ข้าถูกเลี้ยงในกรงมาร 5 ตระกูลฉือทั้งสามคน
ข้าถูกเลี้ยงในกรงมาร 5 ตระกูลฉือทั้งสามคน
ด้านนอกโรงสี คงหนิงเงียบไปครู่หนึ่ง มองฉือหยงขึ้นๆ ลงๆ ด้วยความใจเย็น
การก้าวเดินสะเปะสะปะ รากฐานไม่มั่นคง ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ และอีกอย่างฉือหยงนั้นมาจากนอกโรงสี ไม่ได้อยู่ภายในโรงสี
แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่ฉือหยงอาจจะเป็นปีศาจ และทำนายได้ว่าคงหนิงกำลังจะมาฆ่ามัน จึงหลบเลี่ยงออกไปภายนอกแล้วค่อยกลับมา แต่คงหนิงรู้สึกว่าหากเป็นตัวตนที่สามารถทำนายได้ขนาดนั้น ก็ไม่น่าจะเป็นปีศาจระดับต่ำ เขาไม่อาจเชื่อมโยงสองตัวตนนี้เข้าด้วยกันได้
เป้าหมายในการค้นหาของไหลึกลับคือตัวตนที่อ่อนแอกว่าคงหนิง ปีศาจปลาซิวปลาสร้อยเช่นนั้นจะมีพลังที่คาดเดาไม่ได้เพียงนั้นเชียวหรือ?
คงหนิงคิดว่าการที่ฉือหยงปรากฏตัวขึ้นน่าจะเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า
แม้จะไม่สามารถตัดความเป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นปีศาจออกไปได้ก็ตาม......
หลังจากเงียบไปหลายวินาที คงหนิงก็พูดว่า “เจ้ามาได้ทันเวลาพอดี ข้าผ่านทางมาที่นี่และวางแผนจะโม่แป้งเอากลับบ้านเสียหน่อย แต่บังเอิญว่าข้าไม่ได้นำข้าวสาลีมาด้วยเลย เจ้าพอจะมีข้าวที่บ้านอีกไหม โม่แป้งให้ข้าที แล้วข้าจะจ่ายให้เจ้า”
ทันทีที่คงหนิงเปิดปากออกมา ก็เข้าประเด็นได้อย่างรวดเร็ว
ใบหน้าของฉือหยงแข็งทื่อ จากนั้นก็คลายออกเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอันอบอุ่นพร้อมกับพูดว่า “ท่านหนิงพูดอะไรกัน เป็นความกรุณายิ่งสำหรับข้าแล้วที่ท่านผ่านมาที่โรงสีแห่งนี้ ท่านหนิงต้องการแป้งเท่าไหร่เล่า ข้าน้อยจะไปโม่แป้งให้ท่านทันที”
ราชาแห่งขุมนรกนั้นพบได้ง่าย แต่ปีศาจตัวน้อยรับมือได้ยาก[1] พวกของคงหนิงเป็นกลุ่มคนที่น่าเกรงขามที่สุดในเขตเมือง
แม้ว่าคงหนิงจะค่อนข้างเป็นมิตรและไม่กดขี่คนอื่น นอกจากนี้ยังมีรายได้ที่มั่นคงเป็นจำนวนไม่น้อยทุกๆ เดือน และมีกลุ่มเพื่อนมากมายในศาลาว่าการ ด้วยสภาพแวดล้อมเพื่อนฝูงภายใน ถ้าไม่อยากทำอะไรมากก็ต้องหาลู่ทางอื่นๆ เงินเดือนสิบสองตำลึงเงินต่อปีมันก็แค่พอเลี้ยงคนเพียงคนเดียว จะมีเงินเหลือเฟือไปร่ำสุรา ฟังดนตรีบ่อยๆ ได้อย่างไร?
