ตอนที่23 ไม่มีสมอง
ตอนที่23 ไม่มีสมอง
หลับนี่นะ!
เจ้าเด็กนี่เผลอหลับไป!
ภายใต้สภาพแวดล้อมที่โดนขังกรง ถูกเคลื่อนย้ายเสียงดังสารพัด แต่ยังหลับลงอีกเหรอ!
นอกจากนี้ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กนี่กำลังฝันหวานอยู่อีก! ใบหน้าเด็กจิ๋วดูอวบอิ่มน่ารักไม่น้อยเลย! เสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอดังขึ้นหูหลี่หวง ทำเอานางรู้สึกหัวใจพองโตขึ้นทันที
“หรือว่าสัตว์อสูรระดับนี้มันไม่กลัวอะไรกับกรงขังแค่นี้อยู่แล้ว?”
หลี่หวงรำพึงรำพันกับตนเอง
ไฉนช่วงทั้งที่อยู่ในช่วงเวลาแบบนี้แต่กลับไม่รู้สึกถึงวิกฤต?
แต่ไม่มีทางเลือกอื่น
จะให้นั่งรอจนเจ้าเด็กนี่ตื่นคงเช้าพอดีกระมัง!
ช่างเถอะ ลองทำเสียงอะไรให้ตื่นดูก่อน
ตึง!
หลี่หวงเปิดกรงทำให้เกิดเสียงดังเล็กน้อย
“งือ?”
เจ้นเด็กผู้ชายตัวน้อยเอ่ยขึ้นเสียงหนึ่งด้วยความสะลึมสะลือ ลืมตาขึ้นเจือสีหน้าเกียจคร้าน
หลี่หวงหยิบโอสถเม็ดหนึ่งออกมาและยัดเข้าปากน้อยๆของอีกฝ่ายโดยตรง
“กินลูกกวาดเร็ว”
“หวานจัง หวานจัง...”
เด็กผู้ชายตัวน้อยหัวเราะคิกคักแต่ยังคงเจือท่าทีสะลึมสะลือ ดูท่าเจ้าเด็กนี่จะชอบกินลูกกวาด!
“นอนต่อเถอะ เดี๋ยวพี่สาวผู้นี้พากลับบ้าน”
หลี่หวงกล่าวจบก็กล่อมอีกฝ่ายให้หลับไป น้ำเสียงที่เปล่งร้องช่างอ่อนโยนราวกับพี่สาวแท้ๆที่กำลังกลอมน้องชายตัวน้อยนอนด้วยความรักใคร่
แต่แน่นอน...ทั้งหมดเป็นเพียงภาพลวงตา
ลืมไปแล้วรึว่า...หลี่หวงเป็นใคร?
โอ้เอ้~
หลี่หวงอุ้งเจ้าตัวน้อยขึ้นมาพักบนไหล่ โยกซ้ายโยกขวาไปมาเพื่อกล่อมเด็กให้หลับ
“หลับนะลูก หลับนะลูก~”
“....”
หลี่หวงร้องเพลงกลอมเสียงหวานพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม เจ้าตัวน้อยที่อยู่ในท่านอนสบายในอ้อมกอดของนาง สักพักหนึ่งศีรษะอีกฝ่ายก็ฟุบลงบนบ่า และหลับไปอีกครั้งโดยไม่ทันรู้ตัว
เพียงเสี้ยวพริบตา อุณหภูมิทั่วร่างของเจ้าตัวน้อยที่แต่เดิมร้อนระอุ ยามนี้ก็เย็นลงมากแล้ว
เจ้าตัวน้อยหลับไปโดนไม่ทันรู้สึกรู้สาอะไร...
‘ข้ารู้สึกว่านายท่านจะต่ำตมเกินไปแล้ว...’
เหยาอวี้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ส่งเสียงบนอยู่ในห้วงความคิดของหลี่หวง
‘ห๊ะ? เมื่อครู่เจ้ากล่าวอันใด?’
‘เปล่า! เปล่า! ข้าหมายถึงนายท่านช่างฉลาดแยบยล!’
