ตอนที่29 นอนด้วยกัน
ตอนที่29 นอนด้วยกัน
สีหน้าของหานกวงที่เงยจับจ้องไปยังหลิงฉางเจวี่ยเปี่ยมล้นไปด้วยความหวาดกลัว ประหนึ่งว่ากำลังมองเห็นมัจจุราชยืนอยู่ตรงหน้า!
คมกระบี่ที่หักครึ่งตกกระแทกลงสู่พื้น หลี่หวงไม่ทันสังเกตเลยว่าหลิงฉางเจวี่ยลงมือตั้งแต่เมื่อใด ทราบเพียงว่าชั่วพริบตาต่อมา คนักฆ่าที่เข้ามาลอบสังหารนางกลับนอนลงไปกองกับพื้นเสียแล้ว
ยังไม่ทันพูดจาอะไรสักคำ อีกฝ่ายนอนเป็นศพไร้วิญญาณไปแล้ว!
หลี่หวงมองมายังหลิงฉานเจวี่ย เจือปนหลากหลายความรู้สึกที่แสนซับซ้อน
เขาแข็งแกร่งมาก...แข็งแกร่งเทียบเท่าความสูงของเขาเลย หลี่หวงถึงขั้นที่ว่าต้องเงยหน้ามอง
แต่...
เห็นได้ชัดว่า ชายผู้แข็งแกร่งขึ้นนี้กลับมีความพิเศษอะไรบางอย่างสำหรับตัวนาง
ความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ผุดขึ้นภายในใจของหลี่หวงอย่างเงียบงัน
“เป็นอะไร? เจ้ากลัวกระมัง?”
ถูกเสียงเรียกของอีกฝ่ายเตือนสติ นางสะดุ้งตื่นจากภวังค์ น้ำเสียงของเขาในตอนนี้กลับคืนสู่ความอ่อนโยนดั่งเมื่อก่อน ความเย็นชาดั่งก่อนหน้า ทั้งหมดได้หายวับไปจนหมดสิ้น
หลิงฉางเจวี่ยสวมกอดหลี่หวงไว้ในอ้อมแขนของเขาอย่างระมัดระวัง เสมือนกลัวว่าจะทำให้ร่างอันบอบบางของนางเจ็บ ตบหลังหลี่หวงเบาๆ ไปทีสองทีอย่างกับกำลังปลอบประโลมเด็กน้อยไม่ให้รู้สึกกลัว
“...”
หลี่หวงอ้าปากกว้างอยู่ชั่วครู่ แต่ไม่ทราบว่าควรกล่าวอะไรออกไปดี
“คนๆ นี้...”
“เขามีนามว่าหานกวง เป็นผู้อาวุโสตระกูลหาน”
หลิงฉางเจสวี่ยกล่าวอธิบายทันที
“สกุลหาน?”
“ฮูหยินใหญ่ของตระกูลจวิ๋นเป็นน้องสาวของหานกวง ตระกูลหานเป็นตระกูลนักฆ่ามาหลายร้อยปีแล้ว แต่หลายปีมานี้พวกเขาตกต่ำลงอย่างมาก”
หลิงฉางเจวี่ยกล่าวกับหลี่หวง พยายามปรับเสียงให้อ่อนโยนเพื่ออธิบายกับนาง
“ปรากฏว่าเป็นนาง...”
หลี่หวงแปลกใจไม่น้อย กลับไม่คิดเลยว่าจะเป็นนาง
หานชิง คนดีแต่โง่ผู้นี้สุดท้ายก็เลือกกระทำในทางที่ผิด
จนวินาทีสุดท้ายนางก็ไม่คิดที่จะยืนอยู่ข้างเดียวกับหลี่หวงจริงๆ
“เจ้ากลัวรึ?”
“ข้า...”
หลี่หวงไม่รู้จะตอบอย่างไรดี
“แล้วเจ้า...เจ้ามาได้อย่างไร?”
