ตอนที่ 145 ป้อมปราการดาราฟ้าตะวันออก(อ่านฟรี)
ตอนที่ 145 ป้อมปราการดาราฟ้าตะวันออก
กายมองไปที่หัวหน้าหน่วยทหารที่นั่งอยู่บนหลังม้า ก่อนจะเอ่ยตอบกลับไปด้วยท่าทางตามปกติ
“เป็นข้าเอง”
“ถ้าไม่อยากตายจงอย่าได้ทำอีก ถ้าจิตวิญญาณที่ยังถูกสยบถูกปล่อยออกมาอย่างไม่ถูกต้องมันจะไล่ฆ่าคนที่ปล่อยมันออกมาจนกว่าจะตายไปข้างหนึ่ง ครั้งนี้ถือว่าเจ้าโชคดีที่ข้ามาช่วยไว้ได้ทันการ แต่ครั้งหน้าเจ้าอาจจะไม่โชคดีเช่นนี้อีก” หัวหน้าทหารเตือนด้วยน้ำเสียงเชิงดุด่า
กายไม่ได้รู้สึกโกรธ เขาทำเพียงพยักหน้ารับ เพราะจากคำพูดแล้ว หัวหน้าทหารเพียงกล่าวเตือนเท่านั้น
หลังเห็นการรับการกล่าวเตือนของตน หัวหน้าทหารก็พยักหน้าอย่างพอใจ ต่อท่าทีของกาย ส่วนใหญ่แล้วเด็กหนุ่มที่เรียนที่สถาบันศาสตร์นักรบมักจะหยิ่งทะนงในตนเองและไม่ค่อยฟังหัวหน้าทหารเช่นเขาสักเท่าไหร่
“ข้าชื่อ ทิฟอน หัวหน้าหน่วยที่ 7 ทหารม้าเกราะเบา กองพลที่ 1 กองทัพพิทักษ์ตะวันออก” ทิฟอนแนะนำตัวเองให้ทั้งสามคนอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
“ขอบคุณหัวหน้าหน่วยทิฟอนที่ช่วยเหลือในครั้งนี้ ข้าเดวิน ส่วนนางชื่อ มีอา เวียลินเลียและด้านนั้นคือ ลิลี่ มอฟฟี่” กายแนะนำตัวและสหายอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
หัวหน้าหน่วยทิฟอนพยักหน้ารับ ก่อนจะกล่าวต่อ “สภาพของพวกเจ้าควรจะตามเราไปที่ป้อมปราการตะวันออกก่อน อย่างน้อยก็รักษาตัวให้ดีก่อนก็แล้วกัน จริงสินี่คือของเจ้าเก็บไว้ให้ดี”
เมื่อกล่าวจบก็โยนบางอย่างมาให้กับชายหนุ่ม กายรีบยื่นมือมาคว้ามันไว้ในทันที เขามองดูสิ่งที่อยู่ในมือก็เห็นว่ามันคือเหรียญตรากักเก็บจิตวิญญาณ
“เหรียญตรากักเก็บจิตวิญญาณ?”
“เจ้าจิตวิญญาณหมูป่ามันหนีเข้าไปหลบอยู่ในนั้น แต่เหรียญนี่ดูเหมือนจะเสียหายอยู่ คงทำได้เพียงแค่ปล่อยจิตวิญญาณออกมาอีกครั้งเท่านั้น ก็คงไม่สามารถใช้อะไรได้อีก” หัวหน้าทิฟอนอธิบาย
“ขอบคุณหัวหน้าหน่วยทิฟอนที่เตือนข้า”
หัวหน้าหน่วยทิฟอนโบกมืออย่างไม่เป็นไร ก่อนจะบอกให้ทุกคนออกเดินทาง “รีบไปกันเถอะ ถ้าช้ากว่านี้จะเย็นก่อนที่จะถึงป้อมปราการตะวันออก”
...
