WMR ตอนที่ 10 เดินละเมอสกปรก
TL: ระวังตอนกินข้าวด้วยครับ
ขณะหมดสติกู้เป่ยมีความฝันอีกอย่างหนึ่ง
ย้อนกลับไปยังสมัยเรียนมัธยมต้น ในช่วงบ่ายที่ชวนนอน เวลานั้นครูสอนภาษาอังกฤษไว้ผมบ็อบกำลังยืนอยู่บนโพเดียมโดยหันหน้าเข้ากระดานดำขณะกระแทกชอล์คกับกระดานซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเกิดเสียงทื่อ ๆ
เขารู้สึกเวียนหัว
กู้เป่ยไม่เห็นสิ่งที่เขียนบนกระดานดำ ทุกสิ่งรอบตัวเขาดูเหมือนจะไม่อยู่ในโฟกัส เขาทำได้เพียงจ้องไปยังรอยยับบนเสื้อด้านหลังของครูสอนภาษาอังกฤษ ราวกับทุกสิ่งค่อย ๆ ไกลออกไปมาขึ้นเรื่อย ๆ แต่มีเพียงเส้นหัวเข็มขัดที่เด่นชัดภายใต้เสื้อสเวตเตอร์สีชมพูเท่านั้นที่มองเห็นได้ชัดเจน แม้ในรายละเอียดที่เล็กที่สุดก็ตาม
กู้เป่ยรู้สึกว่าคอและใบหน้าของเขาเริ่มคันหลังจากดูนานเกินไป
ทันใดนั้น ครูสอนภาษาอังกฤษก็หันกลับมาเผยให้เห็นใบหน้าของลุงวัยสี่สิบ สวมแว่นและทาลิปสติก นั่นคือเจ้านายของเขา
จากนั้นเจ้านายก็ชี้มาที่กู้เป่ยก่อนจะตะโกน “บาลาล่า เปลี่ยนร่าง!”
“...”
เป็นอีกครั้งที่กู้เป่ยตื่นขึ้นด้วยความตกใจ
เป็นอีกครั้งที่เขาตื่นจากความฝันประหลาด เขารู้สึกคลื่นไส้ เหมือนอยู่ในรถไฟที่แออัดราวกับปลากระป๋องเป็นเวลากว่า 2 ชั่วโมง โชคดีที่เขาไม่ได้ถูกมัดไว้ในที่แปลก ๆ อีกต่อไป เขาไม่ปวดเมื่อยไปทั้งตัวอย่างเช่นที่รู้สึกก่อนหน้า มีเฉพาะใบหน้าด้านซ้ายของเขาเท่านั้นที่เจ็บปวด และดูเหมือนจะบวมเล็กน้อย
แก้มซ้าย....
กู้เป่ยค่อยๆ รู้สึกตัว และจำทุกอย่างได้
เขาถูกมิเชลชกเข้าที่แก้มซ้ายอย่างแรง และต่อจากนั้น... จากนั้นเขาก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย บางทีเขาอาจจะสลบจากการกระแทก ฝันประหลาด และตื่นขึ้นมาที่นี่
เกิดอะไรขึ้น?
เขาลืมตา แต่กลับพบว่ารอบ ๆ ตัวเขานั้นมืดสนิทมองไม่เห็นอะไรเลย ทำให้ชั่วขณะหนึ่งเขาหลงคิดไปว่าเขาตาบอด เขาพยายามขยับแขนขาและพบว่ายังปกติดี ความรู้สึกต่อมาคือบางสิ่งอ่อนนุ่มที่อยู่ใต้ตัวเขา
มันคล้ายกับเตียงขนาดเล็กของเขา
เขากลับมาแล้วงั้นเหรอ? ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความฝันที่ยาวนานเท่านั้น?