‘ดี ดี อยู่เป็นหนิ’
หลี่หวงมองเจ้าตัวน้อยในอ้อมแขนพลันแสยะยิ้มแสนชั่วร้ายออกมา โอสถที่นางเพิ่งให้ไปหาใช่ลูกกวาดหรือโอสถเสริมพลัง แต่เป็นโอสถสลายพลังระดับสูง ไม่เพียงแต่จะทำให้ผู้ทานสูญเสียพลังบ่มเพาะไปชั่วขณะหนึ่ง แต่ยังเป็นยานอนหลับชั้นเยี่ยมที่มีผลกับทั้งมนุษย์และสัตว์อสูร
อย่างไรก็ตามสัตว์อสูรที่มีรูปรร่างเหมือนมนุษย์แบบนี้ คาดได้ว่าฤทธิ์โอสถคงกดประสาทอีกฝ่ายไว้ได้ไม่นาน
ทว่าตามหลักแล้ว สัตว์อสูรที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์มักจะมีสติปัญญาที่สูงกว่าสัตว์อสูรทั่วไปมาก แต่ไฉนเจ้าเด็กนี่ถึงหลอกง่ายนัก?
แต่เห็นได้ชัดว่านี่หาใช่เวลามาคิดหาคำตอบกับเรื่องพรรค์นี้ ฤทธิ์โอสถคงอยู่ได้อีกไม่นาน นางต้องรีบทำพันธสัญญากับเจ้าเด็กนี่ก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน!
หลี่หวงใช้มือทั้งสองข้างแนบไปที่แผ่นหลังของเจ้าตัวน้อย ขยับปากเอ่ยพึมพำท่องคาถาอะไรสักอย่าง
“ประทับสัญญา!”
เมื่อคำกล่าวสุดท้ายเอ่ยจบ ฝ่ามือทั้งสองข้างของหลี่หวงที่ประทับอยู่บนแผ่นหลังเจ้าตัวน้อยก็ปรากฏวงแหวนแห่งพันธสัญญาสีแดงเพลิงขึ้น!
ยิ่งแสงเปล่งประกายเจิดจ้าก็ยิ่งทำให้อุณหภูมิโดยรอบเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด!
เฉพาะช่วงเวลานี้ หลี่หวงอุทานกับตัวเองขึ้นทันทีว่า เจ้าเด็กนี่จะต้องเป็นสัตว์อสูรสายเลือดบริสุทธิ์มากแน่นอน!
มิฉะนั้นพันธสัญญาแห่งไฟที่ปรากฏคงไม่สามารถทะลุจุดเดือดได้สูงปานนี้
วงแหวนพันธสัญญาเพิ่งหายไป ทันทีทันใดพลันปรากฏวงแหวนแห่งพัฒนาการใต้เท้าของหลี่หวง!
วงแหวนแห่งพัฒนาการคือสัญญาของนักอัญเชิญที่กำลังเลื่อนระดับชั้น!
วงแหวนทั้งเจ็ดสีหมุนติ๊วใต้เท้าของหลี่หวงด้วยความไวสูง ทุกรอบที่บรรจบกันหนึ่งครั้ง ระดับพลังบ่มเพาะของหลี่หวงจะเพิ่มขึ้นหนึ่งดาว!
เพียงพริบตาเดียว วงแหวนได้หมุนบรรจบกันครบสิบแปดรอบ!
และบัดนี้หลี่หวงก็ทะลวงขึ้นกลายเป็นนักอัญเชิญที่แท้จริงแล้ว!
นักอัญเชิญชั้นกลางเก้าดาว!
คนในวัยเดียวกันไม่มีใครสามารถไล่ตามระดับพลังบ่มเพาะของนางได้!
นางเพิ่งเลื่อนขั้นรวดเดียวถึงสิบแปดดาว และดูเหมือนว่าเจ้าตัวน้อยจะได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ทันใดนั้นสุ้มเสียงของเหยาอวี้ก็ดังก้องขึ้นมาในหัวของนาง น้ำเสียงเร้นแฝงความอยากรู้อยากเห็นอยู่หนึ่งส่วน
“เจ้ารู้จักชื่อเจ้าหนูน้อยรึยัง?”
“เขาชื่อจูวเฉวียง”
จูวเฉวียง...
หลี่หวงเหมือนว่าจะรู้อะไรบางอย่าง
“พวกเรากลับกันก่อนเถอะ”
หลี่หวงพึมพำขึ้นคำหนึ่งและยังคงอุ้มจูวน้อยอยู่ในอ้อมแขนออกไปข้างนอก
ตอนนี้นางเลื่อนชั้นขึ้นเป็นนักอัญเชิญชั้นกลางระดับเก้าแล้ว และสามารถใช้ทักษะของนักอัญเชิญบางชนิดได้แล้ว!
ห้องรับรองหมายเลขสอง
“นะ-นะ-นะ-นาง...นางออกไปแล้ว!”
หลิงเฟิงรีบชี้นนิ้วไปที่ภาพฉาก บนนั้นไม่มีใครอยู่ในห้องอีกต่อไปแล้ว!
