ตอนที่6 เจ้าละเป็นใครมาจากไหน?
ตอนที่6 เจ้าละเป็นใครมาจากไหน?
“น้องหญิงซูซื่อ เรื่องนี้ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าเรื่องราวเป็นมาเช่นใดกันแน่ หลี่หวงเป็นเด็กสาวที่มีชะตากรรมน่าสงสารยิ่งนัก ไม่มีทางที่นางจะทำร้ายรั่วเอ๋อร์โดยไม่มีเหตุผลอย่างแน่นอน”
ทว่าเวลานี้หานชิงกลับเอ่ยปากกล่าววาจาแก้ต่างให้แทน
แม้ว่าหานชิงจะเป็นถึงฮูหยินใหญ่ แต่ทว่าภายในจวนตระกูลจวิ๋นนั้น ตัวนางกลับหาได้มีอำนาจหรือแม้แต่สิทธิ์ที่จะออกเสียงใดๆเลย
นางมีลูกชายเพียงคนเดียวซึ่งก็คือจวิ๋นอี้ แต่นับว่าโชคร้ายที่พรสวรรค์ทางด้านการบ่มเพาะพลังของจวิ๋นอี้กลับมิได้สูงนัก ทำให้อิทธิพลอำนาจที่มีอยู่ของนาง ถูกสองแม่ลูกอย่างซูซื่อกับจวิ๋นรั่วแย่งเอาไปครอบครอง
หากจะว่าไป ฮูหยินใหญ่ผู้นี้สมควรเป็นแค่อนุภรรยาด้วยซ้ำ!
“ฮูหยินใหญ่ ท่านกล่าวเช่นนี้ก็ไม่ถูก นังสวะไร้หัวนอนปลายเท้าเช่นมัน ไม่ควรจะได้เหยียบย่างเข้ามาที่นี่ให้แปดเปื้อนด้วยซ้ำไป! แล้วดูสิ ท่านพี่อุตส่าห์มีเมตตาเรียกนางมาทานร่วมโต๊ะอาหารด้วย แต่จนปานนี้นางก็ยังไม่มา! ทำตัวเป็นคุณหนูใหญ่เอาแต่ใจตัวเอง! คนในครอบครัวต่างต้องมานั่งรอนางเพียงผู้เดียวเช่นนี้ มันคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่มาจากไหนกัน จึงได้กล้าทำตัวไร้มารยาทเยี่ยงนี้!”
ยิ่งฮูหยินรองกล้ากล่าววาจาดุด่าจวิ๋นหลี่หวงมากเท่าไหร่ จวิ๋นจ้านก็ยิ่งไม่สามารถทนฟังต่อไปได้
“ซูซื่อ!”
“ท่านพี่ ไฉนจึงดุข้าเล่า? หรือว่าที่ข้ากล่าวไปไม่เป็นความจริง? นังขยะนี่ถูกไล่มาจากสาขาตระกูลหลักเพราะทำให้ทางนั้นต้องเสียหน้า เห็นชัดแล้วนี่ว่านางมีค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่งเท่านั้น แค่นั้นยังไม่พออี้เอ๋อร์ก็ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเข้าไปอยู่ในตระกูลสาขาหลักอีก นี่มันช่างน่าอับอายขายขี้หน้าซะจริงๆ!”
คำพูดประโยคสุดท้ายของฮูหยินรองดูเหมือนจะจงใจดูแคลนฮูหยินใหญ่อย่างชัดเจน ทำเอาหานชิงกับบุตรชายของนางถึงกับปั้นหน้าไม่ถูกเลยทีเดียว
จวิ๋นรั่วที่นั่งดูอยู่ ได้แต่แอบรู้สึกยินดีอยู่เงียบๆ
“ถูกต้อง! ข้าเป็นคนที่ตระกูลสาขาหลักส่งมา แล้วเจ้าล่ะเป็นใครมาจากไหน? ถึงได้กล้ากล่าววาจาอวดดีถึงเพียงนี้?”
ไม่มีผู้ใดทันสังเกตเห็นว่าหลี่หวงมาถึงตั้งแต่เมื่อใด และเมื่อมาถึง นางก็เปิดฉากสาดวาจาห้วนไร้หางเสียงตอบโต้ซูซื่อที่กำลังอวดดีในทันที น้ำเสียงของนางพลันเปลี่ยนเป็นเย็นสะท้านลงฉับพลันในขณะที่เอ่ยต่อว่า
“คงอยากจะยกยอว่าบุตรสาวตนเองเป็นอัจฉริยะสินะ? เศษสวะสิไม่ว่า… นางเพียงแค่ถูกข้าไล่ฟาดไปหนึ่งทีก็ถึงกับวิ่งร้องห่มร้องไห้มาฟ้องพ่อแม่เช่นนี้ ไม่รู้สึกสมเพชตนเองบ้างเลยรึ? มีน้องสาวเช่นเจ้า ข้ากลับต้องอับอายแทน!”
