ตอนที่แล้วEp.10 - สวมใส่อุปกรณ์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปEp.12 - กลับสู่โลกจริง

Ep.11 - มรดกและหินสกิล


Ep.11 - มรดกและหินสกิล

เจียงหนานทั้งตื่นเต้นทั้งมีความสุข เธออดถามขึ้นมาไม่ได้ว่า “พี่มหาเทพ ทำไมข้อมูลสกิลของฉันถึงเขียนว่า ‘ชิ้นส่วนมรดกของผู้รักษา’ ล่ะ?”

ฮังอวี่ย้อนนึกเล็กน้อยจากในความทรงจำ และพบว่ามันไม่เสียหายที่จะบอกข้อมูลนี้แก่เธอ

“ถ้าให้อธิบายง่ายๆก็คือ หินสกิลนี้ไม่ใช่สกิลเดี่ยว แต่เป็นหนึ่งในหลายสกิลของ ‘ผู้รักษา’ ชิ้นส่วนทั้งหมดจะมีด้วยกันสามชิ้น แม้พลังของมันจะไม่ได้เวอร์วังแบบที่ใช้เรียกมังกรเทวะออกมาได้ แต่ก็จะช่วยให้เธอได้รับอาชีพ ‘ผู้รักษา’ ซึ่งที่ได้มาคือมรดกลำดับต่ำสุด”

“พี่มหาเทพต้องการจะสื่อว่า ยังมีหินสกิลก้อนอื่นที่ใช้สำหรับเรียนรู้สกิลรักษาอีกใช่ไหม? งั้นถ้าฉันสามารถรวบรวมมันได้ครบ ฉันก็จะกลายเป็นผู้รักษาถูกรึเปล่า?” เจียงหนานกล่าวด้วยใบหน้าแดงซ่าน เกาหัวด้วยความเก้อเขิน “พอดีฉันค่อนข้างโลภนิดหน่อยน่ะ”

“ถูกต้อง ถ้าเธอรวบรวมชิ้นส่วนมรดกอื่นๆได้ครบทั้งหมด เธอก็จะได้รับอาชีพ ‘ผู้รักษา’” ฮังอวี่ยิ้มบางแล้วกล่าวว่า “และเมื่อถึงเวลานั้น เอฟเฟกต์สกิลมรดกผู้รักษาทั้งหมดจะถูกอัพเกรดยิ่งขึ้นไปอีกแม้แต่ค่าสเตตัสของเธอก็ยังแข็งแกร่งขึ้น”

จ้าวหมิงกับจางเสี่ยวเฉียงเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ

จางเสี่ยวเฉียงอดนึกถึงเกม Ragnarok ที่เขาเคยเล่นขึ้นมาไม่ได้

“ลูกพี่ นั่นเท่ากับเป็นการเปลี่ยนอาชีพแบบในเกมออนไลน์รึเปล่า? แต่จากที่อธิบายมา ทำไมมันฟังดูไม่เหมือนเลย”

“อืม ก็ประมาณนั้น มีมรดกนับไม่ถ้วนอยู่ในโลกวิญญาณ ผู้รักษาคือหนึ่งในอาชีพลำดับต่ำสุด นายจะตีความว่ามันเป็นการเปลี่ยนอาชีพขั้นแรกก็ได้ แล้วหลังจากนั้นก็จะมีลำดับสอง สาม สี่ หรือสูงกว่านั้นขึ้นไปอีก”

“ทุกมรดกจะมีกระบวนการไต่จากต่ำขึ้นไปสูง และมรดกไม่เพียงสามารถอัพเกรดจากลำดับต่ำไปสูงเท่านั้น แต่ยังเรียนรู้พร้อมกับมรดกอื่นก็ได้เหมือนกัน”

“เช่นนายได้รับมรดกของผู้รักษามาแล้ว แต่ถ้าสนใจเรียนรู้มรดกของอาชีพอื่นก็ทำได้ ในทางทฤษฎีจำนวนการรับมรดกและสายอาชีพของผู้เล่นคนหนึ่ง สามารถเรียนรู้ได้ไม่จำกัด”

