ตอนที่25 ข้าต้องการเจ้า
ตอนที่25 ข้าต้องการเจ้า
เชาอาศัยใช้ใบหน้าหวานของเขาราวกับหยกขาวเพื่อหลอกล่อและดึงดูดเหยื่อสาวทีละคนให้เข้ามาหา!
นี่มันจิ้งจอกหน้าหยกชัดๆ!
หลี่หวงสรรหาคิดคำนิยามนี้ขึ้นสำหรับใช้อธิบายชายหนุ่มคนนี้โดยเฉพาะ! ไม่มีคำไหนเหมาะไปกว่านี้อีกแล้ว!
สิ่งที่ทำให้หลี่หวงตื่นตระหนกเข้าไปใหญ่คือ ไม่ว่านางจะทำอะไรหรืออยู่ที่ไหน ก็ดูเหมือนกับว่านางวิ่งเต้นอยู่บนฝ่ามือของหลิงฉางเจวี่ยผู้นี้อยู่ตลอด ต่อหน้าต่อตาเขา ความลับทั้งหมดที่เก็บซ่อนอยู่เบื้องหลังกลับหาใช่ความลับอีกต่อไป!
แต่สิ่งที่นางไม่สามารถเข้าใจได้เลยอย่างหนึ่งคือ ชายคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่!
อยากแต่งงานกับนาง? ไปเล่นตรงนู้นไป! อย่าว่าจะใช้คำว่าคนรู้จักเลย เพิ่งพบกันแค่สองสามครั้ง น่าจะเรียกว่าคนแปลกหน้าถึงจะเหมาะที่สุด
หรือยังไง? รักแรกพบงี้? ยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่!
เพราะครั้งแรกที่ได้เจอหน้ากัน หลี่หวงยังเป็นลูกเป็ดขี้เหร่อยู่เลย!
แล้วจะเอาอะไรให้ไปรักไปหลง?
“ข้าต้องการเจ้า...”
ดวงตาคู่สวยของหลี่หวงหรี่แคบลงทันทีราวกับกำลังพบเจออันตราย
“เจ้าคือฮูหยินในนามของข้า”
หลิงฉางเจวี่ยที่เห็นปฏิกิริยาของนางก็ฉายแววผิดหวังวาบหนึ่ง และอดที่จะใช้ไม้แข็งมิได้
“ในนาม?”
หลี่หวงจับใจความสำคัญของประโยคดังกล่าวได้อย่างแม่นยำ
“ข้ามิเชื่อว่าเจ้าจะไม่ทราบความหมายนี้”
“หึ...ความแกร่งกล้าของเจ้าหาใช่ชนชั้นต่ำทราม คาดได้ว่าสถานะศักดิ์คงไม่ธรรมดาเช่นกัน ที่ต้องการแต่งงานกับข้าก็เพื่ออยากให้โลกภายนอกเข้าใจผิดคิดว่า เจ้าเป็นพวกโรคจิตหลงรักเด็กสาว หรือไม่ก็แต่งงานกับขยะชิ้นหนึ่ง? เมื่อถึงตอนนั้นศัตรูของเจ้าที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดก็จะหมดความสนใจไปเองกระมัง? ข้ากล่าวถูกหรือไม่?”
คำกล่าวทั้งหมดถูกหลี่หวงชี้แจงโดยละเอียดในชั่วอึดใจ ทีแรกนางเองก็ใช่ว่าจะเข้าใจจุดประสงค์ของชายคนนี้ แต่เมื่อได้ยินว่า แค่อยากแต่งงานในนามเท่านั้น หลี่หวงก็กระจ่างชัดในทันใด
หลิงฉางเจวี่ยปิดปาดเงียบไม่กล่าวอันใด
อย่างไรก็ตาม การที่เงียบไม่โต้แย้งเช่นนี้ก็ถือเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุดแล้วว่านางคิดถูก
“อันที่จริงแล้วเจ้ามีทางเลือกเดียวคือการตอบตกลง ข้าอยากรู้เสียจริงว่า ถ้าผู้คนรอบตัวเจ้าทราบความจริงทั้งหมด พวกเขาเหล่านั้นจะมีปฏิกิริยาอย่างไร? มีทั้งหม้อหลอมโอสถวิเศษที่คนทั่วหล้าปรารถนา ทั้งยังมีสัตว์อสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ที่แสนหาได้ยาก แค่คิดก็น่าตื่นเต้นแล้วจริงหรือไม่?”
เสมือนว่ามีคมมีดพุ่งเสียบอีกฝ่ายออกมาจากแววตาของหลี่หวง เจ้าหมอนี่กล้าพูดเรื่องแบบนี้ออกมาได้อย่างสบายใจจริงเชียว?
