ตอนที่7 แผนการของจวิ๋นจ้าน
ตอนที่7 แผนการของจวิ๋นจ้าน
“ไยไม่หันไปถามลูกสาวตัวดีของท่านแทนล่ะ ว่านางสร้างวีรกรรมอะไรไปบ้าง?”
หลี่หวงเลิกคิ้วพร้อมกระตุกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆตอบกลับไป
“เจ้า! เจ้ามันคนไร้การอบรม กล้ากล่าววาจาปลิ้นปล้อนไร้ความจริง!”
ฮูหยินรองคิดอะไรไม่ออกจึงได้แต่ตอบโต้กลับไปน้ำขุ่นๆ
หลี่หวงกระแทกถ้วยชาในมือลงกับโต๊ะเสียงดัง จนอีกฝ่ายถึงกับต้องหุบปากเงียบในทันที นางแสยะยิ้มมุมปากเล็กน้อยอีกคราพร้อมกล่าวตอบโต้กลับไปว่า
“ข้าไร้การอบรมงั้นรึ? ข้าอยู่ที่จวนแห่งนี้มานานกว่าหกปี หากจะนับเป็นแรมวันแรมคืนแล้วล่ะก็ คงจะราวสองพันหนึ่งร้อยเก้าสิบวันกระมัง เจ้าต้องจำใส่กะลาหัวไว้ให้ดี ต่อให้ข้าจะถูกลดขั้น แต่ทว่าก็ยังนับเป็นบุตรสาวสายตรงของตระกูลสาขาหลัก ส่วนเจ้ากับจวิ๋นรั่วนั้น หากจะพูดไปก็เป็นเพียงแค่ภรรยาน้อยกับลูกชู้เท่านั้น ฉะนั้นแล้ว ต้องหัดรู้จักที่ต่ำที่สูงกันเสียบ้าง หาใช่เผยสันดานไพร่เรียกข้าว่านังสวะอยู่ร่ำไป เจ้าถึงกับกล้าดีมาอบรมสั่งสอนข้าเชียวรึ? กลับเป็นพวกเจ้าสองคนแม่ลูกเสียมากกว่าที่ไร้การอบรม!”
“นัง...นังเด็กไร้มารยาท! ไม่รู้จักเคารพยำเกรงผู้หลักผู้ใหญ่!!”
ทั้งหมดที่หลี่หวงพูดออกไปนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นความจริงทั้งสิ้น และซูซื่อก็มิอาจโต้แย้งใดๆได้เลย
“ไม่รู้จักเคารพยำเกรงผู้หลักผู้ใหญ่งั้นรึ? หากเจ้าหมายถึงจวิ๋นรั่วแล้วล่ะก็ นางเองก็อายุไล่เลี่ยกับข้า แต่ทว่ากลับไม่รู้จักมารยาท คงต้องโทษคนเป็นแม่ที่ไม่รู้จักอบรมเลี้ยงดู นางจึงได้กลายเป็นคนไร้มารยาทเยี่ยงนี้ มินำซ้ำตลอดระยะเวลาหกปีเต็มๆที่ผ่านมา นางยังเอาแต่ข่มเหงรังแกข้าไม่หยุด! ส่วนเจ้านั้นมีศักดิ์เป็นเพียงแค่ฮูหยินรอง พูดง่ายๆก็คือภรรยาน้อย ตามกฏของตระกูลแล้ว เจ้าไม่มีสิทธิ์มานั่งร่วมโต๊ะอาหารกับข้าด้วยซ้ำไป ข้าไม่เอาน้ำสาดไล่สุนัขเยี่ยงเจ้าก็นับว่าเมตตามากแล้ว แต่นี่เจ้ายังกล้าดีมาตำหนิข้าอีกงั้นรึ?”
หานชิงได้ยินทั้งสองฝ่ายโต้เถียงกันด้วยถ้อยคำรุนแรงเช่นนี้ นางก็ได้แต่สวมกอดลูกชายพร้อมกับหันหน้าหลบมุมนิ่งเงียบทันที
จวิ๋นจ้านยิ่งฟังสองฝ่ายทะเลาะเบาะแว้งกัน ใบหน้าของเขาก็กลับหมองหม่นลงไปอย่างมาก ในที่สุดจึงร้องตะโกนลั่นออกมาว่า
“พอได้แล้ว! ซูซื่อกับรั่วเอ๋อร์ พวกเจ้าสองคนกลับไปยังเรือนพักของตนเองก่อน! หานชิงกับอี้เอ๋อร์ พวกเจ้าก็เหมือนกัน!”