กายติดตามทหารหน่วยที่ 7 มาตลอดทั้งวัน จนกระทั่งมาถึงป้อมปราการตะวันออกในช่วงเย็นของวัน หัวหน้าหน่วยทิฟอนหยุดม้าลง ก่อนจะชี้ให้กายและพวกดูป้อมปราการขนาดใหญ่ที่สร้างจากโลหะสูงหลายสิบเมตรราวกับยักษ์โบราณ โดยมีแขนที่เป็นกำแพงหินโอบกอดพื้นที่ตลอดแนวทอดยาวสองฝากฝังของป้อมปราการลากยาวออกไปหลายพันเมตรจนสุดสายตา ทำหน้าที่เป็นกำแพงกั้นเขตแดน
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าทำให้กายที่พึ่งเคยเห็นป้อมปราการตะวันออกเป็นครั้งแรกรู้สึกตกตะลึงและตื่นเต้นกับสิ่งที่เห็น ซึ่งมีอาและลิลี่ทั้งสองก็ไม่ต่างกัน
“พวกเรามาถึงป้อมปราการตะวันออกหรือที่รู้จักกันในชื่อ ป้อมปราการดาราฟ้าตะวันออกแล้ว” หัวหน้าหน่วยทิฟอนกล่าวออกมา ก่อนจะควบม้าเดินทางไปยังป้อมปราการที่อยู่เบื้องหน้า
กาย มีอาและลิลี่รีบดึงสติก่อนจะตามทุกคนไป
พวกเขาเข้ามาใกล้ป้อมปราการมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ยิ่งทำให้รู้ว่าพอมองใกล้ ๆ แล้วป้อมปราการแห่งนี้ยิ่งใหญ่มากเพียงไหน
ต่อให้กิลด์กะโหลกแดงทั้งหมดบุกมาที่นี่ก็ไม่ต่างจากมดที่กระโดดลงแม่น้ำ...กายคิดอย่างเลื่อนลอย
พวกเขามาถึงทางประตูหลังของป้อมปราการ ประตูด้านหลังป้อมปราการแบ่งออกเป็น 3 ประตูด้วยกัน ประตูที่อยู่กลางสุดคือประตูใหญ่สูงราว ๆ 15 เมตรกว้างไม่น้อยกว่า 10 เมตร ซึ่งเป็นประตูบานคู่ที่ทำจากเหล็กหนาเป็นพิเศษ แน่นอนว่ากายและพวกไม่ได้เข้าทางประตูหลัก เพราะมันจะเปิดก็ต่อเมื่อมีกองทัพขนาดใหญ่เดินทางเข้าออกเท่านั้น
แถมประตูหลักนี้ก็ถูกปิดตายมา 70 ปีแล้ว ตั้งแต่การยุติสงครามระหว่างสองนคร มันก็ไม่ได้เปิดขึ้นอีกเลย
กายและทหารหน่วยที่ 7 จะเข้าไปยังประตูทางด้านซ้ายมือซึ่งเป็นหนึ่งสองประตูข้างที่มีขนาดรองลงมา ประตูสูง 5 เมตร กว้าง 3.5 เมตร ที่นี่เป็นทางเข้าออกของทหารที่ไปทำภารกิจหรือไม่ก็ขนเสบียงเข้าออกเป็นหลัก
ทหารหน่วยที่ 7 เคลื่อนที่เข้าไปอย่างรวดเร็วหลังจากได้รับการยืนยันตัวตนแล้ว กาย มีอาและลิลี่ต่างก็ต้องปฏิบัติตามกฎ โดยการหยิบหนังสือรับรองสถานะของตนเองออกมาให้ทหารเฝ้าประตูตรวจสอบดูด้วย
ทหารเฝ้าประตูตรวจสอบดูอย่างเข้มงวดโดยไม่มีการละเว้น
ทหารเฝ้าประตูมีระดับไม่น้อยไปกว่านักรบฝึกหัดขั้น 3 และหัวหน้าของพวกเขาเป็นถึงนักรบแท้จริงขั้น 1 ซึ่งนี่ถือเป็นเรื่องปกติมากที่จะเจอนักรบระดับนี้ในป้อมปราการแห่งนี้
“เด็กจากสถาบันศาสตร์นักรบอย่างนั้นหรือ เฮ้อ...ช่างบังเอิญยิ่งนัก ข้าก็จบมาจากที่นั่นเช่นกัน คิดถึงที่นั่นชะมัดเลย อ้อ...จริงสิพวกเจ้าบาดเจ็บอยู่ใช่ไหม รีบเข้าไปด้านในเถอะ ทางนั้นมีโถงพยาบาลอยู่สามารถไปรักษาที่นั่นได้” หัวหน้าหน่วยทหารเฝ้าประตูกล่าวออกมาอย่างเป็นกันเอง
