ตอนที่28 ทรราชหนุ่มเดือดดาล
ตอนที่28 ทรราชหนุ่มเดือดดาล
“ซือซูปล่อยข้าออกไป ข้าจะไปจัดการกับนังจวิ๋นหลี่หวงเอง หลังจากจบเรื่องทุกอย่างข้าไม่บอกแน่ว่าเจ้าเป็นคนปล่อย”
หานชิงกรนเสียงเย็นกล่าวขึ้นคำหนึ่ง
“ฮูหยินใหญ่ท่านอย่ากล่าวเช่นนั้นเลย นางแพศยาคนนี้เป็นสตรีใจทรามแสนต่ำตม หากมีอะไรเกิดขึ้นจริงข้าสัญญาว่าเราจะร่วมรับผิดชอบร่วมกัน!”
“ขอบคุณมากซูซือ! บุญคุณครั้งนี้ข้าจะไม่ลืมเลือน!”
ฮูหยินรองพอใจอย่างมากหลังจากได้เห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่ายและรีบเอ่ยสัญญาขึ้นทันทีเพื่อซื้อใจ
แต่ชั่วขณะต่อมา นางแสร้งปั้นสีหน้ากังวลใจอีกครั้งและไขกุญแจที่จวิ๋นรั่วขโมยมาให้เปิดให้หางชิงวิ่งออกไป
ยามรัตติกาลกลางลานกว้างปราศจากผู้คน ฮูหยินรองถึงกับแสยะยิ้มฉีกกว้างอย่างอดมิได้
การยืมมือคนอื่นฆ่า ช่างเป็นเรื่องเสียจริง!
หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนี้สิ้นสุดลง ไม่เพียงแต่จะสามารภกำจัดนังแพศยาอย่างจวิ๋นหลี่หวงได้เท่านั้น แต่มันยังช่วยให้เส้นทางในอนาคตขอวงบุตรสาวของนางส่องสว่างสดใส!
เมื่อเวลานั้นมาถึง ตระกูลจวิ๋นจะกลายมาเป็นดินแดนของนางทั้งหมด! ชั่วชีวิตนี้ไม่จำเป็นต้องก้มศีรษะให้ผู้ใดอีก!
หานชิงรีบไปเสาะหาที่ที่ไม่มีใครอยู่ หยิบนกหวีดกังไสโบราณชิ้นหนึ่งขึ้นมาจากอกเสื้อ ทำท่าทีลังเลอยู่ครู่หนึ่งจนท้ายที่สุดก็ยอมเป่าออกไป
ปราศจากสุ้มเสียงอันใดกลางห้วงอากาศ แต่หานชิงตระหนักดีว่า‘คนๆนั้น’จะต้องได้ยินเสียงอย่างแน่นอน ไม่ว่าอีกฝ่ายจะอยู่สุดขอบผืนพิภพก็ตาม
“เรียกข้ามาเพราะเหตุอันใด?”
เสียงชั่วขณะต่อมา พลันปรากกฎห้วงมิติฉีกกลางห้วงอาหาศออกมาตรงหน้าหานชิง ชายร่างผอมประกอบคู่ใบหน้าที่อัดแน่นไปด้วยจิตสังหารเดินข้ามผ่านออกมา
“ข้าอยากให้เจ้าช่วยไปฆ่าคน! แล้วก็ช่วยลูกชายข้าออกมา!”
หานชิงจับจ้องอีกฝ่ายอย่างเลือดเย็น ไร้ซึ่งความกลัวจิตสังหารที่คลุมเคลือบบนร่างนั้นเลย
หานชิงในตอนนี้ต่างจากเมื่อก่อนแล้ว
กลิ่นอายความขี้ขลาดก่อนหน้าได้จางหายจนหมดสิ้น
“ขอตำแหน่งกับชื่อ”
“ฮวงจุ้ยที่ดีที่สุดในจวนแห่งนี้นามว่า เรือนบุปผาโปรยปราย มีสตรีพิษอายุประมาณสิบสามปีอยู่ในนั้น มันจับลูกชายข้าขังไว้ภายในนั้น!”
“ได้”
ชายคนนั้นเอ่ยตอบน้ำเสียงเรียบราวกับเป็นเรื่องธรรมดา
เขาผู้นี้เปรียบเสมือนนักฆ่าปราศจากอารมณ์ความรู้สึก
“...”