“หึ!”
“ท่านพี่...”
หลี่หวงปรายหางตามองฮูหยินรองกับจวิ๋นรั่วที่ลุกขึ้นเดินออกไปด้วยสีหน้าท่าทางไม่ค่อยเต็มใจ
“หลี่หวง หลายปีมานี้ข้าทำเรื่องแย่ๆกับเจ้าไว้มากมายนัก...”
จวิ๋นจ้านค่อยๆนั่งลงพลางสงบสติอารมณ์ของตนเอง ก่อนจะจับจ้องมองไปทางเด็กสาวตรงหน้าเจือแววครั่นคร้ามเล็กน้อย
“...”
หลี่หวงได้แต่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จา
หลี่หวงตัวจริงตายไปแล้ว และคนที่เจ้าควรจะขอโทษจริงๆก็คือนาง ไม่ใช่ข้า!
“วันนี้หลังทานอาหารเสร็จแล้ว เจ้าก็ย้ายไปอยู่เรือนบุปผาโปรยปรายเถิด หากมีอะไรขาดเหลือก็บอกลุงจ้านผู้นี้ได้ทุกเมื่อ”
หลังจากพูดจบไปแล้ว จวิ๋นจ้านก็ยกมือขึ้นตบไหล่ของหลี่หวงไปหนึ่งทีพร้อมกับเอ่ยต่อว่า
“หลายปีที่ผ่านมา ซูซื่อกับรั่วเอ๋อร์ทำเรื่องไม่ดีกับเจ้าไว้มากมาย ลุงจึงอยากจะขอให้เจ้าลืมเลือนเรื่องทั้งหมดไปเสีย จากนี้ไปถือเป็นการชดเชยและแทนคำขอโทษจากข้าก็แล้วกัน”
“หลานเข้าใจท่านลุง”
หลี่หวงเพียงแค่พยักหน้ายิ้มๆ และตอบกลับไปสั้นๆ ทว่าภายในใจกลับหัวเราะเยาะเย้ยหยันไม่หยุด
พวกนางรวมหัวกันข่มเหงรังแกจนหลี่หวงต้องตายไปอย่างโดดเดี่ยว แต่ตอนนี้กลับจะมาขอให้ลืมเรื่องราวทั้งหมดไปง่ายๆอย่างนั้นหรือ?
เรื่องโหดร้ายเช่นนี้สามารถลืมเลือนกันได้ง่ายๆจริงๆอย่างนั้นหรือ?
หลี่หวงตัวจริงได้ตายไปแล้ว! และนางก็ต้องตายอย่างทรมาน!
ยังมีสิ่งใดบนผืนแผ่นดินนี้ที่ยังสามารถชดเชยแทนชีวิตของคนได้อีกเล่า?
“ข้าได้ยินว่า เจ้าเป็นนักอัญเชิญธาตุสายฟ้าอย่างนั้นรึ?”
“ถูกต้อง”
“เจ้ามีพรสวรรค์สูงส่งตั้งแต่ในวัยเพียงแค่นี้ นับว่าเป็นเรื่องที่น่าประทับใจยิ่ง แต่ถึงอย่างนั้น เจ้าก็ต้องพยายามฝึกปรือให้หนักขึ้น นักอัญเชิญธาตุสายฟ้านับว่าหาได้ยากยิ่ง ลุงเชื่อว่า อีกไม่นานประมุขตระกูลสาขาหลักจะต้องรับเจ้ากลับเข้าไปอย่างแน่นอน”
“ลุงจ้าน หากไม่มีธุระอันใดแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อน”
หลี่หวงไม่รอฟังคำตอบ หลังจากเอ่ยจบนางก็ลุกขึ้นเดินจากออกไปทางด้านข้างของลานในจวนทันที
เมื่อเห็นหลี่หวงจากออกไปเช่นนั้น จวิ๋นจ้านก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะร้องเรียกพ่อบ้านให้เข้ามาพบ
“ส่งคนไปเก็บกวาดเรือนบุปผาร่วงโรยให้เรียบร้อย หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็รับคุณหนูใหญ่ไปอยู่ที่นั่น ส่วนพรุ่งนี้ก็ให้ส่งสาวใช้ส่วนตัวสักสองสามคนไปคอยปรนนิบัตินาง แล้วก็ให้คนออกไปหาซื้อชุดแพรพรรณใหม่ให้นางด้วยล่ะ”
“คุณหนูใหญ่นี่หมายถึง...คุณหนูหลี่หวงใช่หรือไม่?”
