ตอนที่ 146 พบหัวหน้ากองพลเกล โดเรียน(อ่านฟรี)
ตอนที่ 146 พบหัวหน้ากองพลเกล โดเรียน
“คือเรื่องราวมันเป็นเช่นนี้....” กายเล่าเรื่องแบบสั้น ๆ โดยรวบลัดตัดตอนพอให้เข้าใจได้ให้กับมีอา ซึ่งเขาบอกเรื่องตามล่าค่าหัวผู้เล่นและเจอกับจดหมายจึงรู้ว่าโจรที่ชื่อกระทิงเขียวคือทหารของทางฝั่งนครแสงเทวาลักลอบแฝงตัวเข้ามาที่ทุ่งหญ้ากิรา
จากนั้นก็ปลอมตัวไปซื้อข้อมูลมา ทำให้ต้องปลอมตัวเข้าไป แต่พอได้ข้อมูลมาก็รีบมาตามหามีอาและลิโครงสร้าง ตนเองจึงยังไม่มีโอกาสได้เปลี่ยนชุด ส่วนคนที่ตามล่าตนนั้นกายเพียงอ้างไปเรื่องจดหมายที่ได้มาในตอนแรก ซึ่งเขาฆ่ามนุษย์ไฟพวกนั้นไป พวกมันคงจะมาตามแก้แค้นเรื่องนี้
ส่วนเรื่องอื่น ๆ กายไม่ได้เล่าอีก เขาเพียงปล่อยเงียบไปเท่านั้น
มีอาเองก็ไม่ได้ถึงเรื่องนี้ต่อ เพราะถ้ากายไม่ยอมเล่าเธอก็ไม่คิดจะบีบบังคับอย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา อีกอย่างตอนนี้มีอาปะติดปะต่อเรื่องราวเกี่ยวกับคนที่ตนสู้ด้วยวันนี้แล้ว
ซึ่งในตอนนี้เธอคิดว่าคงจะเป็นคนจากองค์กรที่แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่ง ตอนนี้พอรู้ว่าเป็นทหารจากนครแสงเทวาจึงไม่ได้ตกใจมากนัก
“แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจ พวกนั้นลงทุนส่งทหารปลอมเข้ามาเพื่อสิ่งใด เพราะถ้าทำแบบนั้นละก็...” กล่าวมาถึงตรงนี้เสียงของมีอาก็เงียบหายไป ก่อนเธอจะเงยหน้ามองกายด้วยความตกตะลึง
สายตาที่ส่งมาราวกับจะถามเขาว่าเป็นแบบที่ตนคิดหรือไม่
“พวกนั้นจะโจมตีนครดาราฟ้า” กายตอบไปด้วยเสียงที่เบาพอได้ยินกันสองคน แต่เขาก็ระวังตัวยังมองไปรอบ ๆ กลัวจะมีคนได้ยินอีก
“เราต้องรีบไปเตือนพวกเขา” มีอาคิดจะลุกขึ้นยืน แต่กายก็ห้ามเธอไว้ก่อน
“ใจเย็นก่อน” กายหยุดมีอา ก่อนจะเตือนสติหญิงสาว “เจ้าลองคิดดู ว่าถ้าเราไปบอกทั้งที่ยังไม่รู้แน่ชัดจะเป็นเช่นไร”
มีอาได้ฟังคำเตือนของกายก็หยุดการกระทำและไตร่ตรองถึงเรื่องราวทั้งหมดในทันที
ถ้าเกิดเธอวิ่งออกไปบอกเรื่องที่ยังไม่รู้แน่นอน มีหวังโดนสงสัยเป็นอันดับแรกแน่นอน และต่อให้จะเป็นนักเรียนจากสถาบันศาสตร์นักรบก็คงไม่ต่างกันมากนัก