พี่สะใภ้เก้าเพิ่งทำสัญญากับสัตว์อสูรไปหมาดๆ หรือสมองจะโดนเพลิงเมื่อครู่เผาไปแล้ว? ถึงได้เดินออกไปพร้อมกับสัตว?อสูรตนนั้นอย่างเปิดเผยเช่นนี้? ไม่กลัวเป็นที่ดึงดูดรึอย่างไร? หากโดนตามล่าขึ้นมาจะทำยังไง?!!
“สมองเจ้าร่วงหายระหว่างทางกระมัง? นักอัญเชิญชั้นกลางมีทักษะซ่อนอสูรแล้ว”
“....”
นั่นสิ!
ปรากฏว่ากลับเป็นข้าเองที่ไม่มีสมอง!
นักอัญเชิญชั้นกลางจะสามารถใช้ทักษะอัญเชิญหรือที่เรียกกันว่า คาถาอัญเชิญ ได้เพื่อเรียกและเก็บซ่อน ทั้งยังสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ของสัตว์อสูร ไม่ให้คนอื่นๆสงสัยได้อีกด้วย
ซึ่งหลี่หวงเลือกที่จะเปลี่ยนรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายให้เป็นเด็กผู้ชายตัวน้อยแสนธรรมดา ภาพฉากที่คนอื่นเห็นคือ พี่สาวกับน้องชายที่ดูรักใคร่กลมเกลียวกันคู่หนึ่งเท่านั้น
แต่ดูเหมือนจะลืมไปสนิทเลยว่า คนธรรมดาไม่สามารถทำสัญญากับสัตว์อสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ได้ และแน่นอนว่านักอัญเชิญชั้นกลางเองก็ทำไม่ได้เช่นกัน
หลิงเฟิงที่พลันนึกถึงจุดนี้ได้ก็รู้สึกฉลาดขึ้นทันทีเล็กน้อย
“เดี๋ยวก่อน มันไม่ถูกต้อง หลังจากที่พี่สะใภ้เก้าทำสัญญากับสัตว์อสูรแล้ว ก็มีวงแหวนแห่งพัฒนาการโคจรสิบแปดรอบบรรจบ จนนางขึ้นกลายมาเป็นนักอัญเชิญชั้นกลางเก้าดาว นั่นไม่ได้หมายถึงว่า...ก่อนทำสัญญานางเป็นแค่มืออัญเชิญชั้นต้นหรอกรึ? แล้วมืออัญเชิญชั้นต้นสามารถทำสัญญากับสัตว์อสูรได้อย่างไร?”
นี่จะเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
หลังเฟิงที่ได้รับรู้เช่นนั้นก็หงุดหงิดมาก!
“เดิมทีนางก็แตกต่างจากคนทั่วไปอยู่แล้ว”
หลิงฉางเจวี่ยเอ่ยกล่าวเสียงเรียบ
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ต้องการจะอธิบายให้มากความ
แต่นี่ทำให้หลิงเฟิงสติแตกกว่าเดิม
“แต่ข้าไม่ยอมรับ!”
“หยุดสร้างปัญหาได้แล้ว มีข่าวส่งมาจากเมืองราชาภูตเพิ่มเติมหรือไม่?”
สีหน้าการแสดงออกของหลิงเฟิงดูน้อยเนื้อต่ำใจ ชั่วขณะพลันเงียบสงัดลงและกล่าวน้ำเสียงเย็นชาเอ่ยขึ้นว่า
“ผู้อาวุโสบอกจะทำตามคำขอของพี่เก้า ยามนี้พวกเขาตัดสินใจละทิ้งเรื่องการตามล่าหม้อหลอมโอสถวิเศษไปแล้ว เพียงแต่...คนพวกนั้นต้องการสิทธิ์ที่นั่งเพิ่มเติม”
“ได้ แต่ข้าต้องเป็นคนเลือกเอง”
“ตกลง เช่นนั้นข้าจะรีบส่งสาสน์กลับไปแจ้งให้พวกเขาทราบ”
หลิงเฟิงขยี้ตาเล็กน้อย
“พี่เก้า พวกเราจะกลับเมืองหลวงเมื่อใด? ข้าคิดถึงพี่ใหญ่...”
“พรุ่งนี้เจ้าออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อน”
“แล้วพี่เก้าล่ะ?”
“บรรดาพี่ชายทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายต่างไม่ชอบขี้หน้าของข้ากันทั้งนั้น จะให้กลับไปเพื่ออันใด?”
หลิงฉางเจวี่ยกล่าวติดตลก น้ำเสียงฟังดูอ่อนโยนและเศร้าใจในเวลาเดียวกัน
“พี่เก้า!”