“จวิ๋นหลี่หวง! นับวันเจ้าช่างปากกล้าขึ้นนักนะ!!”
ซูซื่อเดือดดาลอย่างที่สุด นางลุกขึ้นยืนพร้อมกับยกมือขึ้นชี้หน้าหลี่หวงตวาดเสียงดังลั่น
แต่ทว่าทันทีที่สบสายตาเย็นชาของหลี่หวงเข้า กลับเป็นนางเองที่มือไม้สั่นเทาไม่หยุด
นี่นาง...นางเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?
แววตาของนังสวะนี่...ช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว...
สายตาของนางดุร้ายประดุจอสรพิษที่กำลังจับจ้องเหยื่อก็มิปาน…
“หึ! หากไม่กล้า ข้าก็คงไม่มายืนก่นด่าสุนัขแถวนี้แน่! ข้าปากกล้าแล้วอย่างไร? เจ้ามีปัญญาสั่งสอนข้าก็ลองดู!”
ใช่แล้ว ตอนนี้นางกำลังรู้สึกเดือดดาลอย่างมาก นางกำลังโกรธมากจริงๆ
คำก็สวะ สองคำก็สวะ จะให้นางยิ้มสู้หรืออย่างไร?
เป็นเพราะความโกรธเกรี้ยวภายในใจ จึงยิ่งทำให้นัยน์ตาสีม่วงของหลี่หวงดูพิศวงน่ากลัวมากยิ่งขึ้นไปอีก
“เอาล่ะ! พอได้แล้ว! ซูซื่อ หลี่หวง พวกเจ้าสองคนนั่งลงได้แล้ว!”
จวิ๋นจ้านตบโต๊ะเสียงดังปัง เป็นสัญญาณให้ทั้งสองฝ่ายหยุดทะเลาะกันได้แล้ว
หลี่หวงเร้นซ่อนรังสีสังหารที่สาดสะท้อนผ่านดวงตากลับคืนเข้าไป ก่อนจะค่อยๆทรุดร่างนั่งลงข้างๆจวิ๋นจ้านทันที
“กินข้าวกันได้แล้ว”
จวิ๋นจ้านกวาดสายตาจับจ้องไปรอบๆ บรรยากาศภายในโต๊ะอาหารดูกดดันจนกลายเป็นตึงเครียดอย่างมาก
หลี่หวงก้มหน้าก้มตากินข้าว โดยไม่สนใจที่จะเงยหน้าขึ้นมองผู้ใดอีก
จวิ๋นจ้านปรายหางตาให้หานชิง และดูเหมือนนางเองก็จะเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี
“หลี่หวง เหตุใดเจ้าจึงเปลี่ยนแปลงไปได้มากถึงเพียงนี้ งดงามจนกระทั่งป้าหานจดจำแทบไม่ได้?”
หลี่หวงนิ่งชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะวางถ้วยข้าวและตะเกียบในมือลง ปากก็ย้อนถามอีกฝ่ายกลับไปว่า
“สิ่งที่ท่านป้าหานต้องการจะถามและอยากรู้จริงๆก็คือ ไฉนข้าจึงสามารถบ่มเพาะพลังได้ จนสามารถทำร้ายจวิ๋นรั่วให้รับบาดเจ็บได้กระมัง?”
“เอ่อ...”
หานชิงถึงกับอ้ำอึ้งพูดจาไม่ถูกเลยทีเดียว และไม่รู้ว่าควรตอบอีกฝ่ายกลับไปเช่นใด
นั่นเพราะที่ผ่านมานางแทบไม่เคยเป็นฝ่ายริเริ่มบทสนทนากับเด็กสาวผู้นี้เลยสักครั้ง แต่กลับคิดไม่ถึงว่า นางจะสามารถย้อนถามกลับมาได้อย่างเจ็บแสบถึงเพียงนี้!