“เราจะเอาอย่างไรต่อดี”
“ไม่ต้องทำอะไร ป้อมปราการนี้คงไม่แตกง่าย ๆ อย่างแน่นอน อีกอย่างสงครามที่จะเกิดขึ้น พวกเราเป็นเพียงนักรบฝึกหัดเท่านั้นไม่สามารถหยุดยั้งมันได้อย่างแน่นอน บางทีทางกองทัพอาจจะมีข้อมูลหรือเบาะแสอยู่บ้างแล้ว เพียงแต่ยังไม่มั่นใจเท่านั้น อย่าลืมว่าพวกเขาคือทหารของนครดาราฟ้า ที่ไม่ได้อ่อนแอไปกว่านครแสงเทวาแม้แต่น้อย” กายกล่าวอย่างเงียบขรึม ก่อนจะผันผ้าที่แขนของมีอาจนเสร็จพอดี
“เสร็จแล้ว เจ้าพักก่อนเถอะ ข้าก็จะขอพักบ้างเช่นกัน”
กายกล่าวจบก็ถอดหน้ากากออกและทิ้งตัวลงนอนเตียงพยาบาลข้าง ๆ ที่ว่างอยู่ในทันที ที่จริงแล้วในโถงพยาบาลก็แทบจะไม่มีคนอยู่แล้วและด้วยความที่โถงพยาบาลแห่งนี้ใหญ่มากราว ๆ 50 เมตรสุดสายตาเห็นจะได้ ดังนั้นมันจึงดูโล่งสุด ๆ ไปเลย
หลังจากทิ้งตัวลงนอนกายก็งีบหลับไปในทันที เนื่องจากตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่เขายังไม่ได้นอนในโลกราชันแม้แต่น้อย ทั้งในโลกจริงกายก็ต้องเจอแต่เรื่องอันตรายและก็ยังไม่ได้พักผ่อนเช่นกัน
ทำให้กายหลับไปอย่างรวดเร็ว
...
กายหลับไปไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ในตอนนั้นเองมีอาก็ปลุกเขา กายลืมตาขึ้นมาก็เห็นมีอาที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ ด้านข้างยังมีลิลี่ที่ตอนนี้มีผ้าพันที่แผลและที่แขนก็มีผ้าคล้องแขนขวาอยู่
“พวกเจ้าทั้งสองมีอะไรหรือไม่” กายถามออกมา
“มีทหารมาบอกว่าหัวหน้ากองพลที่ 1 ต้องการพบพวกเรา” มีอากล่าวออกมา ก่อนจะสงสายตาไปให้กายดู ตอนนี้มีทหารนายหนึ่งมายืนรอพวกเขาอยู่
“อืม เราไปกันเถอะ ว่าแต่ลิลี่เจ้าไปไหวใส่ไหม” กายหันไปถามลิลี่ด้วยความเป็นห่วงเพราะก่อนหน้านั้นเธอยังหน้าซีดเพราะอาการบาดเจ็บอยู่
“ไม่เป็นอะไรแล้ว พอดีแผลข้าได้รับการเย็บแล้ว และที่ตัวก็พอมียาช่วยฟื้นตัวอยู่บ้าง” ลิลี่ตอบอย่างล่าเริง กายเห็นเช่นนั้นก็พยักหน้า ก่อนจะเดินไปหาทหารนายนั้น
“ขออภัยด้วยที่ปล่อยให้รอนาน พอดีพวกข้าเหนื่อยไปหน่อย” กายเดินเข้าไปกล่าวขอโทษอย่างเกรงใจ
“พูดเป็นกันเองเถอะ ข้าแค่พลทหารธรรมดาเท่านั้น ในเมื่อพวกเจ้าพร้อมแล้วก็ไปกันเถอะ ตอนนี้ท่านหัวหน้ากองพลรอพบอยู่”
