ตอนที่5 ร่วมโต๊ะอาหารกับตระกูล
ตอนที่5 ร่วมโต๊ะอาหารกับตระกูล
หลี่หวงพยายามหลบเลี่ยงการโจมตีของอีกฝ่ายอย่างเต็มกำลัง แต่ท้ายที่สุดก็ยังคงถูกกระสุนเพลิงโจมตีเฉี่ยวโดน จนเกิดเป็นบาดแผลถากๆเข้าที่บริเวณต้นแขน
“ศรอัสนี!”
เนื่องจากหลี่หวงมิได้มีไม้กายสิทธิ์ ดังนั้นนางจำต้องใช้มือประสานอินเอาตามที่เหยาอวี้บอกอย่างเงียบๆ
สายฟ้าสีม่วงกลุ่มหนึ่งก่อรวมผนึกกลายเป็นศรอัสนีบาตยาว เมื่อได้จังหวะนางจึงเหวี่ยงพุ่งเข้าใส่จวิ๋นรั่วพร้อมกับหวดเต็มแรง
แม้ว่าระดับการบ่มเพาะพลังของนางจะไม่สูงเทียบเท่าจวิ๋นรั่ว แต่อาศัยพลังจิตวิญญาณของนาง ก็เพียงพอแล้วที่จะชดเชยช่องว่างดังกล่าวได้
แม้นี่จะเป็นเพียงคาถาธรรมดาทั่วไป แต่จำนวนศรที่เธอประสานอินออกมาได้กลับมีนับสิบ!
กระหน่ำขว้างใส่ไม่หยุดมือ คันศรอสนีบาตเหล่านั้นพุ่งตรงเข้าใส่จวิ๋นรั่วอย่างพร้อมเพรียงกัน
“อ๊ากกก!”
จวิ๋นรั่วกรีดร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะล้มลงไปกองกับพื้น แม้ว่าเสี้ยวจังหวะที่ถูกโจมตีสวนกลับมา นางจะร่ายคาถาป้องกันไว้แล้วก็ตาม แต่สุดท้ายนางก็ยังคงได้รับบาดเจ็บจากศรอสนีบาตเหล่านั้นอยู่ดี
“นังขยะ! ไม่ช้าก็เร็วข้าต้องสังหารเจ้าให้ได้!”
จวิ๋นรั่วกุมหัวไหล่ที่ได้รับบาดเจ็บ พร้อมกับลุกขึ้นนั่งจับจ้องหลี่หวงตาเขม็ง
“คุณหนูรอง เจ้าควรหุบปากไปได้แล้ว มิเช่นนั้น เจ้าจะยิ่งตายเร็วขึ้น...”
เมื่อเอ่ยกล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่หวงจึงได้หยุดชะงักเล็กน้อย นางกดสายตาลงต่ำจ้องมองอีกฝ่ายราวกับผู้ที่อยู่เหนือกว่า ก่อนจะถ่มน้ำลายใส่หน้าไปหนึ่งคราพร้อมกล่าวต่อว่า
“เช่นเดียวกับสาวใช้ของเจ้า!”
“เจ้า.. นี่เจ้า!...เป็นเจ้าจริงๆด้วย! นางถูกพิษของเจ้านี่เอง!”
จวิ๋นรั่วขบกรามแน่นกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บแค้นใจ ความอาฆาตแค้นภายในใจของนางที่มีต่อหลี่หวงเวลานี้ ยิ่งเพิ่มทวีมากขึ้นไปอีก
ก่อนหน้านี้ เมื่อเยว่เซียงสาวใช้ประจำตัวของนางวิ่งหนีออกมาจากเรือนหลังนี้ นางก็เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ขอยาถอนพิษจากตน โดยที่เวลานางตัวนางเองก็ไม่รู้อะไรเลยด้วยซ้ำไป! กระทั่งท้ายที่สุดดูเหมือนว่าพิษในตัวเยว่เซียงจะเริ่มกำเริบหนักขึ้น นางจึงได้นอนชักดิ้นชักงอไม่หยุด และเมื่อนึกถึงสายตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นก่อนตายของอีกฝ่าย จวิ๋นรั่วก็ถึงกับรู้สึกหวาดผวาจับใจ!