เขาสัมผัสสภาพแวดล้อมอย่างระมัดระวังอีกครั้ง ไม่ นี่มันไม่ใช่บ้านของเขา! เสียงลูกตุ้มแผ่วเบาดังเข้ามาในหู แต่เขามั่นใจว่ามันไม่มีมีนาฬิกากลไกโบราณในบ้านของเขา นอกจากนี้เนื้อสัมผัสของเตียงยังละม้ายคล้ายคลึงกับเตียงราคาหลายพันหยวนในอิเกีย เขาเคยสัมผัสมันมาแล้วหลายครั้ง แต่เนื่องจากเขาไม่สามารถจ่ายได้ ดังนั้นนี่จะต้องเป็นที่อื่นที่ไม่ใช่บ้านของเขาอย่างแน่นอน
“เฮ้ มีใครอยู่ไหม” หลังจากไตร่ตรองแล้ว กู้เป่ยก็ตัดสินใจที่จะระมัดระวังมากขึ้นและถามออกไป
ไม่มีการตอบกลับ
กู้เป่ยเรียกอีกครั้งในใจโดยหวังว่าระบบจะรู้บางอย่างที่เขาไม่รู้ อย่างไรก็ตามดูเหมือนระบบจะหายไปด้วยเช่นกันถ้าไม่ใช่เพราะอักขระสามเหลี่ยมสีฟ้าอ่อนที่ยังคงส่องอยู่ในมิติแห่งจิตสำนึกของเขา กู้เป่ยคงคิดว่าเขาได้พบกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ(ผี)
อักขระยังแสดงให้เห็นว่าทุกอย่างไม่ใช่ความฝัน และเขายังไม่ได้เดินทางกลับไปยังโลกเดิม
เนื่องจากเขายังอยู่ในโลกนี้ทำให้เหลือเพียงคำถามเดียวเท่านั้นที่เขาสงสัย: มิเชลทำอะไรหลังจากที่ชกเขาจนสลบ?
หลังคิดเรื่องนี้อยู่ห้านาที เขาก็ตระหนักว่าการนอนอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไรเลย มิเชลไม่ได้ฆ่าเขาหรือใส่ร้ายให้คนทำความสะอาดชำละล้างเขาซึ่งนับเป็นเรื่องดี แม้กู้เป่ยจะรู้ว่ามิเชลต้องการเขา แต่จนกระทั่งใช้คาถาวอเทอร์บอลเขาก็ยังไม่มั่นใจ
จะเกิดอะไรขึ้นถ้า ถ้ามิเชลฆ่าเขาจริง ๆ?
อย่างไรก็ตามตอนนี้เขายังมีชีวิตอยู่ นั่นต่างหากที่สำคัญที่สุด
เมื่อคิดได้ดังนั้นอารมณ์ของกู้เป่ยก็ผ่อนคลายลงมาก ถึงตรงนี้เขาแทบไม่ได้ควบคุมชีวิตของตัวเองเลยด้วยซ้ำ จะมากังวลทุกอย่างเอาตอนนี้ให้มันได้อะไรขึ้นมา? และเนื่องจากมิเชลยังต้องการเขาอยู่เธอจึงไม่สามารถทำอะไรเขาได้แม้ว่าเขาจะทำอะไรที่ไม่เหมาะสมก็ตาม
ดังนั้นกู้เป่ยจึงลุกออกจากเตียง
ขณะคลำหาเขาพบรองเท้าคู่หนึ่งวางอยู่ข้างเตียงและสวมมัน พร้อมกันนั้นเขายังพบบางอย่างที่ทำจากเหล็กวางอยู่ด้านใต้ เขาสัมผัสมันด้วยมือ และพบว่ามันก็แข็งและหนัก มีรูปร่างคล้ายเหยือกหรืออะไรซักอย่าง
กู้เป่ยทำตามหัวใจและนำมันติดตัวไปด้วยเพื่อใช้เป็นอาวุธป้องกันตัว
