ตอนที่ 148 เข้าร่วมหน่วยที่ 7(อ่านฟรี)
ตอนที่ 148 เข้าร่วมหน่วยที่ 7
การต่อสู้เปิดฉากแล้ว ข้าต้องรีบพัฒนาตนเองโดยด่วน...
ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่มีทางเลือกนอกจากเข้าร่วมต่อสู้ด้วย แต่จะเข้าไปร่วมสู้ในครั้งนี้ได้นั้นคงต้องรอให้พวกทหารระดับสูงตระหนักถึงความสำคัญของผู้เล่นก่อน
แต่ก่อนจะถึงตอนนั้นเราน่าจะยังพอใช้สถานะของนักเรียนสถาบันศาสตร์นักรบเข้าร่วมศึกได้ เพราะอย่างไรสถาบันศาสตร์นักรบก็เกี่ยวข้องกับกองทัพทั้งหลายของนครดาราฟ้าอยู่แล้ว
ด้วยความสามารถตอนนี้รวมกับอาวุธอย่างค้อนสั่นสะเทือน ดาบหักสังหาร และเกราะเกล็ดทมิฬ เราน่าจะมีพลังเทียบเท่านักรบฝึกหัดระดับ 3 ได้อย่างไม่มีปัญหา
กายเรียกหน้าต่างสถานะของตัวละครตนเอง
“ชื่อ : เดวิน”
“อายุ : 19”
“เพศ : ชาย”
“ระดับ : นักรบฝึกหัด ขั้น 2”
“ศิลปะการต่อสู้ : ทุบ 2/3 (80%) ,ฟาดฟัน 2/3 (83%) ,เจาะทะลวง 0/2 (30%) ,พละกำลัง 1/2 (69%) ,พละกำลัง 1/2 (59%)”
ค่าประสบการณ์ศิลปะการต่อสู้ของกายส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นมาราว ๆ 10 เปอร์เซ็นต์ โดย ‘ฟาดฟัน’ ได้นำ ‘ทุบ’ ไปแล้ว 3 เปอร์เซ็นต์ เพราะช่วงหลัง ๆ กายใช้ดาบหักสังหารผสานกับศิลปะการต่อสู้นี้บ่อย
ส่วนศิลปะการต่อสู้เจาะทะลวงนั้นยังคงไม่สำเร็จขั้นแรกเพราะกายนั้นแทบจะไม่ได้ใช้มันเลย
หลังจากตรวจสอบค่าสถานะตัวเองกายก็ทำการตรวจสอบค่าสถานะอาวุธของตนเอง
...
“ธนูโลหะของกองทัพนครดาราฟ้า”
“ระดับ 4”
“ความสัมพันธ์กับธนู 17%”
“ผู้สร้าง เอ็กกัส”
...
“ดาบหักสังหาร (เสียหาย)”
“ระดับ 5 (9)”
“ความสัมพันธ์กับดาบ 60%”
“ผู้สร้าง โดโก”
...
“ค้อนสั่นสะเทือน”
“ระดับ 5 ขั้นสูงสุด”
“ความสัมพันธ์ 90%”
“ผู้สร้าง เดวิน”
ค่าความสัมพันธ์ของธนูโลหะกับกายเพิ่มขึ้นมาถึง 17 เปอร์เซ็นต์ จากก่อนหน้านั้นที่อยู่ 15 เปอร์เซ็นต์ ความสัมพันธ์กับดาบหักสังหารเพิ่มขึ้นมาจาก 40 เปอร์เซ็นต์เป็น 60 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าขึ้นมาไว้มาก
และค้อนสั่นสะเทือนก็เพิ่มขึ้นเช่นกันแม้จะเป็นแค่ 2 เปอร์เซ็นต์ แต่ค่าความสัมพันธ์นั้นสูงถึง 90 เปอร์เซ็นต์เลย นั้นทำให้ค้อนสั่นสะเทือนแทบจะกลายเป็นเหมือนอวัยวะส่วนหนึ่งของกายไปแล้ว ทำให้ทุกการโจมตีและเคลื่อนไหวรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เช่นเดียวกับชุดเกราะเกล็ดทมิฬที่หลังจากเสียหายในครั้งนั้นกายก็ซ่อมแซมและปรับปรุงเท่าที่จะทำได้ตามพิมพ์เขียวที่มีอยู่ใน ‘หนังสือบันทึกช่างโลหะ’ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นชื่อของผู้สร้างเกราะตัวนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนไป อาจจะเพราะการปรับปรุงของกายนั้นยังคงไม่ส่งผลต่อระดับของชุดเกราะพอควร แต่ถึงแบบนั้นความสัมพันธ์ของชุดเกราะและกายก็เพิ่มขึ้นถึง 20 เปอร์เซ็นต์
“ชุดเกราะเกล็ดทมิฬ เทียม”
“ระดับ 3”
“ความสัมพันธ์กับชุดเกราะ 70%”
“ผู้สร้าง อีไลแอส เรบีอิล”
“หมายเหตุ : ได้รับการปรับปรุงโดย เดวิน”
