัดร่างของชายชุดดำราวกับตัดก้อนขนมเปี๊ยะ
ค้อนสีแดงของมันกระเด็นออกไปพร้อมกับร่างกายส่วนบน
ขณะเดียวกันมันพุ่งตรงไปยังชายชุดดำอีกคนที่ห่อหุ้มกายไปด้วยเหล็กกล้าสีทอง “ฮ่าๆ กายาเหล็กกล้าของข้ามันถูกเสริมส่งพลังด้วยธาตุทอง
ต่อให้เจ้าแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่สามารถแม้แต่สร้างรอยขีดข่วนให้มันได้” มันหัวเราะออกอย่างบ้าคลั่ง
หนิงเทียนนั้นถ่ายทอดปราณแห่งความมืดของมันลงไปในกระบี่พิรุณโปรยบัดนี้กระบี่ของมันกลายเป็นคมสีดำน่ากลัว
มันวาดกระบี่ออกเป็นวงกลม ร่ายรำล้อเงาจันทร์ กระบ่วนท่าที่2ของเพลงกระบี่สังหารเทพถูกใช้ออก
ฉับ!!!... ศีรษะของชายชุดดำกระเด็นออกจากร่าง มันทรุดร่างลงพร้อมกับร่างกายที่เคยเป็นสีทองค่อยๆดับวูบแสงลง
ในขณะที่กระบี่ของหนิงเทียนตัดศีรษะชายคนดังกล่าวออกไป ชายชุดดำอีกคนที่มีดวงตาเพียงข้างเดียวทะยานร่างเข้ามากอดหนิงเทียนไว้ ร่างกายของมันเหนียวหนึบจนยึดติดกับหนิงเทียน
หนิงเทียนพยามจะสะบัดออกแต่ด้วย ทักษะต่อสู้ร่างไม้พฤกษาของมัน ที่ยึดติดร่างของหนิงเทียนไว้แน่น
ทำให้เวลานี้หนิงเทียนถูกมันตรึงร่างเอาไว้จนไม่สามารถขยับออกได้ “ฆ่ามันไม่ต้องสนใจข้า ฆ่า.....”
ขณะเดียวกันลั่วหลี่ ใช้ขาของมันแทนมือขวาที่ขาดไปในการรั้งคันศรดาราแดนใต้ มือซ้ายของมันรวบรวมพลังปราณเข้าไปจนหมดร่าง หมายยิงตัดสินกันในศรเดียว
เปรี้ยง!!!.... ประกายแสงสีขาวพุ่งใส่หนิงเทียนราวอสนีบาท
เห็นเช่นนั้น สีหน้าของหนิงเทียนแปรเปลี่ยนทันที มันเร่งเปลวเพลิงเทพอสูรให้รุกไหม้จนท่วมร่างของมัน
อ้ากกกก!!!! เสียงร้องโหยหวนของชายตาเดียวดังออกอย่างน่าเวทนา ร่างของมันรุกไหม้อย่างบ้าคลั่งพริบตาเดียวมันกลายเป็นฝุ่นเท่ากระจายไปกับสายลม
จากนั้นหนิงเทียนตั้งสมาธิอย่างเฉียบคม สายตาประดุจเหยียวทั้งสองข้าง จับจ้องไปยังประกายแสงที่พุ่งเข้ามาราวอสนีบาท
ฟึ่บ….