ทำเอากาย มีอาและลิลี่มองอย่างแปลกใจ กายส่งสัญญาณให้มีอาและลิลี่เข้าไปก่อน มีอาที่พักฟื้นมาพอควรแล้วจึงมีแรงขึ้นมาบ้างแล้วพยักหน้าตกลงก่อนจะพาลิลี่เข้าไปยังทางที่หัวหน้าหน่วยทหารเฝ้าประตูบอก
ขณะเดียวกันกายก็หันมากล่าวขอบคุณ พร้อมกับทำความรู้จักทหารนายนี้
“ท่านคือรุ่นพี่ของพวกเราอย่างนั้นหรือ ข้าขอทราบชื่อท่านได้หรือไม่”
“ข้าคือ โบอิน จบมาได้สองปีแล้ว แล้วเจ้าล่ะ” โบอินแนะนำตัวอย่างสุภาพ
“ข้าคือเดวิน นักเรียนชั้นปี 1 ที่ออกทำภารกิจเลื่อนชั้นปี 2 ส่วนสองคนก่อนหน้าคนหนึ่งชื่อ มีอา เวียลินเลีย ส่วนอีกคนชื่อ ลิลี่ มอฟฟี่” กายกล่าวบอกชื่อไป เพราะการทำความรู้จักกับ NPC คนนี้ถือว่ามีประโยชน์มาก
เพราะด้วยความที่เขาเป็นผู้ที่จบมาจากสถาบันศาสตร์นักรบเหมือนกัน ดังนั้นกายอาจจะขอความช่วยเหลือได้ในอนาคต
พอโบอินได้ยินชื่อของกายก็ไม่รู้สึกอะไรมา แต่เมื่อได้ยินชื่อของมีอาและลิลี่ก็ทำหน้าเงียบขรึมไปในทันที ก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้งว่า “เด็กสาวสองคนนั้นเป็นคนจากตระกูลเจ้าพนักงานสินะ แล้วเจ้าเล่ามาจากตระกูลไหน”
กายได้ยินคำถามก็รู้สึกแปลก ๆ แต่ก็ตอบไปตามตรง “ข้าเป็นเพียงเด็กธรรมดาที่ไม่ได้มาจากตระกูลใด พอดีมีโชคจึงขับพัดจับพู่ได้สิทธิ์การเข้าเรียนมาจากกองทัพรักษานคร จึงมีโอกาสเข้าเรียนที่สถาบันศาสตร์นักรบ”
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว ดูเหมือนเราจะมีที่มาคล้ายกันสินะ” หัวหน้าหน่วยโบอินกล่าวออกมาอย่างเป็นมิตร
เขาก็เป็นคนที่กองทัพเสนอสิทธิ์ให้เข้าไปศึกษาในสถาบันอย่างนั้นหรือ...กายเข้าใจในทันที พอรู้เช่นนี้ก็เหมือนกับว่า NPC ข้างหน้านี้จะมีอะไรเหมือนกับเขาไม่มากก็น้อย
ในตอนนั้นเองหัวหน้าหน่วยทิฟอนที่ยังไม่ไปไหนก็กล่าวขัดขึ้นมา
“เจ้าหนุ่ม หลังจากทำความรู้จักเสร็จแล้วเจ้าไปอยู่ที่โถงพยาบาลก่อน อย่าไปไหนเพ่นพ่านข้าจะไปรายงานหัวหน้ากองพลก่อน”
“ข้าทราบแล้ว” กายตอบรับ
“เจ้าไปเถอะ ข้าจะช่วยดูให้รับรองว่าไม่มีปัญหาตามมาแน่นอน” หัวหน้าหน่วยโบอินออกปากกล่าวให้ ทำให้หัวหน้าหน่วยทิฟอนวางใจมากขึ้นจึงเดินแยกออกไป
กายมองอย่างสงสัยกับสิ่งที่เกิดตรงหน้า ดูเหมือนท่าทีของหัวหน้าหน่วยทิฟอนจะจริงมากในการที่เขาและพวกเข้ามาที่นี่
“เจ้ารู้สึกแปลกใจสินะที่เขากำชับเจ้าแบบนั้น ที่จริงแล้วในป้อมปราการของเรามีกฎที่เข้มงวดมาก ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นนักเรียนจากสถาบันศาสตร์นักรบ ข้าและหัวหน้าหน่วยทิฟอนคงไม่ให้เจ้าเข้ามาในป้อมปราการอย่างแน่นอน ตอนนี้เจ้าไปพักที่โถงพยาบาลก่อนเถอะ อีกไม่นานท่านหัวหน้ากองพลคงเรียกเจ้าเข้าไปคุยด้วยเหมือนกับคนอื่น ๆ” โบอินอธิบายให้กายฟัง