ขณะที่กายกำลังวิเคราะห์ถึงความสามารถของตนเองในตอนนั้นเองก็มีเดินเข้ามาหยุดอยู่เบื้องหน้าของเขา กายเงยหน้าสบตากับมีอาที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ในตอนนี้
“ตอนนี้เจ้าเลื่อนเป็นนักรบฝึกหัดระดับ 3 แล้ว เหลือก็แต่หัวของโจรที่มีค่า แต่ถ้าใช้ของพวกกองโจรกะโหลกแดงก็น่าจะได้ หลังจากกลับไปที่สถาบันศาสตร์นักรบตอนนี้น่าจะได้รับการเลื่อนชั้นปี 2 ในทันที”
“แต่ตอนนี้ข้ายังมีแค่ 1 หัวเท่านั้น ขาดอีกสอง ส่วนที่สังหารไปก่อนหน้านั้นก็ไม่ได้เก็บกลับมาด้วย อีกอย่างลิลี่ก็ยังได้หัวไม่ครบเช่นกัน ดังนั้นการจบภารกิจคงจะยังไม่ใช่ตอนนี้”
“นั้นก็จริง แต่หลังจากนี้ก็น่าจะมีโอกาสอีกมาก”
“แล้วเจ้าจะเอายังไงต่อหลังจากนี้” มีอาถาม
“ข้าจะรอเข้าร่วมสงครามในครั้งนี้ด้วย แต่ก็ต้องดูก่อนว่าทหารเหล่านั้นจะให้เข้าร่วมหรือไม่”
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะไปด้วย ยังไงซะตอนนี้ข้าก็เป็นนักรบฝึกหัดระดับ 3 แล้ว ยังต้องการหาคาต่อสู้เพื่อทำความคุ้นเคยกับระดับอยู่เช่นกัน”
กายพยักหน้าแผ่วเบาให้มีอา ก่อนที่ทั้งคู่นั่งคุยกันถึงเรื่องต่าง ๆ อยู่ที่ข้างกองไฟ ก่อนที่จะมีคนเข้ามาขัดจังหวะทั้งสอง
“สวัสดี สหายทั้งสองข้านั่งด้วยคนได้หรือไม่”
คนที่เดินเข้ามาทักทายกายและมีอานั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเอเรน เบลลี
หมอนี่มาทำอะไรที่นี่? กายขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัย เขาระวังตัวขึ้นมาในทันที แม้ดูเหมือนชายคนนี้จะเป็นแค่นักเรียนธรรมดา และในการจัดอันดับยังได้ระดับน้อยกว่ากายก็ตาม แต่เขากับรู้สึกว่าเอเรนไม่ได้ง่ายอย่างที่ตาเห็น และเขาก็ไม่ค่อยชอบรอยยิ้มจอมปลอมนั้นสักเท่าไหร่
มีอาเองก็ระวังตัวเช่นกัน เธอรู้สึกว่าชายคนนี้แข็งแกร่งไม่แพ้ตนเอง
“เจ้าต้องการอะไร” กายถามด้วยท่าทีปกติ
“ข้าก็แค่มาทักทายสหายจากสถาบันเดียวกัน”
โกหก!กายพูดในใจคนเดียว เขายังคงนั่งนิ่งไม่กล่าวอะไร มีอาเองก็เช่นกัน เมื่อเห็นท่าทีที่ไม่เป็นมิตรของกายและมีอา เอเรนกลับไม่ได้รู้สึกโกรธเลยแม้แต่น้อย เขายังคงยิ้มให้ทั้งสองคนก่อนจะถามออกไปอีกครั้ง
“เจ้าคือมีอา เวียลินเลียสินะ ช่างงามสมชื่อ จริงสิหลังจากนี้เจ้าจะไปที่ไหนกัน มาเดินทางไปพร้อมกับข้าหรือไม่ ข้ายินดีจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี” เอเรนกล่าวพร้อมกับยื่นมือออกมาให้กับมีอาด้วยท่าทีจริงใจจนน่าขนลุก
มีอามองไปที่มือที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของตน แต่เธอก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากตอบกลับไปสั้น ๆ ว่า “ข้ามีแผนของตนเองแล้ว”
“น่าเสียดายตอนนี้ข้าเข้าร่วมกับกองพลที่ 2 เป็นหนึ่งในทีมย่อยของหน่วย ถ้าเจ้ามาร่วมกับข้าเราสองคนต้องสร้างผลงานได้อย่างดีแน่นอน ถ้าเจ้าเปลี่ยนใจก็มาหาข้าได้ก่อนเที่ยงคืนนี้” เอเรนมองมีอาด้วยรอยยิ้มมุมปาก
ก่อนจะหันไปกล่าวกับกาย “เจ้าก็ด้วยนะ ข้ายินดีที่จะได้ร่วมงานกับช่างโลหะ”
เอเรนเดินจากไปทิ้งให้กายยืนจ้องด้วยความเย็นชา เพราะหมอนี่พึ่งจะข้ามหัวเขาไปเมื่อครู่
“เจ้ารู้ไหมว่าเขามีที่มาอย่างไร” กายถามมีอาที่อยู่ด้านข้าง
“เอเรน เบลลี คนของตระกูลเบลลี”
“ตระกูลเบลลี?”