เมื่อก้าวไปข้างหน้าสองก้าวเขาก็เจอเข้ากับประตู มันมีที่จับซึ่งให้ความรู้สึกค่อนข้างทันสมัย กู้เป่ยลองบิดมันดูและมันก็เปิดออกปล่อยให้แสงสลัวลอดผ่านเข้ามา หัวใจของกู้เป่ยเริ่มสงบลง ไม่ว่าใครหากต้องมองไม่เห็นเป็นเวลานานจะต้องรู้สึกกลัวอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามแสงที่สอดผ่านเข้ามานั้นบางเบาเกินกว่าจะเรียกว่าแสงได้
ด้วยแสงอันน้อยนิดกู้เป่ยพยายามมองออกไปด้านนอก ดูเหมือนที่นี่จะเป็นคฤหาสน์แห่งหนึ่ง มีโถงทางเดินยาวอยู่นอกประตู ในอากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจาง ๆ และแสงจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างตรงปลายโถงทางเดินเข้ามานั้นทำให้คฤหาสน์หลังนี้ดูน่ากลัวน้อยลง
อีกคืนที่มืดมิด ทุกอย่างดูเงียบมาก ดูเหมือนคนที่นี่จะหลับกันหมด
ว่าแต่ที่นี่มันที่ไหนกัน? มันคล้ายกับคฤหาสน์ที่พวกขุนนางอาศัยอยู่ในศตวรรษที่สิบหกหรือสิบเจ็ด กู้เป่ยจำได้ว่าเขาเคยเห็นมันในโทรทัศน์
ขณะคิดกู้เป่ยก็เดินไปข้างหน้าอีกสองก้าว แต่ทันใดนั้นเองก็มีเสียงครางต่ำดังมาจากด้านหลังของเขา
“อื้อ...อื้ออ...”
เสียงนั้นทำให้ขนทั่วร่างของกู้เป่ยถึงกับลุก เขารีบหันกลับไปมองต้นเสียงทันที
ที่ปลายสุดของทางเดิน บางสิ่งที่ดูเหมือนมนุษย์ค่อย ๆ เดินเข้ามาหาเขาอย่างช้า ๆ ถ้าถามว่าทำไมถึงเป็นบางสิ่ง? เพราะเนื่องจากทางเดินที่มีแสงน้อย มันจึงทำให้เขามองไม่ชัดเจน และท่าทางของสิ่งนั้นก็แปลกมาก มันแกว่งตัวไปมาเหมือนซอมบี้ ไม่ใช่ท่าทางที่มนุษย์ทั่วไปเขาเดินกัน
นอกจากนี้หากใส่มันเข้าไปในแพล็นส์ วีเอส ซอมบีส์ก็จะไม่รู้สึกผิดแปลกแต่อย่างใด
“เชี่ย! นั่นผีเหรอวะ?” กู้เป่ยตื่นตระหนกเล็กน้อย
เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับการตั้งค่าของโลกนี้ ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าเป็นผู้วิเศษกับศาสนจักร? แล้วซอมบี้มาทำอะไรที่นี่? เป็นไปได้ไหมว่านิยายเรื่องนี้จะชื่อ ‘จอมเวทย์วันสิ้นโลก’ หรืออะไรทำนองนั้น?
เขารู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า
ร่างนั้นค่อย ๆ เข้าหาเขา ในความมืดกู้เป่ยมองเห็นได้ไม่ชัดเจนเช่นเดิม เขาไม่รู้ว่าใบหน้าของอีกฝ่ายนั้นน่ากลัวพอ ๆ กับหน้าที่ผ่านการแต่งด้วยสเปเชียลเอฟเฟ็กต์หรือไม่ อย่างไรก็ตามเมื่อเขาฟื้นจากความตกใจ และนึกถึงหนังซอมบี้ที่เขาเคยดู เขาก็ตระหนักว่าสิ่งนี้ที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ดูหน้ากลัวขนาดนั้น
ดูความเร็วของมันสิ มันเคลื่อนไหวหยั่งกับคนเกียจคร้าน มันจะไปอันตรายได้อย่างไร?