ดังนั้นในสายตาของชาวบ้าน ภาพลักษณ์ของกลุ่มมือปราบในศาลาว่าการของคงหนิงจึงไม่ต่างไปจากผีร้าย ที่แม้แต่อันธพาลก็ยังต้องกลัว
ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือพวกเขาจะไม่ล้ำเส้นจนเกินไป ท้ายที่สุดการกระตุ้นความโกรธของหมู่ชนก็ยากที่จะจัดการปัญหาที่ตามมา
แต่การ “ไม่ล้ำเส้นจนเกินไป” มันก็หมายถึงการกลั่นแกล้งที่ไม่ได้ต่างไปจากคนพาล
อย่างการเดินผ่านมากินแตงไปสองลูก หรือการเรียกใช้ให้ไปบดแป้งสองชั่งให้หน่อย สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้มันไม่จำเป็นต้องจ่าย แม้ว่าคงหนิงยืนยันจะจ่ายเงิน แต่ฉือหยงไหนเลยจะกล้ารับ
เขาพาม้าสีเหลืองพุทราเดินตามฉือหยงไปที่ประตูของโรงสี เมื่อคงหนิงผูกม้าไว้กับประตู ฉือหยงก็ผลักประตูแล้วตะโกนเข้าไปในโรงสี “ซานเหนียง! ซานเหนียง! ท่านหนิงมา! ออกมาทำงานเร็ว!”
ฉือหยงร้องตะโกน ในไม่ช้าภรรยาของเขาที่เป็นหญิงวัยกลางคน ตัวหนา หน้าคล้ำก็เดินออกมา
เมื่อเห็นคงหนิงในชุดเครื่องแบบ จ้าวซานเหนียงที่เปิดประตูออกมาก็แย้มยิ้มทันที “นี่คือท่านหนิงนี่เอง ซานเหนียงคารวะท่านหนิง”
หญิงร่างใหญ่รีบยกมือคารวะอย่างเงอะงะ คงหนิงพยักหน้าตอบรับแล้วพูดว่า “รบกวนแล้ว”
ด้วยการต้อนรับอันอบอุ่นของฉือหยง เขาจึงนั่งลงภายในโรงสี
และจ้าวซานเหนียงก็หยิบถุงข้าวสาลีจากฉือหยงมาไว้ที่แท่นบด ช่วยบดให้คงหนิง ถุงข้าวสาลีที่ฉือหยงเพิ่งซื้อมากลายเป็นว่างเปล่า
ภายในโรงสีอันกว้างโล่ง มีเสียงกังหันน้ำหมุนไกว เสียงแม่น้ำที่ไหลผ่านไป นอกจากนี้ยังมีเสียงของล้อจานหินที่เริ่มหมุนจนทำให้เกิดเสียงแปลกๆ
คงหนิงสังเกตทุกสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าอย่างใจเย็น กำลังคิดว่าปีศาจภายในโรงสีอาจจะเป็นหญิงที่อยู่ข้างหน้าเขาหรือไม่
ฉือหยงเดินออกมาจากห้องด้านหลังด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ถือสุราหนึ่งขวด พร้อมกับจอกสองใบมา พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ที่บ้านนี้โทรมไปหน่อย มีเพียงแค่น้ำกับสุราขวดนี้เท่านั้น มอบให้ท่านหนิง”
ฉือหยงนั่งลงและช่วยคงหนิงเติมอาหารจนเต็มชามก่อนจะสนทนาด้วยรอยยิ้ม
ในขณะที่พูดคุยกับฉือหยง คงหนิงก็สังเกตสถานการณ์ภายในโรงสี
ในโรงสีเล็กๆ แห่งนี้ดูเหมือนจะมีเพียงฉือหยงและภรรยาของเขา ปีศาจอาจเป็นหนึ่งในคู่สามีภรรยานี้หรือไม่?
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง คงหนิงก็เอ่ยขึ้นว่า “น้องชายของเจ้าที่ชื่อฉือกุ้ย ทำไมข้าไม่เห็นเขาเลย ไปเล่นพนันอีกแล้วหรือ?”
ฉือกุ้ยคือน้องชายของฉือหยง เป็นนักพนันชั้นเลว เขาท่องเที่ยวไปตามบ่อนเล็กๆ หลายต่อหลายแห่งภายในเขตชานหลานอยู่ตลอด ออกไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนใจคด เขาเป็นหนึ่งในอันธพาลในเขตเมืองแห่งนี้
เป็นคนรู้จักเก่าของคงหนิง ความสัมพันธ์คือคนหนึ่งโดนต่อยตี ส่วนอีกคนเป็นฝ่ายต่อยตี
คงหนิงถามถึงที่อยู่ของบุคคลนี้ และต้องการยืนยันว่าอีกฝ่ายอยู่โรงสีด้วยหรือไม่
ถ้าฉือกุ้ยไม่ได้อยู่ที่นี่เวลานี้ ปีศาจก็ควรจะเป็นฉือหยงไม่ก็ภรรยาของเขาแล้ว......