สายตาของเยว่เซียงที่จ้องมองมานั้น ราวกับว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของนาง! แต่นางมิได้ทำ!
นางรีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับใช้มือกุมไหล่อยู่แบบนั้น ก่อนจะเร่งหนีออกจากเรือนเส็งเคร็งของหลี่หวงไปโดยไว
“ไฉนท่านจึงไม่ลอบวางยาพิษใส่นางหญิงชั่วร้ายผู้นั้นเล่า?”
เหยาอวี้ลอบขึ้นมาเกาะบริเวณหัวไหล่ของหลี่หวง
“ไม่ วางยาพิษให้นางตายในตอนนี้ มันง่ายเกินไป”
หลี่หวงวส่ายหน้าไปมา น้ำเสียงที่เปล่งออกมาฟังดูเลือดเย็นดุจดั่งอสรพิษ
“....ท่านนี่่ช่างชั่วช้าเสียจริง”
“หืม?”
“ไม่ ไม่ ไม่! ข้าหมายถึง...นายท่านช่างชาญฉลาดและหาญกล้ายิ่งนักต่างหากเล่า!”
“กล่าวได้ดี เจ้าอยู่เป็นนี่นา”
“ฮ่าฮ่าๆๆๆ...”
ถึงแม้จะหัวเราะออกมา แต่ทั่วใบหน้าของเหยาอวี้กลับเต็มไปด้วยความขมขื่นใจ
ไฉนมันจึงได้มีเจ้านายนี่น่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้ได้นะ?
หลี่หวงกลับเข้าไปในเรือนเส็งเคร็งดังเดิม ก่อนจะเอ่ยปากสั่งขึ้นว่า
“เหยาอวี้ ข้าต้องการหลอมโอสถ เจ้าติดไฟให้ข้าที”
บาดแผลบริเวณต้นแขนของนาง แม้จะแค่ถากๆแต่ก็ต้องได้รับการรักษา
“....”
เหยาอวี้รู้สึกหดหู่ใจยิ่งนัก เหตุใดมันจึงรู้สึกว่าตนเองต้องถูกกดขี่เยี่ยงนี้?
ในยามที่ดวงสุริยันเคลื่อนลง
มีเพียงแสงสว่างจากแท่งไฟระหว่างทางเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ที่ยังคงให้แสงสว่างในบริเวณนั้น
“อืออ...”
หลี่หวงยืนบิดขี้เกียจยืดตัวอยู่ครู่หนึ่ง จึงค่อยล่าถอยออกจากการหลอมกลั่นโอสถอย่างบ้าคลั่ง
เมื่อกวาดสายตาจับจ้องไปที่เม็ดโอสถหลากหลายสีสันในหม้อหลอม หลี่หวงก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก
“เหยาอวี้ เหตุใดเศษตะกอนสีดำในหม้อหลอมยังคงอยู่อีกล่ะ?”
หลี่หวงจำได้ว่า ตอนเช้านางเพิ่งจะถูกเศษตะกอนแหลมคมเหล่านี้ทิ่มแทงอยู่เลย
“นั่นคือสสารอมตะ ผู้ตีหลอมหม้อโอสถใบนี้ขึ้นมาผสมเจ้าสิ่งนี้ลงไประหว่างการสร้าง เป็นแหล่งพลังศักดิ์สิทธิ์ของหม้อหลอมโอสถวิเศษใบนี้ แต่วางใจเถิด หลังจากทำสัญญากับข้าแล้ว สิ่งนี้จะไม่ทำร้ายเจ้าอีก!”
