ตอนที่27 หานชิงผู้สับสน
ตอนที่27 หานชิงผู้สับสน
“รั่วเอ๋อร์บอกกับข้าด้วยตัวเอง! สาวรับใช้คนสนิทของนางอย่างเยว่เซียง ถูกจวิ๋นหลี่หวงวางยาพิษจนตาย! และยังกล่าวอีกว่า นางตายอย่างทุกข์ทรมานยิ่งยวด! อีกทั้งจวิ๋นหลี่หวงยังเคยข่มขู่นางด้วยว่า หากไม่ยอมเชื่อฟังจะวางยาให้ตายแบบสาวรับใช้! จวิ๋นหลี่หวงหาใช่เด็กสาวใสซื่อบริสุทธิ์อย่างที่ท่านคิด! นังนี่มันเลี้ยงเสียข้าวสุก!”
“เด็กชั่วเช่นนี้ไม่เคยเห็นค่าของชีวิตอยู่ในสายตา มันต้องฆ่าอี้เอ๋อร์แน่นอน! มันต้องฆ่าอี๋เอ๋อร์ของข้าแน่นอน!”
“นางคงอายุยังน้อยเผลอใช้พิษไปโดยไม่รู้ตัวเท่านั้น! นางไม่ใช่สตรีพิษแต่อย่างใด!”
“ทีแรกข้าเองก็โดนหลอกเหมือนท่าน! ข้าเลอะเลือนไปชั่วขณะถึงหลงขอร้องให้นางช่วย! ตอนนี้ข้ารู้ธาตุแท้ของจวิ๋นหลี่หวงแล้ว มันจะฆ่าอี้เอ๋อร์...”
หานชิงใช้แรงทั้งกหมดที่มีเพื่อแผดเสียงคำรามและสะบัดมือของจวิ๋นจ้านจนหลุดได้สำเร็จ และวิ่งเข้าไปในเรือนบุปผาโปรยปรายโดยตรง
จวิ๋นจ้านตอบสนองทันท่วงที รีบไล่ตามไปติดๆ!
แต่คำกล่าวของหานชิงก็ทำให้จวิ๋นจ้านประหลาดใจเล็กน้อย จวิ๋นหลี่หวงใช้พิษได้จริงๆ เหรอ? แถมรั่วเอ๋อร์เองก็ทราบ?
หรือเป็นไปได้ไหมว่า...ทั้งหมดจะเป็นแผนการของนาง?
แต่เดี๋ยวก่อน...นางเพิ่งจะอายุแค่สิบสามปี จะมีเล่ห์เหลี่ยมขนาดนี้ได้อย่างไร?
แต่เขาก็อดคิดฟุ้งซ่านไปไกลมิได้ เพราะทั้งในเรื่องรูปลักษณ์หน้าตาที่เปลี่ยนไปของหลี่หวง และนิสัยอันลึกลับของนาง โดยรวมแล้วมันชวนให้ผู้คนสงสัยจริงๆ
หากบุกเข้าไปเช่นนี้และไม่พบเจอตัวของชายลึกลับที่หลี่หวงพูดถึง นั่นก็หมายความว่าชีวิตของอี้เอ๋อร์...
แต่ถ้าชายลึกลับมีตัวตนอยู่จริง ด้วยนิสัยของนักหลอมโอสถโดยส่วนใหญ่ที่หยิ่งผยอง หากบุกเข้าไปแบบนี้อาจสร้างความไม่พอใจให้แก่อีกฝ่ายจนไม่ยอมผูกมิตร...
นี่ช่าง...ช่างเป็นสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกโดยแท้!
แต่มันไม่สำคัญอีกแล้ว!
ในตอนนี้ความปลอดภัยของอี้เอ๋อร์สำคัญที่สุด!
“มีคนกำลังเข้ามา!”
เหยาอวี้ตะโกนขึ้นฉับพลันระหว่างที่กำลังช่วยหลอมกลั่นโอสถ ในช่วงเวลาสำคัญขนาดนี้ ไม่ควรให้ใครก็ตามรบกวนได้เป็นอันขาด!
“ฮั่วหยาง! ออกไปหยุดพวกนั้นก่อน!”