เป็นเพราะคุณหนูที่มีอำนาจมากที่สุดในจวนแห่งนี้ก็คือจวิ๋นรั่ว แต่ทว่าตามกฏของตระกูลแล้ว แม้นางจะมีอำนาจสักเพียงใด ก็ไม่อาจทำให้นางได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นคุณหนูใหญ่ได้
และปัญหาก็คือ มีเพียงตำแหน่งคุณหนูใหญ่เท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์เป็นผู้รับสืบทอดมรดกของตระกูลได้
แต่ถึงอย่างนั้น ที่ผ่านมา คุณหนูใหญ่อย่างหลี่หวงนั้น อย่าว่าแต่ไม่มีอำนาจสั่งการผู้ใดเลย ยังต้องถามว่ามีผู้ใดในจวนเห็นหัวนางบ้างจะดีกว่า?
“ก็ใช่น่ะสิ! แล้วหากมีผู้ใดลักลอบเข้ามาในเรือนบุปผาร่วงโรย ก็จงรีบมารายงานให้ข้ารู้ทันที”
จวิ๋นจ้านสังหรณ์ใจว่า ชายลึกลับผู้มอบโอสถชำระไขกระดูกให้หลี่หวง จะต้องกลับมาหานางอีกอย่างแน่นอน
การได้รู้จักและสานสัมพันธ์กับนักหลอมโอสถ จะนับเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อตระกูลจวิ๋นยิ่งกว่าสิ่งใด
ในทวีปม่านเมฆา
นักหลอมโอสถนั้นหายากยิ่งนัก แม้แต่ในพระราชวังตะวันตกเองก็มีนักหลอมโอสถอยู่เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น
การฝึกปรือในเส้นทางนักหลอมโอสถช่างยากเย็นเกินพรรณนา เงื่อนไขแรกคือ คนผู้นั้นจำเป็นจะต้องมีพลังจิตวิญญาณที่กล้าแกร่งเป็นพิเศษ และประการที่สอง หากต้องการขึ้นกลายเป็นนักหลอมโอสถระดับสูง จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีไฟวิเศษ
อย่างไรก็ตาม ไฟวิเศษมันมีอยู่จำนวนเท่าหยิบมือในผืนพิภพแห่งนี้ ต่อให้เป็นตระกูลนักหลอมโอสถขนาดใหญ่ แม้จะมีนักหลอมโอสถ แต่กลับขาดแคลนไฟวิเศษ
นักหลอมโอสถชั้นต้นสามารถปรุงโอสถ ซึ่งมีฤทธิ์เทียบเท่าการต้มยาจีนดื่ม และใช้เวลานานหลายเดือนกว่าจะหายขาดจากโรค
กล่าวกันว่าระดับจักรพรรดิโอสถสามารถหลอมกลั่นโอสถวิเศษ ที่ทำให้คนแก่ย้อนวัยกลับกลายมาเป็นเด็กได้ก็ยังมี!
“ขอรับ! ข้าน้อยจะรีบสั่งการลงไปเดี๋ยวนี้!”
“อืม เจ้าไปได้”
จวิ๋นจ้านออกไปเดินเล่นที่ลานศาลาหิน พลางยกมือไพล่หลังครุ่นคิดด้วยความหนักอกหนักใจ
หลี่หวง เด็กสาวผู้นี้จะเป็นดาวนำโชค หรือดาวหายนะกันแน่...
เมื่อไม่นานมานี้ ประมุขตระกูลสาขาหลักเพิ่งจะส่งจดหมายทักถามเรื่องขอตัวหลี่หวงกลับคืน แต่ทว่าเขาจะปล่อยให้หลี่หวงกลับไปเช่นนี้ แล้วบอกเล่าประสบการณ์อันแสนเลวร้ายตลอดหกปีที่นางประสบเจอได้อย่างไรกันเล่า?!
หากนางให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีก็นับว่าโล่งใจได้ แต่หากนางไม่ยอมให้ความร่วมมือแล้วล่ะก็...นั่นคงจะเป็นเรื่องที่ช่วยอะไรไม่ได้!
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ดวงตาของจวิ๋นจ้านก็เผยแววสังหารออกมาให้เห็นวูบหนึ่ง!