หลังจากที่คงหนิงถามออกไป ฉือหยงก็ถอนหายใจ ส่ายศีรษะพร้อมกล่าวว่า “ไม่รู้ว่าท่านหนิงจะหัวเราะหรือไม่ น้องชายของข้าช่างไร้ความสามารถ ท่านหนิงก็ทราบดี”
“เมื่อก่อนเคยเที่ยวเล่นข้างนอกทุกวัน เล่นการพนัน ทั้งยังแอบขโมยเงินในครอบครัวเราไปอีก ข้าน้อยทุบตีดุด่าแค่ไหนก็ไม่เป็นผล”
“แต่ช่วงนี้ดีหน่อย เขาไม่ได้ออกไปเล่นการพนันเลย เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในบ้านทุกวัน ไม่ยอมออกมาแม้ข้าจะตะโกนเรียกแค่ไหนก็ตาม เราเลยต้องส่งอาหารไปที่หน้าประตูห้องอย่างกับเป็นเจ้านายเรา”
“อา......แต่อย่างน้อย การที่ไม่ออกไปเล่นการพนันก็ยังนับว่าเป็นเรื่องดีล่ะนะ”
เมื่อพูดถึงน้องชายผู้ไร้ความสามารถคนนี้ ฉือหยงก็ถอนหายใจพร้อมกับส่ายหัว “ตราบใดที่เขายังเป็นคนปกติ ไม่ออกไปเล่นการพนัน ไม่อยู่กับพวกอันธพาล แม้จะอยู่บ้านทุกวันอย่างกับเป็นเจ้านาย ข้าก็พอยอมรับได้”
“พ่อกับแม่นั้นตายเร็วเกินไป เด็กตัวเหม็นคนนี้เป็นข้ากับซานเหนียงเองที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่แปดขวบ ตราบใดที่เขาไม่เล่นการพนัน ทุกอย่างก็คงเรียบร้อยดี......จริงแหละ.....อะไรๆ มันก็ดี.......”
ฉือหยงถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก เห็นได้ชัดว่าต้องทุกข์ทรมานอย่างมากเรื่องน้องชาย
จ้าวซานเหนียงที่กำลังช่วยคงหนิงโม่ข้าวอยู่ก็พูดขึ้น “เจ้ากำลังบ่นเรื่องไร้สาระอะไรอยู่! ท่านหนิงมา แต่เจ้ายังจะมาบ่นอะไรอยู่อีก? ท่านหนิงมาที่นี่เพื่อมาฟังเจ้าบ่นหรือไง? ดูสถานการณ์บ้าง!”
จ้าวซานเหนียงจ้องเขม็ง
ฉือหยงกลับมารู้สึกตัวแล้วรีบพูดว่า “โอยปากข้าไม่ดีเอง......ท่านหนิงอย่าได้โกรธข้าเลย ข้าก็แค่เคยชินกับการบ่นมากไปหน่อย ไม่พูดถึงฉือกุ้ยแล้ว ไม่พูดถึงฉือกุ้ย”
ดวงตาของคงหมิงหรี่ลงเล็กน้อย รู้สึกได้ถึงสิ่งผิดปกติ
“เมื่อเร็วๆ นี้ฉือกุ้ยขังตัวเองอยู่ในบ้านทุกวันไม่ออกไปข้างนอกเลยงั้นหรือ?”
เป็นไปได้อย่างไร!
อันธพาลนักเสี่ยงโชคคนนี้ ถ้าไม่ได้ออกไปเล่นพนันสักหนึ่งวันคงอึดอัดแทบตายแน่ เขาจะซ่อนตัวอยู่ในบ้านทุกวันโดยไม่ออกไปข้างนอกได้อย่างไร
เป็นไปได้ไหมว่าฉือกุ้ยเป็นปีศาจ? ถูกกักขังโดยปีศาจ? หรือปีศาจมันกินเขาไปแล้ว และซ่อนตัวอยู่ในโรงสีจานหิน โดยปลอมตัวเป็นเขา?
คงหนิงคิดในใจ แต่ท่าทางของเขายังสงบแล้วถามต่อไปว่า “เขาคิดอะไรอยู่ถึงขังตัวเองอยู่ในบ้านทุกวัน ถ้าไม่มีเหตุผล เขาคงไม่อยู่บ้านทุกวันโดยไม่ออกไปข้างนอกแม้แต่วันเดียวใช่ไหม?
ฉือหยงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ใช่......เด็กคนนี้ไม่เคยหยุดออกไปด้านนอกโดยไม่มีเหตุผล แต่ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าการอยู่กับนกมันสนุกอะไรขนาดนั้น”
“ครึ่งเดือนก่อน เจ้าเด็กนั่นจับนกมาได้ตัวนึงจากข้างนอก ราวกับเขาถูกผีสิง อยู่บ้านทุกวันและพูดคุยกับนกนั่น ใครถามอะไรก็ไม่สนใจ”
“ข้าถามเหล่าซ่งที่เลี้ยงนกแล้ว เหล่าซ่งบอกว่านกตัวนี้เป็นเพียงนกกระจอกธรรมดา ไม่ได้มีอะไรผิดปกติเลย......เฮ้อ......ฉือกุ้ย เด็กชายตัวเหม็นคนนี้ สิ้นหวังแล้วจริงๆ อย่างน้อยก็ไม่ใช่การพนันหรือเรื่องเลวร้าย แค่เล่นกับนก”
“เล่นกับนก......นั่นใช่สิ่งที่คนจนๆ จะทำได้หรือ? ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่ได้ออกไปเล่นการพนันเป็นบ้าเป็นหลังอีก ข้าคงรีบโยนกรงนกของเขาลงไปในแม่น้ำมันซะเดี๋ยวนี้”
ฉือหยงถอนหายใจ อดไม่ได้ที่บ่นออกมาอีกครั้ง จ้าวซานเหนียงที่อยู่ด้านข้างก็ขยิบตาให้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่นางก็ยังไม่สามารถหยุดสามีที่พร่ำบ่นต่อหน้าคงหนิงได้
คงหนิงเงียบไปเล็กน้อย
เก็บนกแปลกๆ ขึ้นมาเมื่อครึ่งเดือนก่อน แล้วก็ขังตัวเองอยู่หลังประตู.......เป็นไปได้ไหมว่านกตัวนี้มีอะไรผิดปกติ?
คงหนิงลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ข้าจะไปหาเขาหน่อย ไม่ได้เจอเขามาสักพักแล้ว จึงอดคิดถึงไม่ได้”
การกระทำของคงหนิงที่กะทันหันเช่นนี้ ทำให้ฉือหยงและภรรยาตกตะลึงไปชั่วขณะ เห็นได้ชัดว่าตกใจกับปฏิกิริยาของคงหนิง
ข้าราชการอย่างคงหนิงน่ะหรือจะคิดถึงฉือกุ้ย? เรื่องไร้สาระเช่นนี้ แม้แต่คงหนิงเองก็ไม่เชื่อถือแม้จะพูดออกมาเอง
ภายในโรงสี ฉือหยงและภรรยามองหน้ากันเล็กน้อย ในที่สุดฉือหยงก็พูดว่า “ท่านหนิง เด็กคนนั้นอยู่บ้านทุกวันเลยช่วงนี้ ไม่ได้ออกไปยุ่งวุ่นวายที่ไหน......”
คงหนิงเหลือบมองอย่างเย็นชาและไม่ได้พูดอะไร เสียงของฉือหยงเบาลงเรื่อยๆ เหงื่อเริ่มไหลออกมาตามหน้าผาก
ท้ายที่สุด ฉือหยงก็กลืนน้ำลายแล้วพูดว่า “ท่านหนิง มากับข้าเถอะ เด็กคนนั้นอยู่ที่นี่......”
