ตอนที่21 สัตว์อสูรคล้ายมนุษย์
ตอนที่21 สัตว์อสูรคล้ายมนุษย์
“รอยยิ้มของนางน่ามองยิ่งนัก แต่ก็...น่ากลัวราวกับปีศาจ....”
หลิงเฟิงมองอีกด้านหนึ่งของภาพฉายด้วยความเคลิบเคลิ้ม ก่อนจะขนลุกขนชันไปทั้งตัวเมื่อสบเข้ากับนัยน์ตาสีม่วงคู่นั้นของหลี่หวง
ฝ่ามือของหลิงฉางเจวี่ยค่อยๆ เงื้อขึ้นเตรียมเขกใส่ศรีษะของน้องชายอีกโป๊ก แต่แล้วกลับหยุดชะงักอยู่กลางคันเสียก่อน!
เพราะคำพูดของหลิงเฟิงต่อจากนั้น
“เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่านางช่างเหมือนกับ...”
หลิงเฟิงเกาหัวแกรกอย่างไม่เข้าใจ แต่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรเอ่ยออกไป เขาจึงรีบหันกลับไปเพื่อจะขอโทษหลิงฉางเจวี่ยทันที
“พี่เก้า! นี่ท่านเงื้อมือจะเขกหัวข้าอีกแล้วเหรอ!?”
หลิงเฟิงรีบกระโดดออกห่างจากพี่เก้าอย่างรวดเร็ว อุทานลั่นด้วยความตกใจ
หลิงฉ่างเจวี่ยปิดปากเงียบไม่พูดไม่จา เขาค่อยๆวางมือลงกับพนักเก้าอี้ดังเดิม ก่อนจะหันกลับไปสนใจกับงานประมูลต่ออย่างเงียบงัน
เขารู้แก่ใจดีว่าหลิงเฟิงกำลังจะกล่าวถึงผู้ใด แต่เขาไม่อยากได้ยินชื่อนั้นที่หลิงเฟิงกำลังจะเอ่ยออกมา
ภายในโรงประมูล
“หลังจากศึกแย่งชิงโอสถอันแสนดุเดือดได้จบลง จากนี้เป็นการประมูลของชิ้นสุดท้ายแล้ว! แน่นอนว่านี่คือ จุดเด่นของงานในวันนี้!”
ซีเล่อผายมือไปทางด้านหลังของเวที สายตาจับจ้องวัตถุขนาดใหญ่ที่กำลังถูกเข็นออกมา!
หญิงงามผู้ดำเนินการประมูลจับผ้าคลุมไว้ จากนั้นจึงกระชากดึงออกในทันใด เผยให้เห็นของประมูลชิ้นสุดท้ายออกสู่สายตาสาธารณชน!
!!!
“นั่น…”
หลี่หวงซึ่งอยู่ที่สูงมองลงมา สามารถเห็นภาพด้านล่างบนเวทีได้เต็มสองตา
มันคือกรงขนาดใหญ่!
และด้านในนั้นดูเหมือนว่าจะมีสิ่งมีชีวิตอยู่ด้วย!
“สวรรค์! นั่นตัวอะไร? มนุษย์รึ?”
“ไฉนงานประมูลครั้งนี้จึงมีการค้ามนุษย์ด้วยเล่า?!”
“สวรรค์! นั่นมัน...เด็กน้อย! ชั่วช้าสิ้นดี! นี่ถึงกับนำเด็กมาประมูลเชียวรึ!”
แม้แต่หลี่หวงยังถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น
ภายในกรงมีเด็กชายตัวน้อยถูกจับขังไว้ด้านใน ดูจากรูปลักษณ์แล้วน่าจะอายุราวสองสามขวบเท่านั้นเอง
ร่างกายของเด็กชายผู้นี้ดูเหมือนจะเล็กเท่ากับเหยาอวี้!
เขาดูประหนึ่งบุตรชายที่พลัดหลงจากผู้เป็นแม่ไม่มีผิด
เขามีผมและดวงตาสีแดงเพลิง
ความจริงแล้ว เด็กชายผู้นี้ควรจะต้องมีชีวิตที่ดีกว่านี้ แต่ทว่ากลับโชคร้ายถูกจับขังเอาไว้ในกรง ใบหน้าสกปรกมอมแมม นี่หาใช่ประสบการณ์ชีวิตที่เด็กคนหนึ่งพึงมี!