หลี่หวงเอ่ยปากสั่งในทันใด เพราะในเวลานี้หลี่หวงไม่อาจเสียสมาธิได้โดยเด็ดขาด นางกำลังใช้ความพยายามอย่างมากในการควบคุมเพลิงบัวโลหิตในการหลอมกลั่นโอสถเม็ดสุดท้าย
เมื่อฮั่วหยางได้ยินดังนั้นมันก็รีบหยักหน้ารับคำสั่ง และพุ่งออกไปด้านนอกอย่างว่องไว ยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าประตูเรือน ปลดปล่อยรัศมีแรงกดดันของสัตว์อสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ออกมาเต็มสูบจนกระจายครอบคลุมไปทั่ว มันไม่มีทางปล่อยให้ใครเข้ามารบกวนเจ้านายโดยเด็ดขาด!
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
พอเห็นหานชิงและจวิ๋นจ้านพุ่งตรงเข้ามาใกล้ มันก็กระทืบเท้าน้อยๆ ของมันดังปัง คำรามเสียงกึกก้อง
เด็กผู้ชายคนนี้มัน...
“เจ้าคือสัตว์อสูรธาตุตนนั้นในงานประมูล!!”
จวิ๋นจ้านโพล่งกล่าวออกมาด้วยความตกตะลึง
ปรากฏว่าคนที่ประมูลสัตว์อสูรธาตุไฟตนนี้ไปก็คือชายลึกลับผู้นั้น?!
การที่จะทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรตนนี้ได้ คาดการณ์ได้ว่าชายลึกลับผู้นั้นคงต้องมีวรยุทธ์สูงส่งอย่างมาก
ทั้งเขาและหางชิงไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายไปไหนได้อีกเลย รัศมีแรงกดดันของสัตว์อสูรระดับศักดิ์สิทธิ์แทบจะบีบเค้นจนทำให้ผู้คนหายใจไม่ออกด้วยซ้ำ
ฮั่วหนางไม่สนใจคำกล่าวของจวิ๋นต้านสักนิด มันไม่รู้จักชายคนนี้ และที่สำคัญที่สุด เจ้านายของมันเองก็ไม่ชอบคนพวกนี้เช่นกัน!
“เจ้าเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมไสหัวไปซะ! ปล่อยให้ข้าเข้าไปเดี๋ยวนี้!”
หานชิงไม่สนใจแล้วว่า เด็กชายตรงหน้านางจะเป็นสัตว์อสูรหรืออะไรก็ช่าง สิ่งเดียวที่นางเป็นกังวลที่สุดมีเพียงชีวิตของบุตรชายอันเป็นที่รักเท่านั้น
“อย่าแม้แต่จะคิด!”
รัศมีแรงกดดันที่แผ่สะพัดออกมาจากร่างฮั่วหยางไม่มีลดละ จนสุดท้ายหานชิงก็หมดแรงฟุบลงกับพื้นไป แต่นางก็ยังไม่ยอมแพ้เพียงเท่านั้น และยังพยายามดิ้นทุรนทุราย!
“ท่านอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้โปรดระงับโทสะ พวกเราแค่อยากรู้ว่าบุตรชายของเราปลอดภัยดีหรือไม่เท่านั้น!”
จวิ๋นจ้านรีบตรงเข้าประคองร่างของหานชิงเอาไว้ แม้แต่เขาไม่สามารถทนต่อรัศมีแรงกดดันสุดแกร่งกล้านี้ไหว แล้วนับประสาอะไรกับหานชิงที่ไร้ซึ่งพลังบ่มเพาะ
แต่เมื่อเห็นฮั่วหยางยืนเฝ้าหน้าประตูอยู่แบบนี้ จวิ๋นจ้านก็มั่นใจอย่างยิ่งว่า ชายลึกลับผู้นั้นจะต้องอยู่ภายในเรือนและช่วยรักษาอี้เอ๋อร์อยู่อย่างแน่นอน เพราะอะไรน่ะรึ? เพราะหลี่หวงเป็นมืออัญเชิญธาตุสายฟ้า จะไปทำสัญญากับสัตว์อสูรธาตุไฟได้อย่างไร?
หรือต่อให้สัตว์อสูรธาตุไฟตนนี้ยอมจำนนให้หลี่หวงทำสัญญาแต่โดยดี นางก็ไม่สามารถทำพันธสัญญาได้อยู่ดี เนื่องจากเป็นเพียงมืออัญเชิญชั้นต้นเท่านั้น
“ทีแรกก็ปลอดภัยดีจนกระทั่งพวกเจ้าเข้ามาขัดจังหวะ! ยามนี้จะเป็นหรือตายเจ้านายของข้าจะพยายามให้ถึงที่สุด ก่อนหน้านี้ใครเป็นคนร้องห่มร้องไห้ขอร้องให้ช่วยเหลือ คงลืมไปแล้วกระมัง?”