มันกำลังข่มขู่ข้า
และถ้าความจริงทั้งหมดที่นางพยายามเก็บซ่อนถูกเผยแพร่ออกไป นี่ถือเป็นหายนะ!
“เช่นนั้นข้าตอบตกลง”
ภายใต้สถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ นางมิอาจปล่อยให้ตัวเองเสียเปรียบไปมากกว่านี้แล้ว เสียพรมจรรย์ยังดีกว่าเสียชีวิต นางคิดแบบนั้น
เมื่อหลิงฉางเจวี่ยเห็นหลี่หวงตอบตกลงแทบจะในทันทีเช่นนี้ เขาก็อดหัวเราะไม่ได้
สาวน้อยคนนี้น่ารักเสียจริง
ทันใดนั้นเขาก็หยิบสิ่งของสองชิ้นออกมาจากแหวนมิติ
“นี่คือของหมั้น”
“....”
หลี่หวงกลอกตามองบนใส่หลิงฉางเจวี่ยไปหนึ่งกรุบ นางเพิ่งตอบตกลงไป แล้วมีหรือจะเอาของกำนันพวกนี้?
หลี่หวงคว้าของทั้งสองชิ้นมาในมือโดยไม่มีเกรงใจ
เป็นกระบี่หนึ่งเล่ม และตำราเพลงกระบี่อีกหนึ่งเล่ม
“อีกไม่นานเจ้าจะต้องกลับเมืองหลวงพร้อมข้า”
“เข้าใจแล้ว”
หลี่หวงกำลังจดจ่อให้ความสนใจกับสิ่งของทั้งสองสิ่งในมือ จึงเอ่ยตอบหลิงฉางเจวี่ยไปแบบส่งๆ
หลินฉางเจวี่ยจับจ้องใบหน้าอันน่ารักของหลี่หวงก็อดที่จะเอื้อมมือขึ้นลูบหัวไม่ได้
หลี่หวงก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด ปล่อยให้อีกฝ่ายลูบได้ตามใจชอบ เพราะถึงอย่างไรขัดขืนไปก็ไม่มีประโยชน์
นางไม่สามารถเอาชนะเขาได้ในเวลานี้ แต่เมื่อใดที่ระดับพลังบ่มเพาะของนางใกล้เคียงกับอีกฝ่ายแล้ว เมื่อนั้นมันตาย!
แต่พอหลี่หวงได้สติขึ้นมาอีกครั้ง นางก็พบว่าหลินฉางเจวี่ยหายไปตัวไปเสียแล้ว
หมอนี่จากไปตั้งแต่เมื่อไหร่?
“เหยาอวี้ เจ้าทราบหรือไหมว่า อีกฝ่ายจากไปตั้งแต่ตอนไหน?”
“ไม่รู้สิ”
เหยาอวี้ที่ได้ฟังดังนั้นพลันนึกสงสัยเช่นกันว่า ทำไมจู่ๆข้าถึงหายวับจากไปในเสี้ยวพริบตา
แต่จะอย่างไรเหยาอวี้ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เพราะเขาสัมผัสได้ว่า ชายคนดังกล่าวมิได้มีความเกลียดชังต่อเจ้านายของมันอะไรเลย
“ทั้งสองชิ้นนี้ล้วนแต่เป็นของดี”
เหยาอวี้เหลือบมองสิ่งของทั้งสองภายในมือหลี่หวงพร้อมเอ่ยทัก
“หื้ม? เจ้ารู้จัก?”
“กระบี่เทพฤทัย กับตำรากระบี่ฤทัยรู้แจ้ง”
กลับเป็นเจ้าวิหคเพลิงตัวน้อยที่กระโดดมาเกาะไหล่หลี่หวง และอาสากล่าวขึ้นแทนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“เอ๋?”
มันชื่อกระบี่เทพฤทัย?
ความสามารถหลักของนักอัญเชิญคือการสำแดงใช้พลังปราณ ต่อให้เป็นการต่อสู้ในระยะประชิด ก็ยังสามารถใช้ไม้กายาสิทธิ์ป้องกันตัวเองได้ นั่นหมายความได้ว่า การที่ทุกคนใช้ไม้กายาสิทธิ์ในการต่อสู้นับเป็นเรื่องธรรมดามาก แต่ที่ให้กระบี่มามันหมายความว่ายังไง?
“ฮ่าฮ่า นายท่านโง่จัง! นายท่านโง่จัง!”