หว่างคิ้วของเด็กชายผู้นี้มีลวดลายเป็นรูปเปลวเพลิงสวยงาม และดูมีชีวิตชีวาประหนึ่งว่าเป็นเปลวเพลิงจริงๆ
“สหายทุกท่าน! ได้โปรดเงียบเสียงก่อน!”
ซีเล่อร้องตะโกนให้ทุกคนอยู่ในความสงบ พร้อมกับยกมือขึ้นชี้ไปที่เด็กผู้ชายในกรงขัง
“นี่คือสัตว์อสูรลึกลับที่ถูกส่งมาประมูล! เนื่องจากนักอัญเชิญผู้นั้นมีพลังธาตุน้ำแข็ง จึงไม่สามารถทำพันธะสัญญากับสัตว์อสูรธาตุไฟตนนี้ได้ จึงส่งมันมาประมูลแลกเปลี่ยนเป็นเงินแทน ฉะนั้นแล้วนี่จึงมิใช่มนุษย์ดังเช่นที่ทุกท่านคิด! แต่มันคือสัตว์อสูรที่มีรูปร่างหน้าเหมือนมนุษย์เท่านั้นเอง!”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายเช่นนี้ ทุกคนต่างก็พากันโล่งใจ แท้ที่จริงก็เป็นสัตว์อสูรนี่เอง!
!!
สัตว์อสูรงั้นรึ?!
เป็นสัตว์อสูรที่มีรูปร่างเหมือนกับมนุษย์?! ต้องโง่เขลาเพียงใดกันจึงได้นำสัตว์อสูรตนนี้มาประมูล! หรือต้องเดือดร้อนเงินเพียงใดกันเชียว!?
“สัตว์อสูรรึ?”
หลี่หวงรำพึงกับตัวเองเบาๆ
การที่สัตว์อสูรมีรูปร่างเหมือนมนุษย์นั้น มีความเป็นไปได้ว่า อีกฝ่ายสามารถจำแลงกายเป็นมนุษย์ได้ และสัตว์อสูรที่จำแลงกายเป็นมนุษย์ได้นั้น อย่างน้อยก็ต้องเป็นสัตว์อสูรระดับศักดิ์สิทธิ์!
“ซูเล่อ เจ้าสัตว์อสูรตนนี้คือตัวอะไรกันแน่?”
ใครบางคนที่อยู่ด้านล่างเวทีร้องตะโกนถามขึ้นมา
“เอ่อ...แม้แต่ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน สัตว์อสูรตนนี้มีนิสัยค่อนข้างฉุนเฉียว และสื่อสารด้วยได้ยากเย็นยิ่งนัก...”
ซูเล่อฝืนยิ้มด้วยความกระอักกระอ่วนใจ
แม้คำพูดของนางจะไม่ค่อยชัดเจนนัก แต่ทุกคนก็สามารถเข้าใจได้ในทันที
ไม่สามารถสื่อสารด้วยได้โดยง่ายงั้นรึ? นั่นย่อมหมายความว่ามันต้องมีสติปัญญาเทียบเท่ามนุษย์ หรือไม่อย่างน้อยก็ต้องเป็นสัตว์อสูรระดับศักดิ์สิทธิ์!
“เจ้านาย ท่านควรประมูลสัตว์อสูรตนนั้นมา มันจะดีต่อตัวท่านในวันข้างหน้า”
เหยาอวี้ร้องบอกหลี่หวงด้วยสีหน้าจริงจัง ร่างพลิ้วลอยผ่านไปมา สายตาของมันจับจ้องอยู่ที่ดวงตาคู่นั้นของหลี่หวง
“แต่ข้าเป็นเพียงมืออัญเชิญชั้นต้นเท่านั้น ข้าจึงไม่สามารถทำพันธะสัญญากับสัตว์อสูรได้”
หลี่หวงกล่าวตอบเสียงเรียบระคนเสียดาย
นางไม่สามารถทะลวงขั้นกลายเป็นมืออัญเชิญชั้นกลางภายในระยะเวลาอันสั้นได้ และดูเหมือนว่าเจ้าเด็กผู้ชายคนก็เป็นพวกที่อยู่ไม่นิ่ง แล้วนางจะสามารถเก็บซ่อนอีกฝ่ายไว้ในจวนของตระกูลจวิ๋นโดยมิให้ความแตกได้อย่างไรกันเล่า?!
พูดเป็นเล่นไป หากเจ้าเด็กนี่ไม่สบอารมณ์ขึ้นมา แล้วเกิดร้องตะโกนโหวกเหวกโวยวายเสียงดังลั่นอยู่กลางเรือนบุปผาโปรยปรายอันเงียบสงบ ทุกคนในจวนจะมิพากันแห่มาดูหรอกรึ...