“แต่แน่นอน การอัพเกรดมรดกสู่ขั้นสูงเป็นอะไรที่ยากมาก ฉะนั้นการต้องมาคอยพัฒนามรดกหลายสายในเวลาเดียวกันยิ่งไม่ต้องพูดถึง”

ที่แท้ก็เป็นแบบนี้

ทุกคนเข้าใจแล้ว ว่าฮังอวี่ต้องการจะสื่ออะไร

ฮังอวี่กล่าวเสริมอีกประโยคหนึ่ง “ไม่ว่าจะอัพเกรดสกิลหรืออัพเลเวลตัวเอง ทั้งสองอย่างนี้จำเป็นต้องใช้แต้มวิญญาณของโลกวิญญาณ ตามปกติแล้วแต้มวิญญาณจะได้รับจากการฆ่าสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์ต่างๆบนโลกวิญญาณเท่านั้น ไม่เชื่อก็ลองตรวจสอบดูสิว่าตอนนี้เธอมีแต้มวิญญาณเท่าไหร่”

เจียงหนานตรวจสอบข้อมูลของเธอ

นักบวชเลเวล 1 (11/50) , ค่าพลังชีวิต 10 , ค่าพลังจิต 10 , สกิล : พันธสัญญาของเทพธิดาแห่งรุ่งอรุณ , รักษาบาดแผลขั้นต้นเลเวล 1  (0/10)

“โอ้ว! ดูเหมือนฉันจะรวบรวมแต้มวิญญาณได้ 11 แต้มแล้ว” เจียงหนานถามต่อ “ดูเหมือนว่าแต้มวิญญาณของฉันจะอัพสกิลได้พอดี ฉันควรจะใช้มันเลยดีไหม?”

“ไร้สาระน่า เรื่องแบบนี้เธอยังต้องถามอีกหรอ? แน่นอนว่าต้องรีบใช้มันอัพสกิล!” ฮังอวี่ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ให้เจียงหนาน “แต้มวิญญาณของเธอตอนนี้ ถ้าอยากใช้อัพเลเวลหนทางยังอีกยาวไกล แถมการสะสมแต้มวิญญาณยังเป็นเรื่องยากสำหรับเธอ เมื่อเทียบกับสกิลนี้แล้ว ถ้าอัพมันจะมีประโยชน์กว่า ที่ต้องทำก็คือย้ายแต้มวิญญาณเข้าไปในสกิลที่ต้องการ”

“เข้าใจแล้ว” เจียงหนานทำตามที่เขาบอกอย่างเชื่อฟัง ดึงแต้มวิญญาณที่สะสมไว้ในร่างกายออกมา และใช้ 10 แต้มกับสกิลของเธอทันที

ในชั่วพริบตาเดียว ความรู้ความเข้าใจถูกถ่ายทอดเข้ามาในจิตใจเธอ จากนั้นสกิลรักษาบาดแผลขั้นต้นก็ได้รับการอัพเกรดสำเร็จ

[สกิลรักษาบาดแผลขั้นต้น] (ชิ้นส่วนมรดกของผู้รักษา) สกิลเลเวล 2 , แต้มวิญญาณ (0/100) , ความชำนาญ (0/200) , ในทุกๆ 2 ค่าพลังจิตที่เสียไป จะสามารถใช้รักษาเป้าหมายที่ระบุภายในรัศมี 5 เมตร  , ช่วยฟื้นฟูพลังชีวิต 4 หน่วย , คูลดาวน์ 3 วินาที

เจียงหนานปรบมือด้วยความปิติยินดี “เอฟเฟกต์ของมันแข็งแกร่งขึ้นแล้ว!”

สกิลรักษาบาดแผลขั้นต้นเลเวล 2 ต้องใช้ค่าพลังจิตเพิ่มขึ้น 1 หน่วย แต่มันช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตมากกว่าเดิม 2 หน่วย แถมระยะคูลดาวน์ก็ลดลง บวกกับเอฟเฟกต์สกิลติดตัวของเจียงหนาน เท่ากับว่าสามารถฟื้นฟูพลังได้ 6 หน่วยในคราเดียว

“นี่มันสุดยอดไปเลย! ผู้เล่นใหม่ในเลเวล 1 จะมีพลังชีวิตอยู่แค่ 10 หน่วยเท่านั้น ถ้าได้รับสกิลรักษาของเธอ ไม่ใช่ว่านั่นช่วยให้พวกเขาหายจากอาการบาดเจ็บร้ายแรงเลยหรอ?” จางเสี่ยวเฉียงค่อนข้างอิจฉา

“ทำไมเธอถึงโชคดีแบบนี้? มันไม่ยุติธรรมเลย!”