หานชิงพูดไม่ออกไปอยู่ชั่วขณะที่อีกฝ่ายตอบตกลงอย่างง่ายดายปานนี้ พึงทราบด้วยว่านี่เป็นภารกิจฆ่าคน
“พี่ใหญ่...แล้วที่บ้านเป็นเยี่ยงไรบ้าง?”
หลังจากลังเลอยู่นาน ในที่สุดหานชิงก็ปริปากกล่าวขึ้นอีกครั้ง
และที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ ปรากฏว่าชายตรงหน้าของนางก็คือพี่ชายร่วมสายเลือดของหานชิง! หางกวง!
อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นบุคลิกท่าทางหรือลักษณ์ใบหน้า พวกเขาทั้งคู่ดูไม่คล้ายกันเลยสักนิด คงยากที่จะทราบได้เช่นกันว่า ทั้งคู่เป็นพี่น้องร่วมสายเลือด
“ท่านแม่เสียแล้ว ส่วนน้องสี่ถูกฆาตรกรรมอย่างเหี้ยมโหดนัก”
หานกวงกล่าวตอบอย่างใจเย็นราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ได้เกิดกับครอบครัวของเขาฃ
“!! ท่าน...ท่านว่าอันใด?! ท่านแม่เสียแล้ว...แม้แต่พี่น้องข้าก็...”
หานชิงยกมือปิดปากแน่นสีหน้าตื่นตระหนกไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน มิน่าเล่าว่าเหตุใดท่าทางของพี่ใหญ่ถึงดูเลือดเย็นขึ้นขนาดนี้ ที่แท้ก็ไม่เหลือครอบครัวแล้วนี่เอง...
“พี่ใหญ่...ข้า...”
“นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะช่วยเจ้า หลังจากนั้นเจ้าจงดูแลตัวเอง”
หานกวงจับจ้องหานชิงด้วยแววตาที่ว่างเปล่าปราศจากความรู้สึกใจ
น้องสาวคนนี้ได้ตายไปจากหัวใจของเขานานแล้ว ตั้งแต่ปีนั้นที่แต่งงาน...
ตอนนี้นางเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ใช้สายเลือดร่วมกันกับเขาเท่านั้น
หากมิใช่เพราะนางยืนกรานที่จะแต่งเข้าตระกูลจวิ๋นให้ได้ในปีนั้น ปานนี้ตระกูลหานของพวกเขาคงไม่บ้านแตกสาแหลกขาดอย่างทุกวันนี้
แต่สุดท้ายไม่ว่าจะดีเลวยังไง อีกฝ่ายก็เป็นน้องสาวของเขา หานกวงเกลียดไม่ลงจริงๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ขอช่วยเหลือครั้งสุดท้ายและไม่นับว่ามีบุญคุณติดค้างอะไรกันอีก
หานกวงไม่กล่าวอะไรต่อทั้งสิ้น เขาหายวับจากออกไป
แค่ฆ่าคนให้เสร็จจากนั้นก็ทางใครทางมัน!
แต่น้องสาวคนนี้นับวันยิ่งทำตัวเหมือนสวะขึ้นทุกวันจริงๆ...กับแค่เด็กสาวอายุสิบสามปี ต้องถึงขั้นเรียกเขาให้มาฆ่า?
หานหวงได้แต่ส่ายหัวอย่างดูถูก เกรงว่าน้องสาวคนนี้หาใช่น้องสาวคนเดียวกับที่เขารู้จักในอดีตต่อไป
เขารีบมุ่งหน้าไปยังเรือนบุปผาโปรยปรายทันที
“พี่หลี่หวง...ไฉนในเรือนท่านถึงมืดขนาดนี้? ไยไม่จุดไฟล่ะ? ถ้ายุ่งเดี๋ยวข้าช่วยจุดเอง”
จวิ๋นอี้พยายามกวาดสายตามองไปโดยรอบ นอกจากความเจ็บปวดแล้ว ทุกอย่างรอบตัวของเขาดูมืดมิดไปหมด หรือเป็นไปได้ไหมว่ายามนี้จะดึกมากแล้วกระมัง?
