ตอนที่11 แววตาคู่บริสุทธิ์
ตอนที่11 แววตาคู่บริสุทธิ์
“ปวดหัวจังโว้ย...”
หลี่หวงนวดขมับพลางถอนหายใจไปเฮือกหนึ่ง
“เจ้าหาเรื่องใส่ตัวเอง จะโทษผู้อื่นมิได้เช่นกัน”
เหยาอวี้แอบหัวเราะคิดคักอยู่ภายในห้วงความคิด มันรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของเจ้านายอย่างยิ่ง!
ด้วยเหตุที่นางเปิดเผยตัวตนแล้วว่าสามารถบ่มเพาะพลังได้ จวิ๋นจ้านจึงมอบทุกสิ่งทุกอย่างที่จวิ๋นฉีเคยได้ให้แก่หลี่หวง เพราะเกรงว่านางจะเก็บความแค้นไว้ในใจ และนำเรื่องที่ต้องทนทุกข์ทรมานตลอดหกปีกลับไปเล่าให้ตระกูลสาขาหลักฟัง
แต่ทุกอย่างในสายตาของหลี่หวงนั้น ทั้งหมดที่อีกฝ่ายทำเป็นเพียงแค่เรื่องตลกเท่านั้น
สาวใช้ทั้งสองคนที่ฮูหยินใหญ่กับฮูหยินรองส่งมาปรนนิบัตินั้น หลี่หวงก็เพียงแค่รับไว้ แต่ก็มิได้ใส่ใจพวกนางมากนัก เอ่ยปากเตือนเพียงว่ามิให้เดินเตร็ดเตร่สุ่มสี่สุ่มห้า หาไม่แล้วพวกนางจะต้องถูกไล่กลับไป
สำหรับอาจารย์ที่จวิ๋นจ้านเชิญมานั้น หลี่หวงรู้สุดปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างที่สุด
นางยอมรับว่า ตัวนางนั้นแทบจะไม่รู้เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับโลกแห่งนี้เลย และที่สำคัญ ในชีวิตก่อนหน้านั้น นางเป็นโรคกลัวครู แต่เพื่อความอยู่รอด นางทำได้เพียงแค่อดทนกัดฟันให้จบๆไปเท่านั้น
ส่วนตำราฝึกปรือที่จวิ๋นจ้านส่งมาให้ ก็มีแต่ตำราสอนคาถาของมืออัญเชิญชั้นต้นเท่านั้น
ถึงแม้ผลประโยชน์จะไม่ได้มากมาย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีดีเอาเสียเลย
เป็นที่ทราบกันโดยทั่วว่า มืออัญเชิญชั้นต้นจะมิสามารถทำพันธะสัญญากับสัตว์อสูร เพื่อใช้สำหรับเรียกมาต่อสู้ได้ ดังนั้นแล้วมืออัญเชิญชั้นต้นจำเป็นจะต้องพึ่งพาแค่คาถาในการต่อสู้เท่านั้น
แม้คาถาเหล่านี้จะเป็นเพียงแค่ชั้นต้นเท่านั้น ทว่าอย่างไรก็ควรฝึกปรือเป็นวิชาติดตัวไว้บ้าง
นักอัญเชิญที่แข็งแกร่งจริงๆ ล้วนมีทักษะการต่อสู้ระยะประชิดที่เหนือชั้นมาก
ในสถานการณ์ที่สัตว์อสูรอัญเชิญของเรามีความแข็งแกร่งที่สูงมาก ตัวเราเองก็ต้องมั่นใจด้วยว่า จะไม่โดนลูกหลงจากสัตว์อสูรอัญเชิญของตัวเอง
หลี่หวงฟังการบรรยายของอาจารย์ที่มาสอนทุกวัน พลางอ่านหนังสือเสริมความรู้รอบตัวเกี่ยวกับโลกใบนี้
ชั่วพริบตาเดียว ก็ผ่านไปแล้วสามวัน
ช่วงเย็นวันนี้ หลี่หวงเดินออกไปรับประทานอาหารร่วมโต๊ะกับทุกคนเป็นปกติ
เพียงแค่ว่า...ในวันนี้กลับแตกต่างออกไปเล็กน้อย
เพราะประมุขตระกูลอย่างจวิ๋นจ้านไม่อยู่จวน!
ดังนั้นแล้วบนโต๊ะอาหารจึงเหลือเพียงแค่คุณหนูใหญ่หลี่หวง, ฮูหยินใหญ่, ฮูหยินรอง ,คุณหนูรองจวิ๋นรั่ว และคุณชายสามอย่างจวิ๋นอี้เท่านั้น!
“อย่าคิดว่าการที่เจ้าได้อยู่เรือนบุปผาร่วงโรยจะทำให้ตัวเจ้าดูสูงส่งขึ้น! หญิงแพศยาก็ยังคงเป็นหญิงแพศยาอยู่วันยังค่ำ! แม้จะสวมใส่แพรพรรณหรูหรา แต่ทว่าก็ยังไม่สามารถปิดซ่อนจิตใจอันอัปลักษณ์ของเจ้าไว้ได้! นังหญิงต่ำช้า!”