มือขวาของหนิงเทียนคว้าเอาลูกศรปราณที่ยิงมาจากลัวหลี่ทันที แต่ด้วยพลังทั้งหมดของแดนแห่งปราชญ์ขั้นปลายที่อัดแน่นมากับลูกศรนั้น
มันส่งร่างหนิงเทียนให้ลอยถอยหลังไปตามทิศทางของลูกศรดาราราแดนใต้
ทันใดนั้นปรากฏภาพลั่วผอ อยู่ด้านหลังมันมองไปที่แผ่นหลังของหนิงเทียนด้วยความอำมหิต โซ่ดาราแดนเหนือหลอมรวมกับทักษะ ตรึงชีพจร มันสะบัดออกห้าครั้ง
โซ่สายเดียวแบ่งแยกออกเป็นห้าสายราวภาพลวงตา พวกมันพุ่งผ่านคล้ายกับสิ่งมีชีวิต
หนิงเทียนที่ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ เวลานี้มันไม่สามารถเหยียบอากาศและใช้เก้าวิญญาณท่องนภาถอยหนีได้ทัน
มันจึงซัดกระบี่พิรุณโปรยมันมือออก โดยใช้ด้ามกระบี่เป็นแท่นเหยียบพลิกร่างหลบโซ่ทั้งห้าสายอย่างรวดเร็ว
ลั่วผอ มองไปยังร่างของหนิงเทียนที่หลบหนีตรึงชีพจนของมันไปได้ด้วยความประหลาดใจ
“ความแข็งแกร่งและประสบการณ์ต่อสู้ของมันเหนือสามัญสำนึกของพวกเราไปแล้ว
พวกเจ้าอย่าคิดว่ากำลังสู้กับผู้ฝึกตนในแดนองครักษ์ จงคิดเสียว่ามันเป็นยอดยุทธ์แห่งวีรชนอย่าได้ประมาทมันเป็นอันขาด”
ลั่วผอสั่งการพักพวกที่เหลือของมัน เวลานี้กลุ่มของมันเหลือเพียง4คนเท่านั้น
หนิงเทียนหันกลับไปมองยังลั่วผอโดยปราศจากคำพูดใดๆมันเพียงแย้มยิ้มออกอย่างผ่อนคลายแม้ว่าภายในมันจะได้รับบาดเจ็บแต่หนิงเทียนจะไม่ยอมแสดงอาการใดออกให้มาศัตรูเห็นเด็ดขาด
หนิงเทียนสะบัดมือหนึ่งคร่า เรียกกระบี่พิรุณโปรยบินกลับมาในมือ
เห็นภาพเช่นนั้นลั่วผอตกตะลึงปนกับความดีใจเป็นอย่างมาก “นั้นมันอาวุธจิตวิญญาณ” มีเพียงอาวุธจิตวิญญาณเท่านั้นที่สามารถกลับคืนสู่มือเจ้าของได้
“ฆ่า...ฆ่ามัน ข้าต้องเป็นเจ้าของอาวุธจิตวิญญาณให้ได้” ลั่วผอคำรามลั่นด้วยความโล�
แม้มันจะหวั่นเกรงหนิงเทียนอยู่บ้างแต่มันนั้นเห็นได้ชัดว่าพลังทั่งร่างกายของหนิงเทียนกำลังลดลงเรื่อยๆ
มันอาจจะต้องเสียพวกพ้องทั้งหมดไป แต่ถ้าแลกกับอาวุธจิตวิญญาณนับว่าคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม
ร่างสีดำของชายทั้งสองยังพุ่งใส่หนิงเทียนอย่างไม่หวาดกลัวความตาย มันทั้งคู่พุ่งเข้ามาทางด้านซ้ายและขวาพร้อมกัน
ชายด้านซ้ายนั้นแปรเปลี่ยนร่างกายเป็นครึ่งคนครึ่งหมาป่าดวงตาของมันสีแดงฉานพุ่งเข้าใส่หนิงเทียนอย่างดุร้าย
ส่วนชายที่อยู่ด้านขวา มันแปรเปลี่ยนร่างเป็นครึ่งคนครึ่งวานร ความเร็วของมันเพิ่มขึ้นเท่าตัว ทั้งสองเข้าขนาบข้างจู่โจมหนิงเทียนอย่างพร้อมเพียง
หลังจากพวกมันทั้งคู่ได้ยินคำสั่งของลั่วผอ พวกมันนั้นลงมือกับหนิงเทียนเฉกเช่นว่าหนิงเทียนคือผู้ฝึกตนในแดนวีรชน พวกมันใช้พลังออกทั่วร่างกายจนหมดสิ้นในการจู่โจมคู่ครั้งนี้
หนิงเทียน อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา “ลั่วผอ เจ้าเป็นกลุ่มนักฆ่าละครสัตว์หรือไง?”กล่าวจบมันพุ่งตัวเข้าปะทะกับชายร่างวานรก่อน