ดังนั้นกู้เป่ยที่ใจเย็นลงแล้วค่อย ๆ ยกของหนักในมือขึ้นและรอให้สิ่งนั้นเข้าใกล้อย่างเงียบ ๆ ประมาณครึ่งนาทีต่อมา เมื่อเขาเห็นว่าระยะห่างนั้นเหมาะสม เขาก็โยนของในมือใส่หัวสิ่งนั้น!
ปัง!
เสียงมันดังจนกู้เป่ยรู้สึกเจ็บหัวแทน
สิ่งนั้นหยุดกะทันหัน กู้เป่ยมองร่างนั้นด้วยความประหม่ากลัวว่าผลกระทบจะไม่ส่งผลเท่าที่ควร เพราะของที่เขาโยนใส่ไม่ได้หนักมากเนื่องด้วยร่างกายที่เขาใช้อยู่ทำให้เขายกของหนัก ๆ ได้เพียงไม่กี่อย่าง
หากมันไม่ได้ผลเขาควรทำอย่างไรต่อไป?
คงไม่ใช่คาถาคาถาวอเทอร์บอลหรอกใช่ไหม? เพราะเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าซอมบี้กลัวน้ำ
ขณะที่กู้เป่ยกำลังจ้องไปที่สิ่งนั้นอย่างใจจดใจจ่อ เสียงร้องก็ดังขึ้น
"โอ๊ย----!"
มันเป็นเสียงร้องที่บีบคั้นหัวใจ ราวกับแมวแก่ที่ถูกคนอ้วนหนัก 200 ปอนด์เหยียบหาง มันดังก้องไปทั่วทั้งคฤหาสน์ ไฟในห้องพักทุกห้องเปิดขึ้นพร้อมกัน ประตูเปิดออกทีละบาน และเสียงฝีเท้าก็ดังมาจากทุกทิศทุกทาง
คืนที่เงียบสงัดกลายเป็นอึกทึก
“เป็นอะไรไป? เกิดอะไรขึ้น?”
“ใครกันที่ส่งเสียงดังกลางดึก?”
“เสียงนี้ฟังดูคุ้นเคย”
"..."
ความมืดถูกไล่ออกไป และในที่สุดกู้เป่ยก็สามารถเห็นทุกสิ่งรอบตัวเขาได้อย่างชัดเจน
ร่างแปลก ๆ ที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากเขาที่แท้ก็เป็นชายผมบลอนด์ผู้หนึ่ง เขาสวมชุดนอนผ้าไหม ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ เวลานี้ของเหลวสีน้ำตาลที่ไม่รู้จักไหลออกมาจากผมที่ม้วนงอเป็นลอนสวยงาม ทิ้งรอยตามชุดนอนสีขาวมุก
"อ๊ะ โอ้..."
การแสดงออกของกู้เป่ยเปลี่ยนไปเมื่อเขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น
ปรากฎว่าการตั้งค่าของโลกนี้ไม่ได้แปลกขนาดนั้น ที่เห็นเป็นคน ไม่ใช่ซอมบี้
ปรากฏว่าโถที่เขาใช้ป้องกันตัวไม่ใช่... โถธรรมดา
...ขอเรียกมันว่า "หม้อกลางคืน" ของโลกนี้ไปก่อนก็แล้วกัน
ผู้คนในบ้านค่อย ๆ มารวมตัวกันที่นี่ หญิงชายส่วนใหญ่นุ่งผ้ากระสอบหยาบ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สวมชุดนอนผ้าไหม พวกเขาส่วนใหญ่ง่วงนอน แต่เมื่อพวกเขามาถึง ดวงตาของพวกเขาก็เบิกกว้างขึ้นในทันที
เมื่อมีผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ คฤหาสน์ที่เคยอึกทึกก็กลับสู่ความเงียบ
ทุกคนจ้องไปที่ร่างของชายผมบลอนด์ กลั้นหายใจ ไม่กล้าส่งเสียง
“อุฟ....”