เจ้าวิหคเพลิงตัวน้อยชูนิ้วก้อยออกมาจิ้มแก้มนุ่มนิ่มของหลี่หวงไปทีสองที
“เห็นหรือไม่? หาใช่ข้าพยายามใส่ความว่าท่านโง่ แต่ขนาดคนอื่นเองยังด่าท่านโง่เลย เพราะท่านมันโง่จริงๆ!”
เหยาอวี้หัวเราะเยาะไปทีหนึ่งพลางยักไหล่ให้
“หื้ม? เจ้าพูดอีกทีสิ? หูข้างซ้ายที่อื้อไปหายดีแล้วกระมัง? อยากโดนบ๋องหูขวาด้วยหรือไม่?”
น้ำเสียงของหลี่หวงดูเย็นชืดลงในพริบคตา
สงสัยไอ้เด็กเปรตตัวนี้ไม่รู้จักหลากจำ
“เปล่า! เปล่า! ข้ามิได้กล่าวอะไรทั้งนั้น...”
เหยาอวี้กลืนน้ำลายอึกหนึ่งแสนยากลำบาก หันวับไปจับจ้องเจ้าวิหคเพลิงที่เอาแต่ปั้นสีหน้าไร้เดียงสา
“กระบี่เทพฤทัย เป็นหนึ่งในศาสตราวุธเทวะที่เก่าแก่ที่สุดในทวีปม่านเมฆา ได้รับสมยานามว่า สุดยอดกระบี่แห่งใต้หล้า ส่วนตำราเพลงกระบี่ฤทัยรู้แจ้งเองก็ถือเป็นวิชาคู่กายของกระบี่เล่มนี้ ทั้งสองสิ่งล้วนเป็นของวิเศษ ตราบใดที่ท่านฝึกปรือเพลงกระบี่ฤทัยรู้แจ้งแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องไปร่ำเรียนวิชากระบี่อื่นให้เสียเวลาแล้ว เมื่อใดที่ฝึกปรือสำเร็จ แค่ย่างท่าเท้าผู้คนทั่วสารทิศก็ยำเกรงแล้ว”
เจ้าวิหคเพลิงน้อยกล่าวอธิบายต่อ
“แล้วข้ายังต้องใช้ไม้กายาสิทธิ์อยู่หรือไม่? เพราะเดิมทีข้าตั้งใจจะฝึกกระบี่ให้มีวิชาติดตัวเฉยๆ”
“ไม้กายาสิทธิ์? เจ้าโง่! มีของดีขนาดนี้แล้วยังจะอยากใช้ไม้กายาสิทธิ์อีกงั้นรึ? ประโยชน์ของไม้กายาสิทธิ์เพียงหนึ่งเดียวคือ ช่วยปรับสมดุลระหว่างพลังปราณในร่างกายนักอัญเชิญให้เสถียรและง่ายต่อการใช้คาถา ส่วนที่เหลือไม่มีอะไรดีเลยนอกจากใช้เกาหลัง! แล้วที่สำคัญที่สุด พลังวิญญาฯของเจ้าเองก็มีมหาศาลและแข็งแกร่งมาก สามารถควบคุมพลังปราณในร่างกายได้สบายๆ แล้วยังจะคิดใช้ไม้กายาสิทธิ์อีกรึไง? นี่แหละ...ก็เพราะเป็นแบบนี้จะไม่ให้ข้าด่าว่าโง่ได้ยังไง!”
“…”
พอพูดแบบนี้ฟังแล้วมันก็มีเหตุผลอยู่บ้างจริงๆ
“รีบหยดโลหิตให้กระบี่เล่มนี้ยอมรับเป็นเจ้านายได้แล้ว”
เหยาอวี้เร่งเร้า
หลี่หวงพยักหน้าและกัดนิ้วจนฉีกเป็นแผลเล็กๆ หยดเลือดหนึ่งหยดลงไปตัวกระบี่โดยตรง
ทันทีทันใดพลันปรากฏประกายแสงสลัวขึ้นจากตัวกระบี่วูบวาบ ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับมาสงบอีกครั้ง
หลี่หวงรู้สึกได้ว่า ภายใต้จิตสำนึกของตัวนางได้เชื่อมโยงกับกระบี่เทพฤทัยเรียบร้อยแล้ว
“คุณหนูใหญ่ บ่าวมีข่าวมาแจ้ง”
ขณะที่หลี่หวงกำลังจะตั้งท่าทดสอบกระบี่ ทันใดนั้นเสียงของคนรับใช้ก็ดังขึ้นจากด้านนอก
“เข้ามา”
หลี่หวงเก็บกระบี่เทพฤทัยและตำราเพลงกระบี่ลงในแหวนมิติส่วนตัวของตนทันที ส่วยเหยาอวี้กับเจ้าหงค์เพลิงตัวน้อยต่างก็แยกย้ายกันกลับที่ใครที่มัน
เมื่อคนรับใช้เปิดประตูเข้ามา ก็พบว่าหลี่หวงกำลังนั่งจิบชาอย่างสบายอารมณ์อยู่
“คุณหนูใหญ่ ท่านประมุขมีคำสั่งให้ท่านไปพบที่โถงเรือนหลักโดยเร็วที่สุด”
สีหน้าของคนรับใช้ผู้นี้ดูจริงจังอย่างมาก แถมไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ด้วย ข้าขอเดาว่าอาจจะมีเรื่องอะไรบางอย่าง?