กล่าวจบพลทหารนายนั้นก็หันหลังกลับเดินนำพวกเขาออกไปในทันที
หลังจากเดินเข้ามาด้านในป้อมปราการ พวกเขาก็มาหยุดอยู่ที่หน้าลิฟต์แบบรอก ที่ดูเหมือนจะเป็นแบบย้อนยุคพอสมควร ซึ่งเมื่อดูดี ๆ ขนาดของลิฟต์นั้นใหญ่มากจนสามารถบรรจุคนได้นับร้อยและก็ไม่ได้มีแค่ตัวเดียวแต่มีตามจุดต่าง ๆ เยอะพอสมควร
“ที่นี่มีลิฟต์ด้วย” กายถามออกไป
“มันไว้ใช้ขนทหารหรือไม่ก็ส่งสิ่งของและอาวุธขึ้นไปด้านบน พวกเจ้าคงไม่คิดว่าพวกเราจะแบกของขึ้นบันไดใช่ไหม” พลทหารหันมาพูดอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะกล่าวต่อ “เข้ามาเถอะ ท่านหัวหน้ากองพลอยู่ที่ชั้น 3”
ทั้งสามคนเดินตามพลทหารไป ก่อนจะ
“ข้าถามได้หรือไม่ที่นี่มีกี่ชั้นกัน” กายถามออกไปแต่คิดขึ้นได้ว่าเขากำลังจะถามโครงสร้างของป้อมปราการซึ่งน่าจะไม่ใช่เรื่องที่ควร จึงกล่าวเสริมไป “ถ้าเป็นความลับไม่ต้องตอบก็ได้”
มีอาและลิลี่ที่อยู่ด้านข้างก็ฟังอย่างเงียบ ๆ ด้วยความสนใจ
“ไม่ได้เป็นความลับขนาดนั้นหรอก ที่นี่คือป้อมปราการตะวันออก มีอยู่ด้วยกัน 7 ชั้น ชั้น 5 คือทางเชื่อมไปยังกำแพงที่ใช้ป้องกัน ส่วนพวกเราจะไปยังชั้น 3 กัน”
หลังจากผ่านไปไม่กี่นาที กาย มีอาและลิลี่ก็มาถึงยังหน้าห้องแห่งหนึ่ง ซึ่งพอพลทหารผู้นั้นเคาะประตูและขออนุญาตแล้วกายและพวกจึงได้ถูกให้พาตัวเข้าไป
ด้านในห้องไม่ได้มีอะไรแปลกพิสดารมากนัก มันเป็นเพียงห้องทำงานทั่วไป มีหน้าต่างขนาดเล็กสองบานทางด้านซ้ายมือพอให้แสงเข้าและหน้าต่างใหญ่ที่มีกรงเหล็กติดอย่างแน่นหนา ซึ่งมองเห็นกำแพงอย่างชัดเจนอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงาน ด้านข้างทางสองฝั่งมีชั้นเอกสารและอาวุธทั้งดาบ ธนูและปืนคาบศิลาติดอยู่ตามผนังห้อง
ของพวกนี้ไม่ได้เพียงไว้โชว์ แต่สามารถใช้งานได้จริง
ที่โต๊ะทำงานมีนายทหารแต่งกายด้วยชุดเกราะนั่งอยู่และกำลังอ่านเอกสารบางอย่างอยู่ แต่ที่ทำให้กายตกใจจริง ๆ ก็คือ นอกจากเขา มีอาและลิลี่แล้ว ยังมีนักเรียนจากสถาบันศาสตร์นักรบคนอื่นอยู่ด้วย และไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่มีถึงสองคน
โบเวน วาธ...
เอเรน เบลลี...
