บทที่ 79 สมบัติล้ำค่าที่ผมรักมากที่สุด
ในขณะที่ช่างภาพกำลังถ่ายรูปบ้านอยู่นั้น ซูเชิ่งจิ่งก็เทน้ำเย็นๆให้กับทุกคน “ขอโทษด้วยนะ พอดีที่บ้านไม่มีอะไรให้ดื่มเลย นอกจากน้ำเปล่าธรรมดา และโปรดรอสักครู่ ผมขอตัวไปล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เดี๋ยวผมจะร่วมมือกับคุณในการถ่ายทำ”
ทุกคนที่มาที่นี่ต่างก็ดูถูกซูเชิ่งจิ่ง แต่เมื่อเห็นความสุภาพของเขาที่แสดงออกมา ทัศนคติของพวกเขาก็อ่อนลงเล็กน้อย
ซูเชิ่งจิ่งล้างหน้าล้างตา และเขาก็เปิดตู้เสื้อผ้าและพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้น เขาก็หยิบเสื้อเชิ้ตและกางเกงลําลองที่ไม่ได้สวมใส่มาเป็นเวลานานออกมา
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เขามีชีวิตที่ลำบากมาก เขาจึงสวมเสื้อผ้าที่ใส่สบายๆในวันธรรมดา โดยเฉพาะช่วงหน้าร้อน เขาจะใส่เพียงเสื้อกั๊ก กางเกงขาสั้น และสวมเพียงรองเท้าแตะเท่านั้น
ส่วนเสื้อผ้าอย่างเสื้อเชิ้ตก็ถูกเก็บไว้อยู่ในกล่อง
หลังจากที่หยิบมันออกมาแล้ว ซูเชิ่งจิ่งก็รู้สึกเศร้าอยู่บ้างเล็กน้อย และมีอารมณ์ที่ซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูก
เขาเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วส่องกระจกเพื่อจัดทรงผมของตัวเองให้เรียบร้อย
ผู้ชายที่สะท้อนอยู่ในกระจกมีเส้นผมสีดำสนิท และมันก็ไม่ได้ยุ่งเหยิงอีกต่อไป ส่วนใบหน้าของเขาก็สะอาดสะอ้านไม่มีตอซัง ซึ่งทำให้ความผันผวนของชีวิตและความเสื่อมโทรมน้อยลงอย่างมาก และเมื่อเขาสวมเสื้อเชิ้ตแล้วก็ยิ่งเหมือนนักธุรกิจชั้นนำ
ค่อยดูเหมือนชายหนุ่มที่มีอายุ 24 ปี ขึ้นมาหน่อย
เมื่อมองไปที่ใบหน้าของตัวเอง ซูเชิ่งจิ่งก็นิ่งไปหลายวินาที
นี่คือเขาจริงๆเหรอ...เขาสามารถกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้จริงๆใช่ไหม?
ไม่ว่าเขาจะสามารถมีชีวิตอยู่กับความรุ่งโรจน์เหมือนเมื่อก่อนได้หรือไม่ก็ตาม แต่เขาจะต้องต่อสู้เพื่อเสี่ยวจิ่ว
หลังจากที่ดูแลตัวเองเสร็จแล้ว ซูเชิ่งจิ่งก็กลับไปที่ห้องนั่งเล่น และเมื่อหลายคนเห็นเขาเดินเข้ามา ดวงตาของพวกเขาก็เป็นประกายทันที
ต้องบอกว่าพื้นฐานหน้าตาและอารมณ์ของซูเชิ่งจิ่งนั้นดีมาก หลังจากที่เขาผอมลงแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ก็แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เอาล่ะ ก่อนหน้านี้พวกเขายังกังวลว่ามันจะมันเยิ้มจนเกินไป และอาจจะส่งผลต่อความรู้สึก แต่ตอนนี้ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว
ช่างภาพจึงถามขึ้นว่า “เรามาเริ่มถ่ายทำกันเลยไหม?”