สุดท้ายนี้หลี่หวงพลันรู้สึกผิดหวังกับตัวเองเล็กน้อย ที่ไม่ได้เอ่ยถามในสิ่งที่อยากถามออกไป ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ตั้งแต่ที่ชายคนนี้มาช่วยนาง ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป
“ก็ข้าเป็นห่วงเจ้า”
ประโยคเรียบง่ายแต่กลับเข้าจู่โจมหัวใจของหลี่หวงอย่างจัง
เขาบอกว่าเป็นห่วงนาง...
นานเท่าไหร่แล้วที่ภายในใจของนางไม่เคยรับรู้ถึงความอบอุ่นนี้? นางลืมเลือนไปเสียนานแล้วในโลกก่อนหน้า ว่าครั้นหนึ่งก็เคยสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นเฉกเช่นนี้
แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่มันก็รู้สึกดีมากจริงๆ ...
“อืม”
หลี่หวงเค้นเสียงตอบไปคำหนึ่ง ก่อนจะทิ้งศีรษะซุกลงในอ้อมแขนของหลิงฉางเจวี่ย ถูไถไปทมาเล็กน้อยเพื่อมองหามุมสบายจนในที่สุดก็หลับตาลง
แน่นอนว่าตอนนี้หลี่หวงไม่เข้าใจเลยว่า ความรักมันคืออะไร? และนางไม่เคยสัมผัสสิ่งเหล่านี้มาก่อนในชีวิต จึงเป็นเรื่องยากนักที่จะเข้าใจความรู้สึกเหล่านี้ได้ภายในเวลาอันสั้น
นางคิดว่า เพราะอีกฝ่ายเข้ามาช่วยในยามที่วิกฤตเท่านั้น จึงทำให้นางรู้สึกแบบนี้
หลิงฉางเจวี่ยกดสายตามองไปยังหลี่หวงที่กำลังซุกศีรษะในอ้อมอกราวกับเป็นที่ปลอดภัยที่สุดในขณะนี้ จากที่เคยเย็นชาอย่างก่อนหน้า ยามนี้กลับปราศจากร่องรอยเหล่านั้นโดยสิ้นเชิง
นี่คงเป็นนิสัยที่แท้จริงของนางกระมัง
ประการแรกอาจเป็นเพราะ ที่ผ่านมานางไม่เคยมีใครที่สามารถทำให้รู้สึกวางใจได้ แต่ไม่ว่าจะเข้มแข็งเพียงใด สุดท้ายนางก็ยังเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งเท่านั้น
“นอนเถิด เดี๋ยวข้าจะอยู่เป็นเพื่อน”
หลิงฉางเจวี่ยลูบศีรษะของหลี่หวงพลางกระซิบเสียงแผ่วบอก
หลี่หวงคว้าเสื้อของหลิงฉางเจวี่ยเข้ามากอด ก่อนพยักหน้าและนอนหลับไปอย่างสบายใจ
ลองเชื่อใจเขาสักครั้งเถิด
แค่ครั้งเดียวเท่านั้น หากแม้แต่เขาผู้นี้ยังโกหกนางละก็...บนผืนพิภพแห่งนี้นางคงไม่สามารถเชื่อใจผู้ใดได้อีกแล้ว
แต่หากชายหนุ่มผู้แสนอบอุ่นคนนี้ทรยศนางจริงๆ ...จะฆ่าลงเหรอ?
เห็นแก่รูปลักษณ์อันงดงามของเจ้า หากกล้าทรยศข้า...ข้าจะทำลายพลังบ่มเพาะให้สูญสิ้นและจับเจ้าแต่งหญิงนำไปขายให้กับหอนางโลม!