กายที่ฟังโบอินอธิบายก็เริ่มเข้าใจมากขึ้นถึงความเข้มงวดของที่นี่ แต่แล้วเขาก็สดุดกับคำพูดหนึ่ง
“เหมือนกับคนอื่น ๆ หัวหน้าหน่วยโบอินท่านหมายความว่ายังไง”
“เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง ข้าต้องกลับไปทำหน้าที่แล้ว โชคดี” กล่าวจบโบอินก็เดินกลับไปประจำที่ของตัวเอง กายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะขอบคุณโบอินอย่างจริงใจและเดินไปยังโถงพยาบาล โดยเขาเอาม้าไปผูกไว้ยังคอกม้าแถวนั้น ซึ่งมีคนคอยดูแลม้าให้อยู่แล้ว กายจึงวางใจมากขึ้น
เมื่อเดินผ่านประตูเข้ามา เขาเดินเหยียบเงากำแพงที่เกิดจากดวงตะวันใกล้ตกดิน ซึ่งเงากำแพงสูงทอดยาวกินพื้นที่ไปหลายสิบเมตร หลังจากหลุดพ้นเงากำแพงมา ก็เป็นพื้นที่โล่งกว้างพื้นทั้งหมดปูด้วยหินหนา เหนือหัวขึ้นไปมีสะพานที่เชื่อมต่อตัวปราการเข้ากับกำแพงชั้นนอกที่เขาพึ่งผ่านเข้ามาเมื่อครู่
ตลอดทางมีทหารเดินตรวจตราอยู่เป็นระยะ มีบางส่วนบ้างพักผ่อน บ้างก็ทำธรุของตัวเองด้วย
สถานที่ซึ่งเรียกว่าป้อมปราการตะวันออกนี้มันเหมือนกับเมืองขนาดย่อม ๆ ไม่มีผิด จะต่างก็ตรงที่ว่าทุกคนในที่นี้คือทหาร
กายเดินถึงโถงพยาบาลที่อยู่ไม่ไกล เมื่อเข้ามาเขาก็เห็นลิลี่กำลังนอนรักษาตัวอยู่โดยมีแพทย์ทหารเย็บแผลของเธออยู่ และด้านข้างมีอาก็กำลังนั่งพักและเช็ดรอยแผลถลอกขนาดเล็กของตนเองอยู่
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” กายเดินเข้ามาหามีอา ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ
“ไม่เป็นอะไรมาก ก็แค่แผลถลอกนิดหน่อย พักสักวันก็คงจะหายเหนื่อย” มีอากล่าวออกมา ขณะที่พยายามเช็ดแผลที่อยู่หลังแขนของตนเอง
“ให้ข้าช่วยก็แล้วกัน” กายหยิบผ้าที่ชุบด้วยแอลกอฮอล์มาจากมือของมีอา ก่อนจะเช็ดไปที่แผลของหญิงสาวอย่างเบามือ ก่อนจะหยิบยาด้านข้างมาทาลงไป ยาพวกนี้เป็นเพียงของธรรม เพราะส่วนใหญ่แล้วยาระดับสูงแบบที่กายเคยได้นั้นไม่มีใครเอามารักษาแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้แน่นอน
มีอามองดูกายที่กำลังใส่ยาให้กับตนเองก่อนจะถามขึ้นมา “จริงสิ ข้ายังไม่ได้ถามเจ้าเลย ทำไมเจ้าถึงโผล่มาช่วยข้าและลิลี่พอดี แล้วก็ทำไมเจ้าถึงต้องใส่หน้ากากเหล็กด้วย คนพวกนั้นทำไมถึงตามล่าเจ้ากัน แถมยังเรียกเจ้าแปลก ๆ ด้วย”
พอได้ยินคำถามของมีอาเป็นชุด ๆ พร้อมกับแววตาที่จับจ้องมาที่ตนเอง กายก็หยุดมือไปวินาทีหนึ่ง ก่อนจะลงมือทำแผลต่อและก็ตอบคำถามของมีอาไปด้วย
“ถ้าให้เล่าเรื่องคงยาว”
“ไม่เป็นยังไงตอนนี้ข้าก็ต้องพักอยู่แล้ว ให้เจ้าเล่าเรื่องข้าง ๆ ก็ไม่เลว” มีอาตอบพร้อมกับเผยรอยยิ้มมุมปาก ทำเอากายลังเลไปครู่ สุดท้ายเขาก็บอกเล่าเรื่องราวไป