ถึงน้ำเสียงอันอ่อนเยาว์ของฮั่วหยางจะฟังดูปราศจากร่องรอยอารมณ์ใดจุนเจือ ทว่ามันก็แฝงไปด้วยความโหดเหี้ยมอยู่ขุมหนึ่ง
“ขะ-เข้าใจแล้ว เช่นนี้ข้าน้อยขอตัว...”
จวิ๋นจ้านรีบพาหานชิงที่ยังคงดื้อรั้นออกไป แต่เมื่อเห็นว่านางเอาแต่แข็งข้อจะเข้าไปให้ได้ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยกมือสับเข้าไปที่ต้นคอของนางจนหมดสติลง แล้วค่อยพานางออกไป
จวิ๋นจ้านไม่สามารถล่วงเกินสัตว์อสูรระดับชั้นนี้ได้
เมื่อฮั่วหยางเห็นว่าทั้งคู่จากออกไปแล้ว มันก็ยังม่ำได้กลับไปไหนและยืนเฝ้าประตูเช่นนั้นดังเดิม ตามคำสั่งของเจ้านายมัน
ตอนกลางคืน
ภายใจเรือนบุปผาโปรยปราย หลี่หวงและเหยาอวี้พยายามกันอย่างหนักจนขึ้นรูปโอสถเม็ดสุดท้ายได้สำเร็จ ในที่สุดเปลวเพลิงสีแดงฉานก็ดับลง
ภายในหม้อหลอมโอสถวิเศษหลงเหลือแค่เพียง โอสถเม็ดใสบริสุทธิ์อยู่เม็ดหนึ่งเท่านั้น
หลี่หวงไม่กล้าปล่อยเวลาให้เสียไปมากกว่านี้แล้ว จึงนับโอสถตบเข้าไปในปากของจวิ๋นอี้โดยตรง
“อ๊ากกก!!!”
จวิ๋นอี้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงร้องตะโกนอย่างเจ็บปวดแสนสาหัส
“เสี่ยวอี้ นี่พี่ใหญ่เอง อดทนไว้ก่อน”
หลี่หวงลูบหลังจวิ๋นอี้อย่างแผ่วเบา ความจำเป็นปานนี้ไม่จำเป็นต้องบรรยายให้มากความ แค่ฟังเสียงก็พึงทราบว่ามันเจ็บปวดยื่งกว่าความตาย
“พี่หลี่หวง ข้าเจ็บตา...เจ็บตาเหลือเกิน...เจ็บใจจะขาดแล้ว!”
จวิ๋นอี้รู้สึกเจ็บจนคิดอะไรไม่ออก รู้สึกเพียงว่าหัวสมองของเขากำลังจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ!
“เด็กดี อีกเดี๋ยวก็ไม่เป็นไรแล้ว...”
หลี่หวงสวมกอดจวิ๋นอี้ในอ้อมแขน พลางเอ่ยปลอบใจน้ำเสียงแผ่วเบา
ไม่ว่าจวิ๋นอี้จะดิ้นรนอย่างไรเนื่องด้วยความเจ็บปวดที่สุดแสนจะอดกลั้น แต่นางก็ทำได้เพียงกระชับกอดป้องกันไม่ให้น้องชายทำร้ายร่างกายตัวเอง
“ท่านพี่! ท่านพี่! ฟังเสียงนั่นสิ! นี่เป็นเสียงของอี้เอ๋อร์! พวกมันต้องกำลังทำร้ายอี้เอ๋อร์อยู่แน่! ท่านพี่ ฮูหยินรอง! ช่วยพาข้าเข้าไปข้างในด้วยเถิด!”