หลิงฉางเจวี่ยรู้สึกมีความสุขอย่างมากเมื่อเห็นว่าหลี่หวงเชื่อใจและทิ้งตัวนอนหลับอย่างสงบในอ้อมแขนของตน พอเห็นสาวน้อยหลับปุ๋ยไป เขาก็ค่อยอุ้มนางลงบนฟูกนอนอย่างเบามือที่สุด ขณะที่กำลังจะนำผ้ามาห่มให้ เขาพลันสังเกตเห็นบาดแผลจำนวนหนึ่งบนเรือนร่างของนาง บางจุดที่ได้รับบาดเจ็บมีเลือดซิบออกมาจางๆ
ชั่วพริบตาขณะ ดวงตาคู่นั้นพลันแปรเปลี่ยน อัดแน่นไปด้วยจิตสังหาร ทว่าเพียงชั่วอึดใตต่อมาก็หายวับไป
เขาประสานมือทั้งสองข้างระดมพลังปราณสีทองอันอบอุ่นกางเป็นม่านพลังคลุมร่างของหลี่หวงเอาไว้ ผ่านไปไม่นานบาดแผลทั้งหมดบนร่างของนางก็สมานกลับเป็นดังเดิม
หากไม่ใช่เพราะเสื้อผ้าแพรพรรณที่ยังคงปรากฏรอยฉีกขาด คงไม่มีใครดูออกเลยว่า ก่อนหน้านี้หลี่หวงได้รับบาดเจ็บ
หลิงฉางเจวี่ยคลี่ยิ้มหวาน ดูพึงพอใจกับผลงานชิ้นเอกของเขาอย่างมาก
เขาลุกขึ้นและเดินออกไปแบกศพของหานกวงโยนทิ้งออกไป และกลับมาทำความสะอาดเรือนให้เป็นระเบียบเรียบร้อยอีกครั้ง หลังเสร็จสิ้นทุกอย่าง เขาก็มุดตรงเข้าไปในผ้าห่มเดียวกับหลี่หวงที่กำลังนอนอยู่อย่างช้าๆ เพราะกลัวอีกฝ่ายจะสะดุ้งตื่น
จากนั้นก็นอนกอดกันตลอดทั้งคืน
..........
แสงจันทร์สีเย็นเฉียบสาดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา ธารแสงกระจายครอบคลุมไปทั่วเรือนห้อง
ชายหนุ่มและสาวสวยที่แสนงดงามกันทั้งคู่กำลังนอนกอดกันตัวกลม หากให้พรรณนาราวกับภาพวาดชิ้นเอกที่สวยสง่าไร้ที่ติ
ชายหนุ่มกอดเด็กสาวไว้ในอ้อมแขนตลอดทั้งคืน เขาเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
จากรอยยิ้มดังกล่าว จะเห็นได้ว่าหลิงฉางเจวี่ยมีความสุขแค่ไหน ราวกับว่าบนผืนพิภพแห่งนี้ ก็มีเพียงหลี่หวงเช่นกันที่เป็นสถานที่ปลอดภัยเดียวสำหรับเขา
เช้าตรู่วันถัดมา...
แสงแรกแห่งวันที่สดใสสาดส่องผ่านเข้ามาภายในเรือน หากมีใครบางคนผ่านเข้ามาเห็นคงเข้าใจผิดกันไปใหญ่ว่า ทั้งสองได้ร่วมรักกันแล้วเมื่อคืน ซึ่งทำลายภาพฉากอันสุดแสนอบอุ่นไปโดยสิ้นเชิง
“งือ...”
เมื่อรู้สึกได้ถึงแสงแดดสีอ่อนเคลื่อนเข้ามาแยงตา หลี่หวงก็ครางเสียงแผ่วออกมาจากลำคอ
ไฉนอุ่นจัง...ไม่อยากตื่นแล้ว
เดี๋ยว...นี่มันอะไรน่ะ?