“ข้าจะกลับไปในอีกสองสามวันข้างหน้า”
หลิงฉางเจวี่ยเอ่ยตอบแบบขอไปที ภายในใจพลางครุ่นคิด ถึงแม้สาวน้อยของเขาจะมีปีกที่สมบูรณ์ ทว่าเขากลับรู้สึกกังวลใจอยู่
และที่สำคัญเขายังมีเรื่องที่ยังมิได้จัดการให้เสร็จสิ้นดี
“ได้! งั้นข้าจะรอกลับเมืองหลวงพร้อมพี่เก้า!”
“แล้วถ้าพี่ยังไม่กลับอีก คราวนี้ข้าจะระเบิดเมืองนี้ทิ้งซะ!”
“วางใจเถิด”
หลิงฉางเจวี่ยส่งสายตาที่อสนอบอุ่นหัวใจให้แก่น้องชายของตน
แม้ว่าหลิงเฟิงอยากจะเชื่อใจเพียงใด แต่....ถึงกระนั้นพี่เก้าตรงหน้าค่อนข้างมีประวัติยาวเป็นหางเว่า ดังนั้นแล้ว...
เอาเถอะ! ช่างมัน! ข้าทนต่อสายตาอันอ่อนโยนของพี่เก้าไม่ไหว!
หากพี่เก้าของข้าเป็นสตรีเพศ บางทีอาจมีล้ำเส้นพี่น้องกันแล้ว!
ณ ตระกูลจวิ๋น
“ครั้งนี้ไม่เพียงแต่ชวดโอสถเปลี่ยนโฉมเท่านั้น แม้แต่อสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ธาตุไฟก็ยังไม่ได้! ตระกูลจวิ๋นของเราเคยขี้ขลาดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด!”
จวิ๋นจ้านเดือดดาลจัด เมื่อเขากลับถึงจวนก็ขังตัวเองอยู่ในห้องหนังสือทันที
ไม่ว่าอย่างไร สถานะของตระกูลจวิ๋นถือได้ว่าปกครองแผ่นฟ้าเหนือเมืองหงเฟิงอยู่นาน แต่ไฉนวันนี้ถึงได้มีผู้คนมากมายปรากฏตัวขึ้นเป็นศัตรูกับตระกูลจวิ๋นได้!
“เดิมทีข้าตั้งใจจะส่งสัตว์อสูรธาตุไฟตนนี้ให้ฉีเอ๋อร์ เพื่อยกระดับฐานบ่มเพาะพลังของนางให้สูงยิ่งขึ้นไป แต่ใครจะไปรู้ว่ากลับมีบุคคลนิรนามชิงเอาไปต่อหน้าต่อตา!”
“ข้ามิทราบเลยว่า ตอนนี้ฉีเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าเด็กนี่ไม่คิดจะส่งจดหมายกลับมาหาเลยจริงๆ!”
“ตอนนี้เข้าคนชั่วที่บังอาจประมูลโอสถเปลี่ยนโฉมตัดหน้าไปก็ลอยนวลไปแล้ว สงสัยเสียเหลือเกินว่า ข้าจักต้องใช้เวลาอีกกี่ปีกันกี่เดือนกัน จึงจะได้เห็นโอสถเม็ดนี้อีกครั้ง...”
“ไฉนเวลานั้นข้าถึงไม่กัดฟันเสนอราคา200เหรียญผลึกมณีไป! หากข้าใจกล้าอีกสักหน่อย...”
พอจวิ๋นจ้านคิดได้ดังนั้นก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาทันที
200เหรียญผลึกมณีมีค่ามากเพียงใด? หากให้เปรียบเทียบง่ายๆมันก็เท่ากับ รายได้รวมทั้งหมดของตระกูลจวิ๋นตลอดหนึ่งปีเต็ม!
ดังนั้นแล้ว จะบอกว่าหากใจกล้าอีกสักหน่อยคงไม่ได้เช่นกัน
“ช่างเถอะ...ข้าได้ส่งคนไปติดตามหาร่องรอยของเจ้าคนที่ได้โอสถเปลี่ยนโฉมและสัตว์อสูรธาตุไฟไปแล้ว หากเจอตัวพวกมันเมื่อไหร่...ฆ่าทันที!”
“ช่วงระยะให้หลังมีปัญหารุมเร้ามากมายเสียจริง...ยังหาคนร้ายวางยารั่วเอ๋อร์กับหลี่หวงก็ไม่เจอ แล้วไฉนหลี่หวงถึงฟื้นตัวช้าเพียงนี้กัน...”
“เฮ้อ...”