“เช่นนี้อย่างไรเล่า แล้วจะมิให้ข้าด่าเจ้าว่าโง่เขลาได้อย่างไรกัน!”
เหยาอวี้ปั้นสายตาดูแคลนใส่หลี่หวงพร้อมกับเอ่ยต่อว่า
“ตัวเจ้านั้นแตกต่างจากคนอื่น! ในจุดนี้เจ้ายังไม่เข้าใจอีกรึ?”
“เจ้าสามารถทำพันธะสัญญากับสัตว์อสูรได้แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่มืออัญเชิญชั้นต้นเท่านั้น! เหตุผลที่มืออัญเชิญชั้นต้นของเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่สามารถทำพันธะสัญญากับสัตว์อสูรได้นั้น เป็นเพราะว่าพลังจิตวิญญาณของพวกเขาเหล่านั้นยังไม่แข็งแกร่งมากพอ!”
“แต่เจ้ากลับแตกต่างกัน! พลังจิตวิญญาณของเจ้ากว้างใหญ่ไพศาลดุจทะเล! เช่นนั้นยังต้องกังวลอันใดอีกเล่า!”
หลี่หวงรู้สึกเขินอายเล็กน้อย เมื่อเห็นเหยาอวี้ขยับใบหน้าเข้ามาแนบชิดกับใบหน้าของนาง
อย่างไรเสียตามที่เหยาอวี้เอ่ยบอก ในเมื่อตัวนางสามารถทำพันธะสัญญากับสัตว์อสูรได้แล้ว เช่นนั้นก็ต้องประมูลอีกเอาสัตว์อสูรตนนี้มาให้จงได้!
สิ่งที่เหยาอวี้กล่าวมานั้น ล้วนแล้วแต่เป็นผลดีต่อตัวนางทั้งสิ้น
หลี่หวงสามารถสัมผัสถึงความห่วงใยที่เหยาอวี้มีให้แก่ตนได้อย่างชัดเจน
แม้จะปากหมา หลงตัวเอง หยิ่งผยองไปบ้างก็ตามที
“ตามความปรารถนาของเจ้าของ สัตว์อสูรตนนี้ไม่อาจประมูลได้ด้วยเงิน”
“อะไรกัน?! หากไม่อาจประมูลได้ด้วยเงิน เช่นนั้นแล้วจะนำออกประมูลเพื่ออันใดกัน?!
“นั่นน่ะสิ! หากไม่ต้องการเงิน แล้วต้องการสิ่งใดกัน?”
ภายในห้องรับรองชั้นสอง จวิ๋นจ้านเองก็ตกตะลึงไปชั่วขณะเช่นกัน ไม่อาจประมูลได้ด้วยเงิน? นี่มันเรื่องบ้าอันใด?
ทว่าหลี่หวงกลับเผยสีหน้าที่ดูเข้าอกเข้าใจแทนงุนงงสับสนเช่นผู้อื่น ผู้ที่สามารถส่งสัตว์อสูรระดับนี้มาประมูลได้ ย่อมหาใช่บุคคลธรรมดาทั่วไปไม่ และคนเช่นนี้มีหรือที่จะขาดแคลนเงินทอง?
“เจ้าของสัตว์อสูรตนนี้ปรารถนาแลกเปลี่ยนสัตว์อสูรของตนกับฤทัยวารีสูญ หากทุกท่านในที่นี้มิได้มีสิ่งของที่ตรงตามเงื่อนไข ของประมูลชิ้นนี้จะถูกส่งไปเมืองหลวงเพื่อประมูลใหม่อีกครั้ง”
หลังจากที่ซีเล่อกล่าวจบ บรรยากาศภายในโรงประมูลพลันเงียบสงัดลงอีกครั้ง
ผ่านไปหลายสิบอึดใจ ก็มีสุ้มเสียงอ่อนดังขึ้นว่า
“เอ่อ...ข้าขอถามบ้างจะได้หรือไม่? เจ้าสิ่งที่เรียกว่า ฤทัยวารีสูญ...มันคือสิ่งใดกัน?”
ซีเล่อกลอกตาส่งสายตาค้อนและไม่เอ่ยตอบอันใด นั่นเพราะนางเองก็ไม่ทราบเช่นกัน
ทั่วทั้งโรงประชุมตกสู่ความงุนงงสงสัย
จวิ๋นจ้านหันไปเอ่ยถามกับผู้อาวุโสที่เหลือว่า
“ท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย พอทราบหรือไม่ว่า ฤทัยวารีสูญคือสิ่งใดกัน?”