ช่างเป็นผิวพรรณที่นุ่มเนียนและลื่นอะไรเช่นนี้อย่างกับผ้าไหมชั้นเยี่ยมไม่ปาน อืม...แถมยังมีมัดกล้ามอ่อนๆ กลิ่นตัวก็หอม...รู้สึกอยากกอดแน่นๆ สักที
นอนท่านี้เมื่อยแหะ พลิกตัวหน่อยดีกว่า...หื้ม? ไฉนพลิกตัวไม่ได้?
หลิงฉางเจวี่ยเพิ่งตื่นจากภวังค์ พอเห็นหลี่หวงที่พยายามพลิกตัวแต่ติดแขนของเขาก็อดหัวเราะไม่ได้
หลิงฉางเจวี่ยขยับใบหน้าเคลื่อนเข้าไปใกล้ข้างใบหูของหลี่หวง และเอ่ยกระซิบขึ้นว่า
“หลับสบายไหม?”
หลี่หวงถึงกับเสียวสันหลังวูบหนึ่ง เพราะเสียงกระซิบข้างหูของนางช่างอ่อนนุ่มหวานฉ่ำอะไรเช่นนั้น ภายในเนื้อเสียงเร้นแฝงความเกียจคร้านอยู่เล็กน้อยในยามเช้า แต่สักครู่ต่อมาหลี่หวงก็รีบดึงสติกลับเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง!
ดวงตาของหลี่หวงเบิกกว้าง แต่...
ไฉนนางถึงอยู่ในท่าสวมกอดกับผู้ชายอยู่?
หลี่หวงเพิ่งพบว่าตัวเองกำลังนอนกอดอยู่ในอ้อมแขนของตัวกลมดิ๊ก มือข้างหนึ่งโอบรอบเอวของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น แต่มืออีกข้างนี่สิ...ไฉนถึงไปล้วงซอกหว่างขาของเขาเฉยเลย
ทั้งหุ่นดี นิสัยอบอุ่น แถมหน้ายังสวยกว่าข้าอีก...
หลี่หวงแอบกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่โดยไม่รู้ตัว
มือข้างที่ล้วงซอกหว่างขาของอีกฝ่ายเผลอขยับซุกซนโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน...
“เดี๋ยวเถอะ!”
หลินฉางเจวี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกล่าวดุไปคำหนึ่ง
“...”
หลี่หวงก้มหน้าก้มตาลงด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน ก่อนจะรีบดึงมือน้อยๆ ของตัวเองออกมาทันที
“เจ้ายังไม่ตอบคำถามข้าเลย”
หลิงฉางเจวี่ยยังคงกล่าวเย้าหยอกต่อไป
คำถาม? คำถามอะไร?
หลี่หวงปั้นหน้างุนงง
แต่เมื่อสบตากับหลิงฉางเจวี่ย เวลานี้นางก็เพิ่งนึกขึ้นได้...
หลับสบายไหม?
เอ่อ...จะให้ตอบว่าสบายงี้เหรอ? บ้าน่า! ข้าเป็นผู้หญิงจะให้ตอบคำถามน่าอายเช่นนี้ได้อย่างไร?
ที่ว่าหลับสบายไหม มันก็สบายจริงๆ นั่นแหละ แต่ใครจะไปกล้าตอบไปตามตรง?
นั่นไม่เท่ากับว่าอีกฝ่ายจะยิ่งได้ใจหรอกรึ?
หลี่หวงเค้นเสียงไอแห้งไปทีสองทีแก้ประหม่า และเอ่ยตอบพร้อมสีหน้าจริงจังว่า
“ก็เฉยๆ ปรับท่านอนอีกสักหน่อยน่าจะดี”
“ฮ่าฮ่าๆๆ ...”
หลินฉางเจวี่ยกลั้นขำไม่ไหวแล้ว เขาระเบิดหัวเราะออกมาทันที
เฉยๆ? ต้องปรับท่านอนอีกสักหน่อยคงดี?
ไฉนเด็กสาวคนนี้ถึงมาเหนือเมฆตลอดเลย?