เจียงหนานเกาหัวอย่างเก้อเขิน “นั่นสิ ฉันโชคดีจริงๆ โชคดีเกินไปแล้ว”

ฮังอวี่ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก เพราะจ้าวหมิงและจางเสี่ยวเฉียงเอาจริงๆก็สำคัญไม่น้อยไปกว่าเธอ

แค่เพราะครั้งนี้เธอได้สกิลใหม่มาเลยทำให้จางเสี่ยวเฉียงอิจฉาอยู่บ้าง แต่เขาก็รู้เช่นกันว่านี่จะช่วยให้พลังรบของทีมแข็งแกร่งขึ้น

จางเสี่ยวเฉียงเชื่อ ว่าหากติดตามฮังอวี่ต่อไป ในอนาคตเขาจะได้กำไรมหาศาลแบบนี้เช่นกัน ดังนั้นรีบพูดกับฮังอวี่ว่า “ลูกพี่ แล้วพวกเราต้องทำยังไงกันต่อ?”

“เปิดใช้งานจุดคืนชีพก่อน” ฮังอวี่ชี้ไปทางแผ่นศิลาที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางหมู่บ้าน

จ้าวหมิงสังเกตเห็นแผ่นศิลานี้ตั้งแต่แรกแล้ว เขาเอ่ยด้วยท่าทีครุ่นคิดว่า “หลังจากเปิดใช้งานแผ่นศิลานี้ ต่อให้ตายในป่า พวกเราก็จะถูกส่งกลับมาคืนชีพที่นี่ถูกไหม?”

“ถูกต้อง แต่ตอนนี้ที่คืนชีพในหมู่บ้านได้ยังไม่ใช่พวกเรา จะต้องเปิดแผ่นศิลาซะก่อน หมู่บ้านถึงจะกลายเป็นของพวกเราโดยสมบูรณ์ ไม่อย่างงั้นไม่กี่วันต่อมา พวกก็อบลินก็จะคืนชีพกลับมาที่นี่อีก”

แผ่นศิลาสูงแปดเมตร หนาขนาดเท่าสามคนกอด ทั่วทั้งแผ่นดำสนิท ดูเรียบง่ายไร้ลวดลายตกแต่งใดๆ และปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายอันลึกลับ ให้ความรู้สึกราวกับมันตั้งตระหง่านอยู่ที่นี่มาตั้งแต่สมัยโบราณ อยู่เหนือกาลเวลา

ทุกคนตั้งสมาธิมั่น จดจ้องไปยังแผ่นศิลา แล้วข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับแผ่นศิลาก็ปรากฏขึ้นในใจ

โดยพื้นฐานแล้วมันเหมือนกับที่ฮังอวี่พูดไว้ไม่มีผิด หมู่บ้านแห่งนี้ยังคงถูกครอบครองโดยมอนสเตอร์ หากพวกเขาไม่เปิดใช้งาน และเดินตัวปลิวออกไป อีกไม่กี่วันพวกก็อบลินก็จะฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง

จริงอยู่ว่าหากไม่เปิดใช้งานแผ่นศิลา แล้วใช้กระท่อมก็อบลินเป็นที่พัก ทำเป็นแหล่งฟาร์มรอฆ่ามอนสเตอร์ แบบนี้ก็ไม่เลว แต่เห็นได้ชัดว่าวิธีดังกล่าวไม่เหมาะสมในสถานการณ์เช่นนี้

ทั้งสี่วางมือลงบนแผ่นศิลาพร้อมกัน บังเกิดการเปลี่ยนแปลงอันน่าทึ่งขึ้นทันที

แผ่นศิลาปลดปล่อยแสงจรัสกวาดไปทั่วทั้งหมู่บ้าน จากนั้นราวกับแผ่นดินไหว กระท่อมที่ทำจากฟางและโคลนกว่าสิบหลัง ทั้งหมดพังทลายลงทันที