เนื่องจากความเร็วของมันสร้างความลำบากอยู่ไม่น้อย คราวนี้หนิงเทียนหยิบขวดพิษสีเขียวอ่อนออกมา พลันโยนใส่ชายร่างวานร จากนั้นมันส่งปราณสีครามขนาดเท่านิ้วก้อย พุ่งใส่ขวดพิษสีเขียว
เพล้งง!!! ลมปราณสีครามเข้าหลอมรวมกับพิษสีเขียว ‘ลองชิมพิษกร่อนเทวะของข้าหน่อยเป็นไง’
ชายร่างวานรพลิ้วตัวหลบออกทันทีด้วยความเร็วในร่างครึ่งคนครึ่งวานรของมัน สามารถหลบปราณสีครามเขียวของหนิงเทียนได้อย่างง่ายดาย
มันยกยิ้มขึ้นอย่างภูมิใจ พร้อมก้าวเดินไปหาหนิงเทียนอย่างช้าๆ
ทันใดนั้นชายครึ่งร่างวานรหยุดเดินในทันที ร่างกายของมันแข็งถือ ขาและแขนทั้งสองละลายกลายเป็นแอ่งน้ำพิษ
อ๊ากกกกกกกก!!!! เสียงร้องโหยหวนดังออกมาก่อนทั้งร่างของมันจะละลายหายไปแอ่งน้ำสีเขียว
ในเวลาเดียวกันชายในร่างหมาป่าพุ่งเข้าใส่หนิงเทียนด้วยสามัญสำนึกของสัตว์เดรัจฉาน หมัดขวาอันแหลมคมซัดเขามาที่หน้าอกของหนิงเทียนอย่างดุร้าย
หนิงเทียนเร่งลมปราณเทพอสูรขึ้นเป็นชั้นเกราะบางๆปกคลุมร่าง
เพล้ง!!! เกราะปราณเทพอสูรของหนิงเทียนแตกสลายออกหน้าอกของมันยุบลงไปด้วยแรงจากหมัด หนิงเทียนกระอักเลือดออกมากองใหญ่
เวลานี้หนิงเทียนตระหนักรู้ถึงจุดอ่อนของมันแล้วว่าทะเลปราณของมันแม้จะใหญ่กว่าคนอื่นถึง3เท่า อีกทั้งพลังปราณของมันยังบริสุทธิ์กว่าคนอื่นมากนัก
แต่ด้วยทักษะที่บิดามารดาของมันสั่งสอนมานั้นอยู่ในระดับที่สูงเกินกว่าพลังฝึกตนของมันไปมาก
จึงทำให้ การใช้ออกแต่ละครั้งนั้นกินพลังลมปราณในร่างเป็นอย่างสูง
ถ้าเป็นคนปกติใช้ออกเพียงกระบวนท่าเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พลังปราณทั้งหมดของมันเหือดแห้งลงจนหมดสิ้น
เช่นเดียวกับเวลานี้เกราะปราณเทพอสูรที่หนิงเทียนใช้ออกนั้นมีพลังไม่ถึง5ใน10ส่วนด้วยซ้ำ แต่ก็ถึงอย่างไรด้วยความพิศดารของมันได้ช่วยลดความเสียหายถึงชีวิตให้แก่หนิงเทียน
หนิงเทียนยิ้มออกมาอย่างน่ากลัว “ทีข้าต่อยเจ้าบ้างแล้ว” มันเงื้อมมือขึ้นสูงชกออกด้วยทักษะหมัดจ้าวอสูร
ปัง!!!!!!! ร่างของชายครึ่งหมาป่ากระเด็นไปกระแทกกับหน้าผาสูงชัน ร่างกายของมันจมลึกลงไปราวกับหน้าผาที่แกะสลักภาพมนุษย์
หลังจากใช้หมัดจ้าวอสูรออกไปทะเลปราณของมันเหือดแห้งลงไปอีกหลายส่วน
มันอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจกับตัวเอง 'ครั้งหน้าข้าต้องหาทักษะระดับต่ำติดตัวไว้บ้างแล้ว'
หนิงเทียนทรุดเข่าลงข้างหนึ่งหอบหายใจลึกยาว สายตาของมันจับจ้องไปยังลั่วผอและลั่วหลี่สองพี่น้อง
เวลานี้ ปราชญ์ขั้นกลางทั้งเก้าคนตกตายด้วยฝีมือของมันทั้งสิ้น
“ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเจ้าคือ องครักษ์ขั้น9ใช่หรือไม่?”ดวงตาของลั่วผอหรี่แคบมองไปยังร่างลูกน้องของมัน ไม่มีร่างไหนเลยที่ตกตายด้วยสภาพสมบูรณ์