หานชิงได้สติตื่นขึ้นมทาตั้งนานแล้ว นางถูกขังอยู่ในเรือนตำหนักข้างกัน เสียงร้องคร่ำครวญของลูกชายเปรียบเสมือนมีดคมกรีดแทงหัวใจของนางเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“กระบวนการถอนพิษย่อมต้องเจ็บปวดเป็นธรรมดา หานชิง อย่าคิดเพ้อเจ้อ”
จวิ๋นจ้านยืนเฝ้าอยู่นอกประตู ขมวดคิ้วแน่นเอ่ยเตือนสติ
เมื่อไม่นานมานี้ ตอนที่เขาพยายามเข้าใกล้เรือนบุปผาโปรยปรายอีกครั้ง สัตว์อสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ตนนั้นได้กล่าวกับตนว่า จวิ๋นอี้จำเป็นต้องอยู่รักษาตัวในเรือนบุปผาโปรยปรายอีกสักระยะ นอกจากนี้ดวงตาของจวิ๋นอี้ก็ไม่สามารถมองเห็นได้อีกต่อไปแล้ว เนื่องจากพิษร้ายเข้าทำร้ายกระจกตาจนเสียหายหนัก
หลังจากที่ได้ยินแบบนั้น ท่าทีของจวิ๋นจ้านก็เปลี่ยนไป
บึตรชายที่พิการตาบอดจะสามารถสืบทอดกิจการของตระกูลได้อย่างไร?
แต่จวิ๋นจ้านไม่กล้าบอกข่าวร้ายดังกล่าวให้กับหานชิง ตอนนี้หลี่หวงกับชายลึกลับน่าจะถอนพิษให้อี้เอ๋อร์เสร็จสิ้นแล้ว การให้อี้เอ๋อร์อยู่ในเรือนบุปผาโปรยปรายอีกสักพักน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
หากหานชิงทราบว่าบุตรชายของตนตาบอด ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม นางจะต้องจงเกลียดจงชังจวิ๋นหลี่หวงไปตลอดชีวิตแน่นอน
แต่จะอย่างไรแผนการในหัวของจวิ๋นจ้านตอนนี้มันยุ่งเหยิงไปหมด
ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เขาไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากต้องขังหานชิงไว้ในเรือน!
ผู้หญิงยามเสียสติล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้เหตุผลที่สุด
และ...หานชิงมีสถานะที่ค่อนข้างพิเศษ ยากที่จะควบคุมด้วยวิธีอื่น
จวิ๋นจ้านไม่ได้ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกนานนัก หลังจากสักพักหนึ่ง เขาก็เดินกลับไปที่ห้องหนังสือของตน
ตอนนี้เข้าต้องใช้ความคิดอย่างหนักเกี่ยวกับเรื่องทายาทสืบทอดตระกูลจวิ๋นสาขานี้
อย่างไรก็ตาม ไม่นานนักหลังจากที่จวิ๋นจ้านจากออกไป ซูซือก็ลอบปรากฏตัวอยู่ที่หน้าประตูเรือนของฮูหยินใหญ่หานชิง
“น้องซูซือ เจ้าอยู่ตรงนั้นใช่หรือไม่?!”
หานชิงที่ได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ ก็รีบวิ่งตรงมาทุบประตู
“ปล่อยข้าออกไปที! ข้าต้องออกไปช่วยอี้เอ๋อร์!”
“ฮูหยินใหญ่ ท่านต้องใจเย็นลงก่อน”
ฮูหยินรองแสร้งทำเป็นวิตกกังวลและกล่าวกับหานชิงต่อว่า
“ฮูหยินใหญ่ท่านไม่ถนัดบู๊ก็ควรบุ๋นให้เป็น มิเช่นนั้นท่านจะไปเอาชนะนังแพศยาหลี่หวงได้อย่างไร? อย่าว่าแต่การที่ท่านทำเช่นนี้เลย ต่อให้เข้าไปในเรือนบุปผาโปรยปรายได้ ท่านก็พลาดท่าโดนนางทำร้ายเปล่า รอให้นางทำอะไรกับอี้เอ๋อร์ก่อนดีกว่า ถึงยามนั้นเราถึงจะมีหลักฐานมัดตัวมัน! ถึงตอนนั้นนังแพศยาจะต้องเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป!”
“ใช่ ใช่...ใช่แล้ว! ข้าไม่ควรหุนหันพลันแล่น!”
หานชิงพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับคนเสียสติ พอได้ยินว่าลูกชายของนางกำลังตกอยู่ในอันตรายและทำอะไรอื่นไม่ได้นางก็ใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ
ในหัวของนางเสมือนมีแสงสว่างวาบหนึ่งสาดส่อง มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะล้างแค้นนังแพศยาได้!