ผู้อาวุโสสามเอ่ยตอบขึ้นว่า
“ตลอดชีวิตที่ข้าร่ำเรียนและอ่านตำรามา กลับมิเคยได้ยินชื่อฤทัยวารีสูญเลยสักครั้ง”
ผู้อาวุโสรองเองก็ส่ายหัวไปมาเช่นกัน
“ข้าเองก็มิทราบ”
ผู้อาวุโสใหญ่นั้นเอ่ยขึ้นว่า
“ข้าเคยได้ยินเรื่องนี้อยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อครั้งที่ข้าเดินทางท่องพิภพกับท่านเทพสงคราม (ประมุขสูงสุดแห่งตระกูลจวิ๋น)”
จวิ๋นจ้านโน้มศีรษะลงพร้อมกับประสานมือไว้ ปากก็ได้แต่เอ่ยออกไปว่า
“ท่านอาวุโสใหญ่ ได้โปรดชี้แนะด้วย”
ผู้อาวุโสใหญ่ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า
“กล่าวไปแล้วก็นับเป็นอุบัติเหตุครั้งใหญ่ในระหว่างการเดินทาง ครานั้นพวกเราหลงเข้าไปในป่าเห็ดศรพิษของจักรพรรดิเซิ่งหยา กล่าวได้ว่าถูกขังอยู่ในนั้นกว่าหนึ่งเดือนเต็ม! และก่อนที่พวกเราเหล่าอาวุโสกำลังจะหมดสติไปนั้น สิ่งที่อยู่ตรงหน้าช่างเป็นภาพฉากงดงามที่มิอาจลืมเลือน มันคือบุปผาน้ำแข็งสีฟ้าสว่างสดใสยิ่ง หลังจากที่ท่านเทพสงครามช่วยพวกเราออกมาได้นั้น ท่านก็กล่าวขึ้นคำหนึ่งว่า ‘โชคดีนักที่พวกเจ้ามิได้ไปสัมผัสกับฤทัยวารีสูญเข้า นับว่าชะตาของพวกเจ้ายังไม่ขาด’”
จวิ๋นจ้านถึงกับเหงื่อตก ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง!
ป่าเห็ดศรพิษ? จากที่ฟังน่าจะเป็นสถานที่ที่อุดมไปด้วยพิษร้ายแรง? มิหนำซ้ำสิ่งที่เรียกว่า ฤทัยวารีสูญยังอันตรายอย่างยิ่งด้วย?
นั่นมันสถานที่แห่งความตายชัดๆ!
การที่ท่านเทพสงครามซึ่งเป็นถึงประมุขสูงสุดกล่าวออกไปเช่นนั้น ย่อมแสดงให้เห็นแล้วว่า ฤทัยวารีสูญเป็นสิ่งที่ยากจะกำราบ!
“ฤทัยวารีสูญงั้นรึ?”
หลี่หวงพึมพำกับตัวเองอย่างเงียบงัน
“เจ้าโง่! มิใช่ว่าในห้วงมิติส่วนตัวของเจ้ามีมันหรอกรึ!? รีบนำมันออกมาเร็วเข้า!”
เหยาอวี้กล่าววาจาลำพองใส่เสียงดัง
“ข้ามีสิ่งนี้ด้วยรึ?”
หลี่หวงเอ่ยถามด้วยความงุนงง นางไม่ยักจะจำได้เลยว่า ภายในห้วงมิตินาโนชิปของนางจะมีชื่อสมุนไพรแปลกๆเช่นนี้ด้วย?
“เจ้าโง่! เจ้าโง่! เจ้านี่ช่างโง่จริงๆ!”
เหยาอวี้รีบพุ่งตรงเข้าไปในห้วงมิตินาโนชิปของหลี่หวงทันที และหยิบบุปผาน้ำแข็งสีฟ้าออกมา
“นี่อย่างไรเล่า! บุปผาวารีสูญ!!”
“...”
เพี๊ยะ!
หลี่หวงตบกะโหลกเหยาอวี้ไปหนึ่งพร้อมกับคำรามใส่ว่า
“นี่มัน เซมบรีแอนทีนัม มันคือเซมบรีแอนทีนัม! จะเรียกบุปผาวารีสูญหาพระแสงอะไรเล่า! หัดพูดจาดีๆหน่อยไม่เป็นรึไงห๊ะ?!!”