เมื่อเผชิญหน้ากับคงหนิงที่แสดงความเย็นชาออกมา เห็นได้ชัดว่าฉือหยงก็ไม่กล้าที่จะอธิบายอีกต่อไป
เขายอมยืนขึ้นแล้วเดินนำหน้าคงหนิงไป
คงหนิงเดินตามหลังไป สังเกตปฏิกิริยาฉือหยงอย่างเงียบๆ
เอามือวางไว้ที่ด้ามมีดตลอดเวลา
แม้จะดูเหมือนว่าความเป็นไปได้ที่ฉือหยงในตอนนี้จะเป็นปีศาจแทบไม่มี แต่คงหนิงก็ไม่กล้าผ่อนคลาย ทั้งคู่เดินออกจากโรงสีไปทีละคน เข้าไปทางด้านหลัง
โครงสร้างอาคารของโรงสีจานหินนั้นเรียบง่าย ด้านหน้าเป็นโรงสีและด้านหลังเป็นพื้นที่สำหรับครอบครัวของฉือหยงใช้กินดื่มหลับนอน
หลังจากที่เขาเปิดม่านและเดินออกจากโรงสีไป สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคงหนิงคือแม่น้ำว่างเจียง พวกเขาเหยียบไปตามแผ่นไม้ที่วางพาดไว้เหนือแม่น้ำว่างเจียง โดยเห็นกำแพงโรงสีอยู่ปลายด้านหนึ่งและแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวอยู่อีกด้านหนึ่ง
ทางเดินนั้นแคบ สามารถเดินผ่านได้ทีละคน คงหนิงและฉือหยงเดินมาจนสุดทาง
บางส่วนของบ้านหลังนี้ถูกตั้งไว้เหนือผิวน้ำและพื้นที่ก็ไม่ได้ใหญ่โตนัก วันนี้เป็นวันที่อากาศร้อนอบอ้าว แดดแผดเผาตลอด แต่ประตูและหน้าต่างของห้องห้องนี้กลับถูกปิดเอาไว้ ไม่มีช่องทางให้อากาศถ่ายเทเลย
หลังจากที่ฉือหยงยืนอยู่หน้าประตู เขาก็เคาะประตู ฉือกุ้ยตะโกนอย่างเดือดดาลออกมาจากข้างใน
“ข้าไม่ออกไป! ข้าบอกว่าข้าไม่ออกไปไง! ก็แค่วางอาหารไว้ที่ประตู เดี๋ยวข้าจะไปกินเอง!”
เห็นได้ชัดว่าฉือหยงเคยมาพูดคุยกับน้องชายคนนี้หลายครั้งแล้ว เมื่ออีกฝ่ายได้ยินเสียงเคาะประตู จึงโต้กลับมาทันที
แต่คราวนี้ฉือหยงมาพร้อมกับคงหนิง สถานการณ์จึงแตกต่างออกไป
ชายร่างกำยำที่ไม่ได้สวมใส่เครื่องแต่งกายท่อนบนจ้องไปที่ประตูแล้วพูดว่า “เปิดประตู! อย่าได้ทำตามความเคยชิน ท่านหนิงบอกว่าอยากจะพบเจ้า ถ้าเจ้ายังตะโกนเอะอะอีก ข้าจะถีบประตูเข้าไปทุบเจ้าเดี๋ยวนี้!”
ฉือหยงดุด่าไปตรงๆ
ภายในห้อง เสียงที่ฟังดูตกใจของฉินกุ้ยก็ดังขึ้น
“ท่านหนิง? ท่านหนิงคนไหน?”
ฉือหยงกำลังจะพูด แต่คงหนิงหัวเราะแล้วพูดขึ้นก่อน “เจ้ากำลังคิดว่าเป็นท่านหนิงคนไหนอีกล่ะ?”
วินาทีถัดมา ประตูบานนั้นก็เปิดออกทันที
ฉือกุ้ยที่หน้าซีด เต็มไปด้วยความประหม่ามองมาที่มือปราบด้านนอกประตู ขาแข้งเหมือนจะสั่นอยู่ตลอด
“หนิง......ท่านหนิง......ช่วงนี้ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย......อยู่บ้านทุกวันไม่ได้ออกไปไหน ถ้าเป็นพวกหูจื่อทำอะไรล่ะก็ แน่นอนว่ามันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้า!”
คนนี้ผู้นี้เคยได้รับบทเรียนไปหลายครั้งแล้ว อันธพาลน่ารังเกียจเช่นนี้เคยถูกพรรคพวกของคงหนิงดูแลมาอย่างดี เมื่อเห็นคงหนิงก็เป็นเหมือนหนูเจอแมว จิตใต้สำนึกของเขาจึงพยายามปัดมลทินให้พ้นๆ ตัวไปก่อน
---------------------------
[1] ราชาแห่งขุมนรกนั้นพบได้ง่าย แต่ปีศาจตัวน้อยรับมือได้ยาก เป็นการเปรียบเทียบถึง ราชานรกและปีศาจตัวเล็กตัวน้อยที่คอยรับใช้ แม้จะไม่ได้มีตำแหน่งสูงส่ง แต่ก็ไม่ใช่คนธรรมดา ยกตัวอย่างเช่น การขอให้พนักงานบางคนที่มีทัศนคติไม่ค่อยดีทำเรื่องต่างๆ บางทียังยากกว่าการขอให้ผู้นำบางคนทำสิ่งต่างๆ ให้