กู้เป่ยอดหัวเราะไม่ได้กับสถานการณ์นี้ แต่เขาหยุดตัวเองอย่างรวดเร็วเพราะรู้ว่ามันไม่เหมาะสม
“ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ” เป็นการยากที่จะตีหน้าเศร้าขณะกลั่นหัวเราะอย่างสุดใจ
ชายผมบลอนด์กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง และสัมผัสของเหลวที่ไม่รู้จักบนใบหน้าของเขา เขาจ้องไปที่กู้เป่ยและพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนไก่ถูกปากคอ “เจ้า... เจ้า... ข้า... ข้า.... ข้า....”
กู้เป่ยพยายามกลั่นหัวเราะและตีหน้าเศร้าอย่างสุดความสามารถ
เขาเห็นว่าใบหน้าและดวงตาของชายผมบลอนด์แดงก่ำ หน้าอกของเขาขึ้นลงอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนเขาจะอยากจบประโยค แต่ความโกรธและความสิ้นหวังทำให้คำพูดติดอยู่ในลำคอทำให้เขาไม่สามารถพูดจนจบได้
“เจ้า... เจ้ากำลังพยายามจะพูดอะไรอยู่หรือ?” กู้เป่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร
ชายผมบลอนด์ดูตื่นเต้นมากขึ้น เขาเริ่มกระตุกและชี้ไปที่กู้เป่ยด้วยมือที่สั่นเทาราวกับวาทยกร(คอนดักเตอร์) สิ่งที่ไม่รู้จักบนผมและเสื้อผ้าของเขากระเด็นไปทุกที่เนื่องจากการสั่นของเขา
“โอ้ อย่าตื่นเต้นเกินไป หายใจเข้าลึก ๆ แล้วค่อย ๆ พูดออกมา ไม่ต้องรีบค่อย ๆ ใช้เวลาของเขาให้เต็มที่” กู้เป่ยรู้สึกว่าเวลานี้เขาเป็นคนที่มีน้ำใจมากที่สุดในโลก
ชายผมบลอนด์ดูเหมือนจะสงบลงและสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก่อนที่เขาจะหายใจออก เขาก็กลอกตาและหมดสติไปพร้อมกับเสียงดังตุ้บ
“...”
เงียบกริบ
เงียบขนาดเข็มหมุดหล่นยังได้ยินเสียง
สายตาของผู้คนจ้องสลับระหว่างกู้เป่ยกับชายผมบลอนด์ที่หมดสติในแอ่งอุจจาระ พวกเขามองหน้ากันเป็นครั้งคราวราวกับว่าทุกอย่างตรงหน้ามันเกินความเข้าใจของพวกเขา พวกเขาเสมือนถูกคาถาผูกมัด ไม่ขยับเขยื้อน และไม่มีเสียงใด ๆ เล็ดรอดออกมา
เป็นความเงียบที่น่าอึดอัดใจ
ส่วนกลิ่นก็อึดอัดไม่น้อยไปกว่ากัน
ในช่วงเวลาที่แย่ที่สุด จู่ ๆ เสียงกลไกก็ดังขึ้นในหัวของกู้เป่ยว่า:
“ว้าว คนแดกขรี้”
การโจมตีของระบบเกิดขึ้นกะทันหันเกินไปจนทำให้กู้เป่ยสูญเสียการควบคุมและหัวเราะออกมาทันที
สายตาทุกคู่ในห้องจดจ้องมาที่เขา เป็นสายตาราวกับมองสัตว์หายากในสวนสัตว์ กู้เป่ยรู้สึกเหมือนเขาตกอยู่ภายใต้สปอตไลท์นับ 10 ตัว มันทำให้ความเครียดและแรงกดดันเพิ่มขึ้นมาก
ประเด็นคือพวกเขาทำแค่ดูและไม่มีใครพูดอะไรเลยซึ่งทำให้กู้เป่ยกังวลมากขึ้นไปอีก
เขารู้สึกว่าเขาต้องพูดอะไรสักกอย่าง
“เอ่อ นี่มันก็ดึกมากแล้ว ทุกท่านไม่ไปนอนกันเหรอ?”