“ไปกันเถอะ”
คนรับใช้รีบเร่งนำทางหลี่หวงไปยังโถงเรือนหลักทันที ตั้งแต่ที่ระดับพลังบ่มเพาะของนางเพิ่มขึ้น แม้แต่เวลาเดินเฉยๆนางยังสัมผัสได้ว่าร่างกายของตนเบาหวิวต่างจากก่อนหน้าลิบลับ ต่อให้เดินรอบเมืองก็ไม่น่าจะเหนื่อย
ณ โถงเรือนหลัก ในขณะนี้เต็มไปด้วยเสียงดังอึกทึกครึกโครม เมื่อนางมาถึงก็พบฮูหยินใหญ่หานซิงกำลังร้องห่มร้องไห้ไม่หยุดหย่อน ขณะที่ฮูหยินรองซูซือยืนอยู่เคียงข้างด้วยสีหน้าเย็นชา แต่พินิจจากท่าทางแล้วดูค่อนข้างภาคภูมิใจ ส่วนจวิ๋นรั่วเองก็ยืนอยู่ไม่ห่างอย่างเงียบงัน สีหน้าก็ไม่ค่อยสู้ดีนักเช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้น?”
หลี่หวงย่างเท้าตรงเข้ามาอย่างแช่มช้า เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเช่นเดิม
“หลี่หวง! ช่วยป้าหานด้วย! ช่วยอี้เอ๋อร์ด้วยเถิด! ขอร้องล่ะ!”
เมื่อเห็นหลี่หวงมาถึง หานชิงก็รีบวิ่งออกไปคว้ามือของนางเอาไว้พร้อมเอ่ยปากขอร้องไม่หยุดหย่อน ราวกับว่าหลี่หวงเป็นฟางเส้นสุดท้ายของตนแล้ว จนสุดท้ายนางทรุดตัวล้มลงกันพื้นอย่างทุลักทุเล กอดชายกระโปรงของหลี่หวงไว้แน่น ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างเดียว
“...เกิดอะไรขึ้นกับน้องสาม?”
หลี่หวงสับสนอย่างมากในขณะนี้ แต่พอสงบสติอารมณ์ลงได้ นางก็พบว่าใจกลางฝูงชนมีเด็กคนหนึ่งที่กำลังนอนโทรม มีกลิ่นอายพิษกระจายออกมา!
“อี้เอ๋อร์ถูกวางยาพิษ! หมอจากหอโอสถเองก็ไม่สามารถวินิจฉัยอาการได้ เจ้า...เจ้าช่วยเชิญนักหลอมโอสถท่านนั้นมาช่วยชีวิตอี้เอ๋อร์ได้หรือไม่?”
จวิ๋นจ้านเอ่ยกล่าวขึ้นเสียงหนึ่ง ตอนนี้คนที่มีสีหน้าแย่ที่สุดคงหนีไม่พ้นเขานี่แหละ
เพราะอี้เอ๊อร์เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของเขา!
ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วนอกจากต้องเชิญหลี่หวงมาแบบนี้
หลี่หวงแหวกฝูงชนออกไป ก็เห็นจวิ๋นอี้ที่กำลังนอนสลบไสลอยู่ในอ้อมแขนของจวิ๋นจ้าน ที่แท้ต้นต่อกลิ่นอายพิษทั้งหมดก็มาจากจวิ๋นอี้นี่เอง!
“โอ๊ย..ข้าอยากจะหัวร่อท้องแข็ง นักหลอมโอสถแต่ละท่านล้วนมีสถานะสูงส่งและหยิ่งยโสยิ่งนัก คนอย่างคุณหนูใหญ่มีหรือจะไปรู้จักผู้คนระดับนั้นได้อย่างไร...”
ฮูหยินรองที่อยู่ด้านข้างกล่าวเยาะเย้นขึ้น