รั้วไม้รอบนอกยังคงอยู่ ล้อมข้างในไว้เป็นเขตพื้นที่ปลอดภัยขนาดเท่าสนามฟุตบอล

จ้าวหมิง เจียงหนาน และจางเสี่ยวเฉียงรู้สึกใจชื้น เพราะจะไม่มีมอนสเตอร์เกิดขึ้นในเซฟโซนแห่งนี้ ขณะเดียวกันต่อให้มีมอนสเตอร์อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ทว่าหากไม่ใช่สถานการณ์พิเศษ พวกมันจะไม่เข้าใกล้ที่นี่

ดังนั้น หากพวกเขาตั้งหลักปักฐานที่นี่ เรียกได้ว่าค่อนข้างปลอดภัย ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกลอบโจมตี

แต่ถ้าเป็นแบบนั้น แล้วก็อบลินเจ้าของหมู่บ้านแห่งนี้เล่า พวกมันจะไปอยู่กันที่ไหน?

ก็อย่างที่ฮังอวี่เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ สิ่งมีชีวิตในโลกวิญญาณไม่มีทางตาย หลังจากกลุ่มก็อบลินสูญเสียฐานที่มั่นไป พวกมันจะต้องสุ่มเกิดในพื้นที่อื่นๆของป่าแทน

ในที่สุดความกังวลของทุกคนก็ถูกปลดเปลื้อง!

จิตใจของทุกคนได้รับความตึงเครียดเป็นอย่างสูงในช่วงเจ็ดแปดชั่วโมงที่ผ่านมา เวลานี้ได้ผ่อนคลายซักทีความเหนื่อยล้าเริ่มเข้าแทรกแซง

อย่างไรก็ตาม

การเปลี่ยนแปลงยังไม่หยุดลงแค่นี้!

หลังจากกระท่อมก็อบลินหายไป ค่ายกลห้าแฉกก็ปรากฏขึ้นบนพื้นดิน

แท่นหินที่มีรูปทรงคล้ายกับแผ่นศิลาในตอนแรก ค่อยๆงอกขึ้นจากค่ายกล

ขนาดของมันเล็กกว่าแผ่นศิลาคืนชีพตรงกลาง สูงเพียงสามสี่เมตรเท่านั้น

เมื่อเพ่งสมาธิไปยังมัน จะได้รับข้อมูลกลับมา

[แผ่นศิลาเสบียงของก็อบลิน]

[แผ่นศิลาอาวุธของก็อบลิน]

[แผ่นศิลาแหล่งผลิตของก็อบลิน]

[แผ่นศิลาย่อยสลายของก็อบลิน]

[แผ่นศิลาเก็บของของก็อบลิน]

“นี่มันอะไรกันเนี่ย?”

เจียงหนาน จ้าวหมิง และจางเสี่ยวเฉียงต่างตกตะลึง

ฮังอวี่ไม่ได้แสดงท่าทีประหลาดใจใดๆ “ก็ .. ขอให้ทุกคนคิดซะว่าเป็นร้านค้าที่ไม่มีคนเฝ้าแล้วกัน”

ในโลกใบนี้ไม่มีเมือง หมู่บ้าน หรือ NPC สำหรับค้าขายสินค้า

อย่างไรก็ตาม  แผ่นศิลาในโลกวิญญาณที่มีฟังก์ชั่นเหล่านั้นจะปรากฏขึ้นตามที่ต่างๆแทน

แผ่นศิลาเหล่านี้บางส่วนทำหน้าที่เป็นเหมือนร้านค้า ทุกครั้งที่มีการเข้ายึดค่าย โลกวิญญาณจะสร้างแผ่นศิลาขึ้นมา

ซึ่งตรงจุดนี้เป็นแหล่งจัดหาเสบียงที่สำคัญมาก วัตถุดิบที่ได้รับจะแตกต่างกันไปตามสถานที่ แต่หลักๆแล้วจะเกี่ยวข้องกับเลเวล ตำแหน่งที่ตั้ง และสภาพแวดล้อมของค่าย