แต่นี่มันไม่ถูกต้องเลย ต่อให้ดึกดื่นป่านใดก็ควรมีแสงจันทร์สาดฉายอยู่บ้าง ทว่าวิสัยทัศน์ที่เขาพบกลับมืดมิดเกินไปจนทำให้เขารู้สึกกลัวเล็กน้อย
หลี่หวงปิดปากเงียบไม่พูดไม่จาอยู่นาน ได้แต่เอาตัวเข้าไปกอดจวิ๋นอี้ไว้ในอ้อมแขน
“พี่หลี่หวง?”
จู่ๆจวิ๋นอี้ก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย บางทีเขาอาจจะตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่างแล้ว
“เสี่ยวอี้นอนเถอะ เดี๋ยวทุกอย่างจะดีขึ้นเอง เชื่อใจพี่สาวคนนี้นะ”
หลี่หวงกระซิบกล่าวเสียงเบา และอุ้มร่างของจวิ๋นอี้ไปยังบนฟูกนอน
จวิ๋นอี้ก็ยอมเข้านอนโดเยไม่มีขัดขืนใดๆ ทว่าหากสังเกตให้ดีบริเวณหางตาของเด็กน้อยกลับมีน้ำตาไหลพรากซึมออกมา
‘ไม่มีอีกต่อไปแล้ว...ดวงตาที่ใสบริสุทธิ์คู่นั้น...’
หลี่หวงถอนหายใจเสียงยาว หยิบผ้าห่มขึ้นมาห่มให้น้องชายอย่างระมัดระวัง พลางถอนหายใจอีกเฮือกหนึ่งและจากออกไป
‘เจ้าก็ไม่ควรพูดว่า เด็กน้อยคนนี้โชคร้ายที่ตายบอด หากต้องเกิดมาในครอบครัวที่สกปรกโสมมเช่นนี้ ดูท่าการที่ไม่เห็นอะไรเลยอาจเป็นเรื่องดีที่สุด...’
สุ้มเสียงของเหยาอวี้ดังก้องในห้วงความคิดของนาง
“คงใช่กระมัง...”
หลี่หวงกระซิบตอบคำถามของเหยาอวี้ เสมือนว่ากำลังคุยกับตัวเองคนเดียว
หลี่หวงกลับเข้าไปในห้องนอนของตนเอง หลังจากจัดระเบียบห้องเล็กน้อยก็เตรียมตัวเข้านอน
คืนนี้ก็ดึกมากแล้ว...
“ใคร!!”
เสี้ยวอึดใจขณะ หลี่หวงลุกขึ้นพลวดจากเตียง คู่นัยน์ตาสีม่วงสาดประกายฉายแววอำมหิตขึ้นหนึ่งส่วนไปทางประตู
นางสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ไม่คุ้นเคยได้หอบหนึ่งจากบริเวณนอกตัวเรือนและ....
ยังแข็งแกร่งมากอีกด้วย!
“เจ้าคือสตรีพิษอายุสิบสามกระมัง? จงเอาชีวิตของเจ้ามา!”
หานกวงย่างเท้าก้าวออกมาจากมุมอับในเรือนห้อง กวัดแกว้งกระคมส่องสะท้อนแสงจันทร์วิบวับ
แสงจันทร์สีเย็นที่สาดสะท้อนเข้ามาจากภายนอกตกกระทบบนคมกระบี้เล่มยาว จะสังเกตเห็นได้ว่าบนตัวกระบี่นั่นเผยรัศมีสีเลือดเจือจางอยู่สายหนึ่ง!
นักฆ่า?!
หลี่หวงเห็นลักษณะท่าทางของชายผู้นั้นพลันเข้าใจในทันที
อีกฝ่ายทนไม่ไหวแล้วกระมัง?
ถึงสั่งให้นักฆ่ามาคร่าชีวิตนางไวปานนี้?
“เจ้าคร่าชีวิตข้าไม่ได้หรอก”
แม้นางจะสู้อีกฝ่ายไม่ได้ หรืแม้จะไม่แม้แต่มองผ่านอ่านระดับพลังบ่มเพาะของอีกฝ่ายได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรนางจะตายไม่ได้! และนางไม่มีวันจบชีวิตลงตรงนี้แน่นอน!
“ถึงพิษของเจ้าจะรุนแรงปต่ปราศจากความเร็ว หากไม่โดนข้าก็เปล่าประโยชน์!”