“ใช่ ข้านั้นอยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่แดนปราชญ์” ขณะที่กล่าวออกหนิงเทียนค่อยๆยันร่างขึ้นยืน เวลานี้ทะเลปราณของมันนั้นเหลือไม่ถึง3ใน10ส่วนด้วยซ้ำ
ลั่วหลี่มองไปยังหนิงเทียนคล้ายกับมองไปยังสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง การต่อสู้ข้ามขั้นนับว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดใจมากแล้ว
ในการต่อสู้ข้ามขั้นพวกมันอาจจะเหลือมล้ำกันได้1-2ขั้นตามทักษะวิชาที่ฝึก
แต่เวลานี้บุคคลที่อยู่ตรงหน้ามันมีความสามารถที่จะต่อสู้ข้ามดินแดนและยังสังหารผู้คนในดินแดนที่สูงกว่าได้ไม่ยาก
นับตั้งแต่ลั่วหลี่อยู่ในโลกของผู้ฝึกตนมา มันไม่เคยพบเจอสัตว์ประหลาดในร่างมนุษย์แบบนี้มาก่อน
ลั่วผอนั้นมองไปยังหนิงเทียนด้วยแววตาตื่นตระหนก มันนั้นลอบโจมตีพร้อมสำรวจทุกทักษะและท่วงท่าที่หนิงเทียนใช้ออก
จึงสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนแม้ว่าในยามปกติเด็กนี้จะอยู่ในแดนมนุษย์ แต่ในยามที่มันใช้ทักษะแปลกๆนั้น พลังในร่างของมันจะทะลุขึ้นมาอยู่ในจุดสูงสุดของแดนองครักษ์
"เจ้ายังไม่สามารถชักนำธาตุเข้าสู่ร่างกายได้ด้วยซ้ำ แต่ทักษะที่เจ้าใช้ออกทั้ง ไฟ น้ำแข็ง ความมืด พิษและเพลงกระบี่นั้นอีก เจ้าเป็นใครกันแน่”
ลั่วผอเริ่มที่จะหวาดกลัวกับเบื้องหลังของหนิงเทียนไม่มีทางที่คนธรรมดาจะสามารถเป็นได้เช่นเด็กนี้
“ข้าเป็นเพียงผู้คุ้มกันในขบวนคาราวานที่ถูกเจ้าปล้นไง ไม่ทันไรก็ลืมแล้วหรือ?”หนิงเทียนยังคงแสดงสีหน้าแย้มยิ้มอย่างเช่นเคย
ซ่อนดาบในรอยยิ้ม มันเป็นกลยุทธ์ที่หนิงเทียนใช้ออกจนติดเป็นนิสัย
“ถ้าเจ้ายอมมาเป็นลูกน้องข้า ข้าจะไม่สนใจกระบี่จิตวิญญาณของเจ้า อีกทั้งจะทำเป็นลืมเรื่องที่เจ้าสังหารคนของข้าไป
แต่ถ้าเจ้าปฎิเสธทางเดียวที่ข้าต้องทำคือ ตัดไฟแต่ต้นลม” ลั่วผอกล่าวออกด้วยเสียงเย็น
ถ้าต้องต่อสู้กับหนิงเทียนตั้งแต่แรกเริ่มมันอาจจะมั่นใจเพียง5ใน10ส่วน แต่เวลานี้พลังของมันเหลือไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ ลั่วผอมั่นใจว่าอย่างไรมันไม่มีทางที่จะแพ้แน่นอน
“ลูกน้องเจ้า? ....ตัวเจ้าเองยังไม่มีความสามารถพอที่จะขัดรองเท้าให้ข้าได้เลยและจงจำคำของข้าไว้ให้ดี ถ้าเจ้าส่งกล่องจงหลีคืนแก่ข้า เจ้าสามารถกลับไปอย่างมีชีวิตได้”
“กล่องจงหลี? เด็กน้อยเจ้ารู้จักมัน” ตัวมันนั้นรู้เพียงว่ากล่องทมิฬนั้นมีความลับอยู่ภายใน แต่มันไม่ได้มีความรู้ถึงขนาดทราบชื่อของมัน
ได้ยินเช่นนั้นยิ่งตอกย้ำความสงสัยของมันเข้าไปอีกว่า
ลั่วผอจับจ้องไปยังหนิงเทียนอย่างไม่กระพริบตา “เด็กน้อย ตัวเจ้าเวลานี้คิดว่าจะเป็นคู่ต่อสู้กับข้าได้?”