ซูเชิ่งจิ่ง “ได้สิ”
“โอเค” ช่างภาพยืนขึ้น และเขาก็ยกกล้องขึ้นมาแล้วปรับกล้องเล็กน้อย พร้อมกับพูดกับซูเชิ่งจิ่งว่า “แนะนําตัวเองและเด็กก่อนเลย”
เขาไม่ได้เผชิญหน้ากับกล้องมานานมากแล้ว ถึงแม้ว่าตัวเขาจะมีประสบการณ์มากมายมาก่อน แต่ซูเชิ่งจิ่งก็ยังคงรู้สึกประหม่าอยู่บ้างเล็กน้อย
เพราะเขาก็ไม่แน่ใจจริงๆ ว่าตัวเองจะสามารถพึ่งพารายการวาไรตี้เพื่อสร้างความประทับใจที่ดีได้หรือไม่? หรือจะทําให้เกี๊ยวน้อยถูกดุอย่างอนาถมากขึ้นกว่าเดิมกันแน่
เขาจึงพยายามทําให้ตัวเองเยือกเย็นลง จากนั้น เขาก็โค้งมุมปากให้กับกล้อง “สวัสดีเพื่อนผู้ชม ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ผมชื่อซูเชิ่งจิ่ง และผมก็มีลูกสาวอยู่คนหนึ่งเธอมีชื่อว่าเสี่ยวจิ่ว เธอมีอายุยังไม่ถึงสี่ขวบดี แต่เธอเป็นสาวน้อยน่ารักที่วิเศษมาก ซึ่งเปรียบเสมือนของขวัญจากสวรรค์ที่มอบให้กับผม และเป็นสมบัติล้ำค่าที่ผมรักมากที่สุด”
“แต่ตอนนี้สาวน้อยยังหลับอยู่เลย เดี๋ยวผมจะพาพวกคุณไปดูเธอกัน แต่เราต้องไปอย่างเงียบๆ เพื่อไม่ทำให้เธอตื่น” ซูเชิ่งจิ่งทําท่าทางเดินไปอย่างเงียบๆ และพาช่างภาพไปที่ห้องนอน
ท่าทางลึกลับของเขา มันช่างน่าสงสัยและคาดหวังไปพร้อมกัน
ช่างภาพอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา เพราะผู้ชายคนนี้เคยเป็นดาราที่ดังมาก ดังนั้น เขาจึงควบคุมกล้องและจังหวะได้ดีมากเช่นกัน ซึ่งไม่จําเป็นต้องให้ทีมงานคอยแนะนำอะไรเลย
ในขณะที่กําลังคิดอยู่นั้น จู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงน้ำนมดังขึ้น “ป๊ะป๋า…”
ช่างภาพตกใจมากที่จู่ๆก็ได้ยินเสียงนั้น เขาจึงเล็งกล้องไปที่ประตูห้องโดยไม่รู้ตัว
และทันทีที่เห็นซูจิ่ว เขาก็รู้สึกประทับใจในทันที
ว้าว❗️ เด็กหญิงตัวน้อยที่ใส่ชุดนอนกระต่ายสีชมพู และมีตุ๊กตาหมีอยู่ในอ้อมแขน อีกทั้งบนหัวยังมีหูกระต่ายคนนั้นเธอคือใครกัน ❗️❗️
ดูเหมือนว่าซูจิ่วจะยังสะลึมสะลืออยู่ เธอก้าวเท้าเล็กๆแล้วเดินโซซัดโซเซไปยังซูเชิ่งจิ่ง ก่อนที่เธอจะโผเข้าไปในอ้อมแขนของเขา “ป๊ะป๋า อุ้ม…”
ซูเชิ่งจิ่งเอื้อมมือออกไปอุ้มเธอขึ้นมา แล้วกระซิบว่า “ลูกตื่นแล้วเหรอ? มันเป็นความผิดของป๊ะป๋าเอง”