เหยาอวี้ยกมือขึ้นตบหน้าอกตนเองพร้อมกับเอ่ยกล่าวด้วยความมั่นอกมั่นใจ
“คุณหนูใหญ่ ท่านประมุขเรียนเชิญให้ท่านออกไปรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน”
ด้านนอกประตู จู่ๆก็มีสุ้มเสียงที่ไม่ควรจะมีเปล่งดังขึ้น
“นี่ เจ้ากลับเข้าไปพักในหม้อหลอมโอสถก่อนเถิด”
เหยาอวี้พยักหน้า ก่อนจะอันตรธานกลายเป็นลำแสงสายหนึ่ง หายกลับเข้าไปในหม้อหลอมโอสถวิเศษอย่างรวดเร็ว
หลี่หวงนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงได้ลองนำหม้อหลอมโอสถวิเศษใบนี้เข้าไปเก็บไว้ในห้วงนาโนชิป
ผลที่ได้ก็สำเร็จไปตามที่คาดคิด เวลานี้สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดคงจะหนีไม่พ้นห้วงนาโนชิปนี้
หลี่หวงจัดแจงร่างกายให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ก่อนจะค่อยๆผลักประตูให้เปิดออก
สาวใช้ที่อยู่นอกประตูเป็นสาวใช้คนสนิทของฮูหยินใหญ่ ปกติแล้วนางแทบไม่เคยแม้แต่จะปรายหางตามองหลี่หวงเลยสักครั้งด้วยซ้ำ ทว่าวันนี้กลับดูนอบน้อมต่อนางเป็นพิเศษ ซึ่งกิริยาเช่นนี้ทำให้หลี่หวงถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจ
ไอ้ท่าทางดูเคารพนอบน้อมแบบนี้คืออะไร? ไม่ดูตอแหลไปหน่อยเหรอ?
หลีหวงเดินผ่านหน้านางไปพลางกล่าวขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก
“ไปกันเถอะ”
หลี่หวงไม่แยแสต่อกิริยานอบน้อมมีมารยาทของอีกฝ่าย หลังจากที่นางเดินผ่านหน้าไป สาวใช้นางนั้นก็ได้เงยหน้าขึ้นมองตามแผ่นหลังของหลี่หวงไป
แต่ทว่าสายตาคู่นั้นกลับอัดแน่นไปด้วยความเย้ยหยันดูถูกดูแคลน
“เรียนเชิญคุณหนูใหญ่”
สาวใช้กลับไปอยู่ในท่าก้มหน้าก้มตาอย่างมีมารยาทดังเดิม ก่อนจะรีบเดินนำทางหลี่หวงออกไปทันที
ภายในลานกว้างหน้าจวน
แสงไฟช่างสว่างไสวแตกต่างจากบริเวณหลังจวนอย่างสิ้นเชิง
นี่สินะ...ความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงของตระกูลจวิ๋น
ประมุขตระกูลจวิ๋นนามว่าจวิ๋นจ้าน ส่วนฮูหยินใหญ่นามว่าหานชิง และฮูหยินรองซูซื่อ ทั้งหมดต่างก็นั่งประจำตำแหน่งของตนเองอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาอยู่บนโต๊ะ นอกจากนี้ก็ยังมีคุณหนูรองอย่างจวิ๋นรั่ว และคุณชายสามจวิ๋นอี้นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย
“รั่วเอ๋อร์ อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นเช่นใดบ้าง?”
จวิ๋นจ้านเหลือบมองไปที่ผ้าพันแผลบริเวณหัวไหล่ของบุตรสาว พร้อมเอ่ยถามขึ้นมาประโยคหนึ่ง
“เรียนท่านพ่อ ข้ามิได้เป็นอะไรมากนัก”
จวิ๋นรั่วตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แม้ปากของนางจะบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก แต่ทว่ากลับทำสีหน้าท่าเจ็บปวดทรมานเล็กน้อยออกมาให้เห็น มิหนำซ้ำยังมีน้ำตาคลอเบ้าทำให้ผู้คนต่างก็รู้สึกสงสารเห็นใจ
เสแสร้งทำเป็นว่าตนเองถูกผู้อื่นข่มเหงรังแก แต่กลับไม่กล้าเอ่ยบอกออกมา
ฮูหยิงรองที่เห็นท่าทางการแสดงออกของลูกสาวตัวเอง ก็ทำท่าทางราวกับเจ็บปวดแทนเสียเหลือเกิน
“ท่าน นังขยะน้อยนั่นบังอาจทำร้ายรั่วเอ๋อร์จนบาดเจ็บหนักเช่นนี้ สมควรต้องโทษขับไล่ออกจากตระกูลของเราเสีย! ดูสิ! นังนั่นมันบังอาจทิ้งรอยแผลเป็นไว้ให้นาง เช่นนี้แล้วในภายภาคหน้านางจะสามารถออกเรือนแต่งงานไปกับผู้ใดได้!?”
จวิ๋นจ้านเพียงแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็มิได้เอ่ยตอบอะไร