ระหว่างเอ่ยกล่าว หานกวงกระชับกระบี่พุ่งเข้าโจมตีในทันใด
เพลงกระบี่กระบวนนี้ช่างคล่องแคล้วบิดพลิ้ว การจะหลบเลี่ยงช่างแสนยากเย็น
หลังจากนั้นไม่นาน บนเรือนร่างของหลี่หวงก็เริ่มปรากฏรอยคมกระบี่บาดเล็กน้อยอยู่ทั่ว
“ก็ไม่เท่าไหร่”
หลี่หวงเค้นเสียงเย็นสะท้านเย้ยหยั่นไปคำหนึ่ง ผงพิษที่เดิมทีหลี่หวงกำอยู่ในฝ่ามือ ยามนี้นางได้โปรยกระจายออกไปในอากาศแล้ว ผงพิษชนิดนี้ไร้สีไร้กลิ่น ต่อให้เป็นยอดฝีมือก็ไม่สามารถตรวจจับได้โดยง่าย
หลี่หวงมองชายผู้นั้นที่เผลอสูดดมผงพิษเข้าไปโดยไม่ทันรู้ตัว เพียงเค้นเสียงเย็นแสยะยิ้มให้ทีหนึ่ง
“หึ! เช่นนั้นขอดูเสียหน่อยว่า พิษนี้จะมีดีสักเพียงใด!”
แม้หานกวงจะไม่สามารถสัมผัสถึงการมีอยู่ของผงพิษได้ แต่หลังสูดดมเข้าไปเขาก็พลันรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของร่างกาย ดังนั้นก็เลยตั้งสินใจทิ้งระยะห่างระหว่างการต่อสู้ เพื่อรีบขับพิษออกจากร่างกายก่อน
เขากรอกเทกระแสพลังปราณทั้งหมดของนักอัญเชิญชั้นสูง อัดฉีดไปทั่วร่างกายเสมือนเปลวเพลิงร้อนลุอุหลอมละลายพิษออกไป
ความร้อนดังกล่าวแผ่กระจายออกไปทั่ว กระทั่งอุณหภูมิทั่วทั้งเรือนยังสูงขึ้นถนัดตา!
แย่แล้ว!
เพื่อกระจายผงพิษก่อนหน้า หลี่หวงยอมปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในมุมอับไร้ซึ่งทางหนี เพื่อให้อีกฝ่ายประมาทและสูดดมผงพิษเข้าไป แต่ใครจะไปคิดว่าอีกฝ่ายจะสามารถขับพิษได้รวดเร็วปานนี้
หากรอให้พิษกำเริบก่อนสักนิด บางทีนางอาจจะมีโอกาสชนะมากกว่านี้...
หลี่หวงไม่สามารถหนีไปไหนได้อีกต่อไป เมื่อคมกระบรี่ของหานกวงพุ่งเข้ามาใกล้ นางก็รีบตะโกนเรียกฮั่วหยางดังกึกก้องภายในห้วงความคิด แต่กลับสายเกินไปเสียแล้ว...
หลี่หวงหลับตาทั้งสองข้างสนิท ชั่วขณะต่อมากลับไม่มีอะไรเกิดขั้น พอลืมตาขึ้นมองกลับพบว่าคมกระบี่ยาวตรงหน้ากลับถูกหยุดไว้ด้วยสองนิ้วที่คีบหนีบไว้อยู่....
หลี่หวงมองมือข้างหนึ่งที่โผล่เข้ามาช่วย ก็อดไล่มองขึ้นไปอย่างอดมิได้ว่าเป็นใครกันแน่?
ปรากฏว่าเป็นหลิงฉางเจวี่ย!
ใบหน้าสวยและงดงามประดุจหยกขาวช่างยากเกินอธิบาย ทว่าเวลานี้จากที่โดยปกติ ใบหน้าของชายคนนี้แม้จะเย็นชาแต่ก็ยังเร้นซ่อนความอ่อนโยนไว้ส่วนหนึ่ง แต่ปัจจุบันความอ่อนโยนเหล่านั้นกลับจางหายไปโดยสิ้นเชิง
“ผู้ใดกล้าแตะต้องคนของข้า ผู้นั้นเท่ากับรนหาที่ตาย!”
สองนิ้วของหลิงฉางเจวี่ยที่คีบหนีบคมกระบี่อยู่ออกแรงบิ่นเล็กน้อย เสียง‘ติ๊ง’ดังก้องขึ้นทันใดท่ามกลางความเงียบงัน เขาสามารถหักคมกระบี่ของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดายเพียงใช้สองนิ้ว...