กายนึกถึงชื่อทั้งสองคนนี้ ตั้งแต่เดินทางออกมาในครั้งนั้นพร้อมกันที่สถาบันศาสตร์นักรบ เขาก็ไม่เจอเบาะแสของทั้งสองอีกเลย ใครจะคิดว่าจะมาเจอพวกเขาที่นี่
โบเวน วาธ ยังคงเป็นชายผู้เงียบขรึมตามเดิม ส่วนเอ เบลลีนั้นก็ยังมีรอยยิ้มที่เป็นมิตรจนน่าขนลุกเช่นเคย กายคิดในใจ ก่อนจะกลับมาสนใจชายใส่เกราะด้านหน้า
“ท่านนี้คือหัวหน้ากองพลที่ 1 กองทัพพิทักษ์ตะวันออก ท่านหัวหน้ากองพลเกล โดเรียน” หัวหน้าหน่วยทิฟอนกล่าวแนะนำให้กาย มีอาและลิลี่รู้จัก
ทั้งสามคนรีบทำความเคารพในทันที
“ไม่ต้องมากพิธีอะไร ที่นี่คือป้อมปราการทหารขอแบบรวบรัดเลยก็แล้วกัน ข้าพอจะรู้ข้อมูลของพวกเจ้าสามคนมาบ้างแล้วจากหัวหน้าหน่วยทิฟอนและพวกเจ้าก็เป็นนักเรียนจากสถาบันศาสตร์นักรบสินะ ดังนั้นทำตัวตามสบายเถอะที่ข้าเรียกตัวมาก็แค่จะมาสอบถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเท่านั้น” ผู้นำกองพลเงยหน้าขึ้นมากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร
ทั้งสามคนมองหน้ากันไปมา ก่อนที่มีอาจะเดินออกมาและเริ่มเล่าในส่วนของตนเองกับลิลี่ก่อน ตั้งแต่ที่เธอตามลายของกระทิงเขียวมาจนถึงการโดนลอบโจมตีที่แอ่งน้ำและได้กายเข้ามาช่วยไว้
เมื่อมีอากล่าวจบกายก็เล่าในส่วนของเขา ซึ่งก็ไม่ต่างจากที่เล่าให้มีอาฟังโดยปรับเสริมเติมแต่งบางส่วน โดยเฉพาะเรื่องที่อาจจะมีการโจมตีป้อมปราการตะวันออกตัดออกไป แน่นอนว่าเขาก็ยังทิ้งเบาะแสอย่างเช่นเรื่องที่คนสู้ด้วยทั้ง 5 นั้นใช้รูปแบบทหารสู้กับเขาและบีบบังคับจนมีอาเสียเปรียบ
หลังจากกายเล่าจบบรรยากาศในห้องก็เงียบลง ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก ขณะที่หัวหน้ากองพลเกล โดเรียนนั้นก็กำลังเขียนบางอย่างลงไปอยู่
“พวกเจ้าโชคดีมากที่รอดมาจากจิตวิญญาณนั้นได้จนหัวหน้าหน่วยทิฟอนไปถึง พวกเจ้าก็พักอยู่ที่นี่กันก่อนหลังจากหายดีก็ค่อยกลับออกไปทำภารกิจต่อ พวกเจ้าสองคนก็เช่นกัน” หัวหน้ากองพลเกล โดเรียนกล่าวกับกาย มีอาและลิลี่จบก็หันไปกล่าวกับโบเวนและเอเรน
กายหันไปมองทั้งสองเช่นกัน ดูเหมือนพวกเขาแม้จะอยู่ในห้องนี้พร้อมกัน แต่ทั้งสองก็ดูจะไม่ได้สนิทกัน โดยเฉพาะโวเวนที่รักษาระยะห่างจากทุกคน
ขณะที่กายมองไปยังทั้งสองคน ทั้งสองก็หันมามองกายเช่นกัน โบเวนไม่ได้แสดงท่าทีอะไรนอกจากความเฉยชาเท่านั้น ส่วนเอเรนนั้นยิ้มออกมาเหมือนจะรู้ว่ากายแอบสำรวจตนเอง
ในตอนนั้นเองก็มีทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยความรีบร้อนก่อนจะกล่าว “ท่านหวันหน้ากองพลเกล โดเรียน มีการเรียกประชุมด่วนจากท่านรองแม่ทัพ”
หัวหน้ากองพลเกล โดเรียน หันมาถามด้วยความสงสัยทันที “เกิดอะไรขึ้นถึงมีการเรียกประชุมด่วน”
“ด้านหน้าจำนวน 12 แห่งของเราถูกโจมตี” พลทหารคนนั้นกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง
ทุกคนได้ยินก็ดูจะตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ทั้งหัวหน้ากองพล หัวหน้าหน่วย ไม่เว้นแม้แต่โบเวนและเอเรนที่ดูเหมือนจะตกใจเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่ทุกคนสามารถรักษาท่าทีไว้ได้ จะยกเว้นอยู่คนเดียวก็คือลิลี่ที่ตอนนี้ตกใจมากจนอ้าปากค้างไปแล้ว
ส่วนกายและมีอาทั้งสองรู้อยู่แล้วจึงหันมามองหน้ากัน
เริ่มแล้ว...กายพึมพำในใจ