จวิ๋นรั่วอดทนมาหลายวันแล้ว เมื่อสบโอกาสจึงได้ก่นด่าสาปแช่งอีกฝ่ายทันที
จวิ๋นรั่วรู้สึกอิจฉาริษยาอย่างมากที่เห็นบรรดาบ่าวไพร่จับกลุ่มกันสนทนา เอ่ยปากชื่นชมความงดงามของคุณหนูใหญ่ตลอดเวลา ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อได้เห็นผู้เป็นบิดามอบความรักทั้งหมดที่มีให้หญิงแพศยาอย่างหลี่หวง จวิ๋นรั่วก็ยิ่งอาฆาตแค้นนางมากขึ้นไปอีก
“อย่างน้อยข้าก็มีสิทธิ์กินนอนอยู่ในเรือนบุปผาโปรยปราย มิได้เหมือนใครบางคนที่ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเหยียบย่างเข้าไปด้วยซ้ำ”
หลี่หวงแสยะยิ้มเยาะพร้อมตอบโต้กลับไปในทันใด
จวิ๋นรั่วนางนี้เป็นลูกคุณหนูที่ถูกตามใจจนเสียนิสัย นางรู้สึกขยะแขยงมากกับความหน้าด้านไร้ยางอายของอีกฝ่าย
“ไม่ช้าก็เร็ว เรือนบุปผาโปรยปรายก็จะกลายมาเป็นของข้า! อีกไม่นานเจ้าจะต้องถูกส่งกลับไปที่เรือนเส็งเคร็งนั่น! ฮ่าฮ่า...”
จวิ๋นรั่วเค้นเสียงหัวเราะเยาะออกมา จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างสบายใจ คืนนี้นางจะลงมือตามแผนที่วางเอาไว้ ดังนั้นนางจะทำประเจิดประเจ่อให้นังแพศยาหลี่หวงสังเกตเห็นได้อย่างไร?
“ตื่นหรือยังน้องรอง? เอาแต่ฝันกลางวันอยู่ได้”
หลี่หวงยิ้มเยาะตอบกลับไป เว้นเสียแต่ว่าเรือนบุปผาโปรยปรายจะไร้ซึ่งประโยชน์ต่อตัวนางแล้ว หาไม่แล้วจวิ๋นรั่วย่อมไม่มีทางที่จะเข้ามาอยู่ได้อย่างแน่นอน!
ฮูหยินใหญ่หานชิงพยายามทำตัวให้เงียบที่สุด หากเป็นธาตุอากาศได้นางคงขอเป็นไปแล้ว แต่ทว่าอวี้เอ๋อร์ตัวน้อยของนางกลับกระโจนเข้าร่วมวงสนทนาโดยตรง
“พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านอย่าทะเลาะกันเลย หากท่านพ่อกลับมา เดี๋ยวก็โดนดุกันอีก”
จวิ๋นอี้อายุย่างเข้าสิบสองปี เนื่องจากเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวในตระกูล จวิ๋นจ้านจึงดูแลปกป้องเป็นพิเศษตลอดมา ดังนั้นเด็กคนนี้จึงไร้เดียงสาอย่างมาก และไม่เข้าใจถึงคมมีดที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อระหว่างหลี่หวงและจวิ๋นรั่วเลย
เมื่อได้ยินคำพูดของบุตรชาย หานชิงก็ถึงกับสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ รีบโผกอดจวิ๋นอี้ไว้ในอ้อมแขนและกล่าวว่า
“อี้เอ๋อร์ยังเด็กอยู่นัก พูดอะไรไปขออย่าได้ถือสา พวกเราทานข้าวเสร็จพอดี เช่นนั้ขอพาอี้เอ่อร์กลับเรือนก่อน...”
หลี่หวงเหลือบมองหานชิงที่อุ้มลูกชายของนางเดินจากออกไปด้วยท่าทีลนลานมาก
ในฐานะฮูหยินใหญ่ ไม่ควรมีนิสัยขี้ขลาดโดยเด็ดขาด ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดนางจึงได้ถูกฮูหยินรองเล่นหัวได้ถึงเพียงนี้
แต่น้องชายอย่างจวิ๋นอี้ก็จับจ้องหลี่หวงตาแป๋วเช่นกัน
ดวงตาของเด็กน้อยผู้นี้ช่างใสสะอาดปราศจากราคี ประดุจท้องนภาสีครามบริสุทธิ์เสียจริง
แต่น่าเสียดายนัก ที่กลับต้องมาเกิดในครอบครัวเฉกเช่นนี้ สักวันหนึ่งดวงตาคู่นั้นจักต้องแปดเปื้อนเข้าสักวัน