“อืม เป็นหนึ่งในตระกูลที่พัฒนาได้รวดเร็วมาก เพียงเวลาแค่ไม่กี่สิบปีก็มีอิทธิพลมากในนครดาราฟ้า จัดอยู่ในระดับกลางๆ ไปทางสูงของตระกูลเจ้าพนักงาน ได้ยินมาว่าคนของตระกูลนี้ใช้วิธีแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์กับตระกูลอื่น ๆ ด้วย ในเรื่องการทหารก็มีคนของตระกูลที่กระจายอยู่ในกองทัพทั้ง 4 พอควร บางทีเขาอาจจะได้คนในตระกูลที่อยู่ในกองพลที่ 2 ช่วยเหลือดึงเข้าหน่วย”
“แต่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน เขาพึ่งเข้าพบกับหัวหน้ากองพลที่ 1 ตอนแรกข้าคิดว่าเขาจะเข้าทำงานกับกองพลที่ 1 ดูท่าเรื่องนี้จะมีบางอย่างซ่อนอยู่”
“อืม เจ้าระวังตัวด้วย ข้ารู้สึกว่าตัวของเขามีแต่กลิ่นเลือด” มีอากล่าวเตือนกายด้วยความห่วงใย
“เจ้าก็เช่นกัน ข้าว่าการที่เขาเข้ามาหาเจ้าในครั้งนี้คงไม่ง่ายอย่างที่คิด” กายก็เตือนมีอากลับไปเช่นกัน
“อืม” มีอาพยักหน้าอย่างแผ่วเบา
ตอนนั้นเองก็มีทหารเข้ามาหาพวกเขาทั้งสองคนบอกกับพวกเขา
“เจ้าทั้งสอง...หัวหน้าหน่วยทิฟอนต้องการพบ” กล่าวจบทหารนายนั้นก็เดินนำไปทันที
มีอาหันมามองกาย กายพยักหน้าให้ ก่อนจะเดินตามไปทหารนายนั้นไป
ผ่านไปไม่นาน กายและมีอาก็มาถึงยังสถานที่ซึ่งหน่วยที่ 7 ทหารม้าเกราะเบา กองพลที่ 1 กองทัพพิทักษ์ตะวันออก พักผ่อนอยู่
ทหารนำกายเข้าไปพบกับหัวหน้าหน่วยทิฟอนทันที
“พวกเจ้าทั้งสองมาแล้ว”
กายและมีอาทำความเคารพตามแบบที่ทหารทำกัน ก่อนจะเอ่ยถาม “หัวหน้าหน่วยทิฟอน ท่านเรียกพวกเราสองคนมามีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”
“ที่เรียกพวกเจ้ามาเพราะอยากจะถามว่าพวกเจ้าจะทำอย่างไรต่อหลังจากนี้ เพราะด้วยสถานการณ์ตอนนี้พวกเจ้าน่าจะรู้อยู่แล้วว่าพวกเราโดนทหารจากนครแสงเทวาโจมตีที่ด่านหน้า ทางกองทัพตัดสินใจส่งทหารสามกองพลออกไปตอบโต้เพื่อชิงพื้นที่ด่านหน้าคืน พวกเจ้าอยากไปกับหน่วยของข้าด้วยหรือไม่ แต่ก่อนจะตอบข้าขอเตือนไว้ก่อนว่าที่คือสงครามจริง ๆ มิใช่การต่อสู้กับกลุ่มโจรกระจอกพวกนั้น ดังเจ้าควรรู้ว่าอาจจะตายได้ทุกเมื่อ” หัวหน้าหน่วยทิฟอนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง สายตามองไปที่ทั้งสองเพื่อรอคำตอบ
แต่ก่อนที่กายจะกล่าว มีอาที่เงียบมาตลอดก็ถามขึ้นมา “ขาขอถามท่านหัวหน้าหน่วยทิฟอนได้หรือไม่เจ้าค่ะ”
“เชิญ”
“ทางกองทัพคิดจะทำสงครามเต็มรูปแบบกับทางนครแสงเทวาหรือไม่”
“ยังไม่อาจจะตอบได้ ตอนนี้กองทัพพิทักษ์ตะวันออกยังไม่มีแม่ทัพที่เข้ามารับตำแหน่ง จึงต้องรอการตัดสินใจจากทางสภาสูงก่อน”
กายได้ยินว่าตำแหน่งแม่ทัพแห่งกองทัพพิทักษ์ตะวันออกยังคงเว้นว่างอยู่ เขาก็ถึงกับขมวดคิ้วทันที แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