“หลี่หวง ไยเจ้าจึงต้องพูดจากับป้าหานเช่นนี้เล่า! ป้าหานเป็นห่วงเจ้าจากใจจริงนะ”
จวิ๋นจ้านกล่าวแทรกขึ้นในทันที
“ในเมื่อลุงจ้านเองก็คงอยากรู้เช่นกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็จักแถลงไขให้พวกท่านได้ทราบสมใจ”
หลี่หวงไม่ได้สนใจคำตักเตือนของจวิ๋นจ้านเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะเอ่ยกล่าวต่อในทันที
“ช่วงเช้าวันนี้ หลังจากที่เยว่เซียวกลับออกไปจากเรือนของข้า กลับมีชายลึกลับผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่เรือนหลังน้อย เขาได้มอบโอสถชำระไขกระดูกให้แก่ข้ามาหนึ่งเม็ด หลังจากกลืนลงไปในท้องแล้ว ใบหน้าของข้าก็กลับกลายมาเป็นอย่างที่พวกท่านเห็นอยู่ในเวลานี้”
หลี่หวงสามารถกุเรื่องโกหกขึ้นมาได้อย่างหน้าตาเฉย โดยไม่มีแม้แต่ร่องรอยความละอายหรือท่าทางผิดปกติแสดงออกมาให้เห็นแต่อย่างใด
ไหนๆหมอนั่นมันก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย ขอยืมตัวมาเป็นข้ออ้างหน่อยก็แล้วกัน!
“โอสถชำระไขกระดูกงั้นรึ!?”
จวิ๋นจ้านลุกพรวดขึ้นยืนด้วยความตกใจในทันที สายตาของเขาจับจ้องไปที่ดวงหน้าของหลี่หวงเขม็ง พร้อมกับเอ่ยออกไปว่า
“นั่นมันโอสถระดับหนึ่งขั้นสูงเลยทีเดียว! แล้วตอนนี้ชายลึกลับที่ว่านั่นอยู่ที่ใดรึ!?”
“ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน”
หลี่หวงยกถ้วยชาขึ้น ท่าทีของนางไร้ซึ่งความประหม่าใดๆปรากฏออกมาให้เห็น
“เจ้าบอกว่าโอสถชำระไขกระดูกงั้นรึ? ไร้สาระสิ้นดี! ข้าว่าเจ้าบ่มเพาะวิชามารนอกรีตเสียมากกว่า! เลิกปั้นน้ำเป็นตัวได้แล้ว!”
ฮูหยินรองเบิกตาโตถลึงใส่หลี่หวง ประหนึ่งว่าอยากจะกลืนกินอีกฝ่ายทั้งเป็น
หลี่หวงเค้นเสียงหัวเราะเย้ยหยันก่อนจะตอบกลับอีกฝ่ายไปว่า
“ข้าหลี่หวง ศึกษาอยู่ในตำหนักชั้นในของตระกูลสาขาหลักมานานหลายปี มีหรือจะไม่รู้จักแยกแยะโอสถแต่ละชนิดได้? อีกอย่างชายลึกลับผู้นั้นก็เป็นคนเอ่ยบอกข้าเองกับปากว่า โอสถนั้นคือโอสถชำระไขกระดูก”
เศษเสี้ยวความทรงจำที่เหลือซึ่งนางยังพอจะจดจำได้นั้น เป็นส่วนที่หลังจากหลี่หวงได้เดินทางมาถึงเมืองหงเฟิงแล้วเท่านั้น มิหนำซ้ำทันทีที่มาถึงที่นี่ นางก็ถูกผู้คนกดขี่ข่มเหงเรื่อยมา วันๆไม่เคยมีโอกาสได้ออกไปที่ใดเลย มีแต่ต้องเก็บตัวอยู่ในเรือนเก่าๆซอมซ่อหลังนั้น อีกทั้งยังโดนบ่าวไพร่จิกหัวใช้ให้ทำงานแทนอีกด้วย
เฮ้ออ...
จากคุณหนูใหญ่ของตระกูลสาขาหลัก กลับถูกลดขั้นให้มาเป็นคุณหนูใหญ่ในตระกูลสาขาย่อยยังไม่พอ ใครจะไปคิดว่าชีวิตของนางจะสามารถตกต่ำได้ถึงเพียงนี้
“แล้วไฉนเจ้าจึงต้องทำร้ายรั่วเอ๋อร์ด้วย! รั่วเอ๋อร์เคยไปล่วงเกินเจ้าตั้งแต่เมื่อใดกัน!?”
ฮูหยินรองมิอาจทนได้อีกต่อไป นางยกมือขึ้นชี้หน้าหลี่หวงพร้อมกับร้องตะโกนออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว
ได้ยินแบบนั้น หลี่หวงถึงกับต้องหรี่ตาลงเล็กน้อย นัยน์ตาลึกล้ำสีม่วงยิ่งปรากฏรังสีจิตสังหารที่ดูน่าสะพรึงกลัวมาขึ้นกว่าก่อนหลายเท่าตัว