“ได้หรือไม่ ทำไมไม่เข้ามาทดสอบดูละ” แม้พลังในร่างกายมันจะลดน้อยถอดถอยลงแต่หนิงเทียนไม่ได้มีความหวั่นเกรงใดๆแม้แต่น้อย
กล่าวจบมันหยิบโอสถสวรรค์ฟื้นพลังออกมา โยนเข้าปากทันที
ลั่วผอมองไปยังโอสถที่ลอยเข้าไปปากของหนิงเทียน เพียงมองจากที่ไกลยังสัมผัสถึงพลังปราณที่แผ่ออกมาโอสถเม็ดนั้นได้ มันรีบกล่าวออกมาอย่างตกตะลึง “ฆ่ามัน มันคิดจะฟื้นฟูพลัง”
ตอนนี้ร่างของหนิงเทียนหายไปแล้ว มันกระชับกระบี่พิรุณโปรยแน่น พร้อมถ่ายเทพลังปราณสีดำเข้าสู่กระบี่ กระบี่พิรุณโปรยปกคลุมไปด้วยปราณแห่งความมืด
ด้วยร่างกายเทวะสวรรค์ของมันนั้นธาตุมืดที่ใช้ออกไม่ได้น้อยกว่าผู้ฝึกตนที่ฝึกทักษะบ่มเพาะสายความมืดเลยแม้แต่น้อย
พริบตาเดียวหนิงเทียนปรากฏอยู่ด้านหลังของลั่วหลี่ มันแทงกระบี่ทะลุลำคอของลั่วหลี่ทันที ถ้าลั่วหลี่ยังมีลมหายใจ การต่อสู้กับลั่วผอจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากขึ้น
ลั่วหลี่ที่ใช้พลังปราณทั่วร่างในการยิงคันศรดาราแดนใต้ไปหมดแล้ว มันจึงไม่สามารถขัดคืนหนิงเทียนได้แม้แต่น้อย ร่างของมันกระตุกทันที
ขณะที่หนิงเทียนดึงกระบี่ออก เลือดสดๆไหลพุ่งราวน้ำผุสีเลือด ร่างของลั่วหลี่ล้มลงกับพื้นทันที
“สารเลว เจ้าฆ่าน้องข้า” ใบหน้าอันอัปลักษณ์ของลั่วผอดำมืด เวลานี้จิตสังหารของมันทวีขึ้นสูง มันตะโกนเสียงดังและพุ่งไปทางหนิงเทียนด้วยความเร็วมหาศาล
ด้วยความเร็วของครึ่งก้าวสู่แดนวีรชน มันหายไปจากสายตาของหนิงเทียนทันที โซ่ที่คล้ายกับปรากฎขึ้นจากอากาศพุ่งเหวี่ยงลงบนคอของหนิงเทียน
หนิงเทียนเอียงหัวไปด้านข้าง ด้วยความเร็วของโซ่ทำให้มันคมคล้ายใบมีด เส้นผมของหนิงเทียนถูกตัดขาดออกบางส่วน
ขณะที่หนิงเทียนโยกหัวหลบนั้น มันโน้มร่างกายไปด้านหน้า และใช้สองเท้าถีบพื้นดินทะยานออกไปทันที
กระบี่พิรุณโปรยของหนิงเทียนพุ่งออกไปยังใบหน้าที่อัปลักษณ์ทิ้งลอยแผลยาวไว้ให้ลั่วผอ
จากประสบการณ์การต่อสู้ในครั้งนี้ทำให้หนิงเทียนรู้ดีว่าการใช้ทักษะหลายๆอย่างพร้อมกันไม่ใช่เรื่องดีนัก การใช้ทักษะใดทักษะหนึ่งจะเป็นการรักษาพลังปราณได้มากกว่า
พวกมันทั้งสองพุ่งเข้าหากันด้วยความเร็จดุจสายฟ้า หนิงเทียนเวลานี้มันอาศัยใช้พลังความเร็วที่เหนือกว่า กระชับกระบี่แทงเข้าไปที่ท้องของลั่วผอ
ปลายดาบห่อหุ้มไปด้วยปราณแห่งความมืด ลั่วผอเห็นปลายดาบที่แทงเข้ามาท่าทีของมันแปรเปลี่ยนเป็นตกตะลึง
แต่ถึงอย่างไรลั่วผอก็ไม่ใช่ไก่ที่หนิงเทียนจะเชือดได้ง่ายๆ ประสบการณ์ต่อสู้นับ100ปีของมันไม่ได้มีไว้โอ้อวดอย่างเดียว
มันหลบหลีกอย่างทันท่วงที จากนั้นมันเร่งพลังธาตุดินเข้าผสมเข้ากับโซ่ดาราแดนเหนือของมัน นี้คือพลังเต็มรูปแบบขอลั่วผอ
เวลานี้โซ่ดาราแดนเหนือค่อยๆมีชีวิตและทิ่มแทงลงไปในพื้นดิน ราวกับมังกรที่มุดอยู่ในพื้นดิน..