ส่วนมีอานั้นพอได้คำตอบหญิงสาวก็พอจะเดาอะไรหลายอย่างได้แล้ว ก่อนที่เธอจะตอบกลับไป
“ข้ายินดีเข้าร่วมหน่วยที่ 7 ของท่าน”
หัวหน้าหน่วยทิฟอนหันมามองกาย “ข้ายินดีเข้าร่วมกับหน่วยของท่านเช่นกัน”
กายและมีอาตอบรับอย่างรวดเร็ว ซึ่งที่จริงแล้วกายก็รอคำชวนของหัวหน้าหน่วยทิฟอนก่อนแล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องคิดมากอะไร
“ดีมาก!สมกับที่เป็นเด็กหนุ่มสาวจากสถาบันศาสตร์นักรบ พวกเจ้าไปเตรียมตัวเถอะ ก่อนเที่ยงคืนมาพบข้าที่นี่เราจะออกเดินทางกัน ส่วนสหายอีกคนของเจ้าให้นางพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ก็ได้”
หัวหน้าหน่วยไม่ได้กล่าวถึงเอเรนและโอเวน...
กายไม่ได้ถามเรื่องทั้งสองคน ก่อนที่กายและมีอาออกจากห้องไปเตรียมตัว
อย่างแรกคือมีอาเข้าไปพูดคุยกับลิลี่ ซึ่งลิลี่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพราะรู้ว่าตัวเองนั้นยังบาดเจ็บอยู่จึงต้องพักอยู่ที่ป้อมปราการไปก่อน ส่วนกายนั้นเขาไปเช็กสภาพของเจ้าหมอกและเจ้าถึก การไปรบครั้งนี้กายจะพาไปแค่เจ้าหมอกและเหยี่ยวโคดี้เท่านั้น
ส่วนเจ้าถึกกายได้ฝากไว้ที่คอกม้าทหารแทน
ถึงเวลาเที่ยงคืนกองพลทั้งหมดก็เตรียมตัวออกเดินทางในทันที โดยจะมีสองกองพลที่ออกเดินทางก่อนคือ กองพลที่ 1 และกองพลที่ 2 ส่วนกองพลที่สามนั้นจะออกเดินทางในรุ่งเช้า เพราะภารกิจของพวกเขาคือการสนับดังนั้นจึงต้องเตรียมของไปมากพอควร
การเดินทางยามค่ำคืนนั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ในแต่ย่างก้าวนั้นจะมีหน่วยสอดแนมน้ำหน้าออกเดินทางไปก่อนเสมอเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกซุ่มโจมตีระหว่างทางได้ และตลอดการเดินทางไม่มีทหารคนใดส่งเสียงพูดคุยแม้แต่น้อย
กองพลที่ 1 และกองพลที่ 2 ออกจากป้อมปราการตะวันออกมาราว ๆ 20 นาทีทั้งสองกองพลก็แยกขบวนทัพออกจากกันก่อนจะเดินไปคนละเส้นทาง
ทำให้ในตอนนี้กองพลที่ 1 นั้นเดินทางเพียงลำพัง ในหนึ่งกองพลจะมีทั้งหมด 9 หน่วยด้วยกัน และในหนึ่งหน่วยจะมีทหารพล 100 นาย
หน่วยที่กายและมีอาอยู่นี้คือหน่วยที่ 7 ทหารม้าเกราะเบา ดังนั้นทหารทุกนายจึงขี่ม้า ทำให้เดินทางได้เร็วกว่าหน่วยอื่น ๆ ตอนนี้กายและมีอาต่างก็นั่งอยู่บนหลังม้าของตนเองปะปนอยู่กับพลทหารของหน่วยที่ 7
ที่ตัวของทหารทุกนายจะมีตะเกียงน้ำมันที่ให้แสงสว่างในการเดินทางของกองทัพ ในตอนแรกกายคิดว่าพวกทหารจะใช้คบเพลิงกัน แต่พอมาคิดดูแล้วด้วยระยะเวลาที่เดินทางกันหลายชั่วโมงบวกกับลมที่แรง ดังนั้นเพื่อความสะดวกพวกเขาจึงใช้ตะเกียงน้ำมันกัน
ซึ่งที่กายก็มีตะเกียงน้ำมันที่รับมาจากทางป้อมปราการด้วยเช่นกัน มันผูกติดอยู่ข้างหลังตรงสัมภาระ