WS บทที่ 338 เกราะสัมบูรณ์
ณ ห้องโถงของคฤหาสน์องค์ชายแปด เต็มไปด้วยนักเวทย์จำนวนมาก ดูเหมือนว่าจะเป็นกองกำลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่องค์ชายแปดสามารถรวบรวมได้
นักเวทย์ทั้งหมดล้วนดูเคร่งขรึม พวกเขามีท่าทางที่ตึงเครียดมาก
องค์ชายแปดค่อย ๆ เคาะนิ้วลงบนโต๊ะ สายตากวาดมองไปยังนักเวทย์จำนวนมาก จากนั้นเขาก็พูดด้วยเสียงต่ำว่า “ทุกคน ฉันเพิ่งได้ข่าวมาว่า พ่อมดทานนินและพ่อมดมอร์สตัน ทั้งสองมาถึงคฤหาสน์ขององค์ชายสี่แล้ว!”
เมื่อได้ยินข่าวนี้ นักเวทย์บางคนในห้องโถงแสดงสีหน้าปั้นยากออกมา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคุ้นชื่อของสองนักเวทย์นี้ดี
“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยจริง ๆ ว่าพวกสัตว์ประหลาดแก่ ๆ อย่างทานนินกับมอร์สตันจะมา!”
“สองคนนี้ต้องมีอายุอย่างน้อยสามร้อยปีแล้ว หึหึ พวกเขาไม่เคยเข้าร่วมองค์กรใด ๆ ของนักเวทย์เลย พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่โหดเหี้ยม ไร้ความเมตตา ครั้งหนึ่ง พวกเขากวาดล้างตระกูลนักเวทย์ทั้งห้าตระกูลเพียงเพราะความขัดแย้งเล็กน้อย ตระกูลนักเวทย์ที่มีสมาชิกหลายพันคน พวกเขาทั้งหมดถูกฆ่าตาย!”
นักเวทย์หลายคนรู้จักชื่อเสียงอันเลื่องชื่อของพวกเขาทั้งสอง นอกจากนี้ พวกเขายังเป็นนักเวทย์ระดับแปด พวกเขามีพลัง ไม่มีพันธะและโหดร้ายอย่างยิ่ง ทำให้องค์กรนักเวทย์ไม่ต้องการจะผูกมิตรกับสองคนนี้
เป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่องค์ชายสี่สามารถเชิญชวนพวกเขาได้
เมื่อสังเกตเห็นปฏิกิริยาของฝูงชน สีหน้าขององค์ชายแปดก็ทรุดลงเล็กน้อย เขาพูดต่อ “มีข่าวที่แย่กว่านั้น องค์ชายสี่เตรียมจู่โจมพวกเราในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ในช่วงเวลาที่องค์ราชารวบรวมทุกคนในราชวงศ์เพื่อออกล่าสัตว์!”
เมื่อทุกคนได้ยินข่าวนี้ ทุกคนตกใจราวกับได้ยินเสียงฟ้าร้อง ใบหน้าของนักเวทย์หลายคนหน้าซีดเผือด
นักเวทย์เหล่านี้บางคนเต็มใจที่จะจงรักภักดีต่อองค์ชายแปดเพื่อผลประโยชน์ต่าง ๆ ในขณะที่คนอื่น ๆ ถูกบังคับให้รับใช้ภายใต้เขาด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่องค์ชายแปดนำมาใช้
แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะรู้ว่าการประลองครั้งสุดท้ายระหว่างองค์ชายสี่และองค์ชายแปดจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เห็นการประลองกันอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม หากมองในมุมมองขององค์ชายสี่ เวลาที่ดีที่สุดในการโจมตีจริง ๆ คือภายในเวลาไม่กี่วัน นอกจากพ่อมดแกนหลักภายใต้คำสั่งของเขา องค์ชายสี่ยังมีนักเวทย์ระดับแปดถึงสองคนอีกด้วย ดังนั้นในตอนนี้ ดูเหมือนว่าองค์ชายสี่จะใกล้ถึงจุดสูงสุดของความแข็งแกร่งของเขาแล้ว แน่นอนว่า เขาต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อต่อสู้กับองค์ชายแปดและควบคุมสถานการณ์ในเมืองอิมพีเรียล
ท้ายที่สุด นอกจากองค์ชายแปดแล้ว คู่แข่งของเขาในราชวงศ์คือองค์ชายเก้าและองค์ชายสิบสามซึ่งทั้งคู่อยู่ห่างไกลจากเมือง ดังนั้นพวกเขาจะไม่เป็นภัยคุกคามต่อองค์ชายสี่มากนัก
เมื่อเห็นว่าพ่อมดหลายคนไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เสียงขององค์ชายแปดก็เศร้าสร้อยมากขึ้น “เหล่านักเวทย์ของฉัน พวกคุณคิดเห็นอย่างบ้าง?”
ความจริงที่ว่าองค์ชายสี่ได้เสริมกองกำลังด้วยนักเวทย์ระดับแปดสองคนทำให้พ่อมดหลายคนรู้สึกสิ้นหวังเล็กน้อยเพราะพวกเขารู้ดีถึงขอบเขตของกองกำลังขององค์ชายแปด
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง มีพ่อมดคนหนึ่งก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ฝ่าบาท ไม่ว่าอย่างไร เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อนพ่ะย่ะค่ะ!”
“ใช่ เราต้องเตรียมตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ!”
องค์ชายแปดชะงักแล้วลุกขึ้นยืนทันที ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นความมั่นใจในตนเอง เขาประกาศด้วยเสียงอันดังว่า “องค์ชายสี่คงเตรียมพร้อมแล้ว ฉันจะไม่เตรียมตัวได้อย่างไร แน่นอนว่าต้องมีใครบางคนจะจัดการกับทานนินกับมอร์สตัน ส่วนพวกคุณที่เหลือ คุณต้องไปเตรียมการที่จำเป็น เราไม่สามารถที่จะพึ่งพาโชคเพียงเล็กน้อยและรออย่างเงียบ ๆ ได้ ให้ทุกคนไปเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ครั้งสุดท้ายที่จะเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่วันข้างหน้า!”
“การต่อสู้ครั้งสุดท้าย!”
ทุกคนในห้องรู้สึกสั่นเล็กน้อยในใจ องค์ชายแปดและองค์ชายสี่แข่งขันกันมานานหลายปีและนี่เป็นครั้งแรกที่องค์ชายแปดใช้ถ้อยคำที่เฉียบขาดเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม น้ำเสียงที่มั่นใจขององค์ชายแปดยังทำให้นักเวทย์บางคนรู้สึกโล่งใจ เนื่องจากองค์ชายแปดสามารถแข่งขันกับองค์ชายสี่ได้หลายปีขนาดนี้ พระองค์จะไม่พร้อมได้อย่างไร? บางทีพระองค์อาจจะคัดเลือกนักเวทย์อันทรงพลังมาเป็นเวลานานเพื่อจัดการกับพ่อมดทานนินกับพ่อมดมอร์สตัน
ดังนั้น นักเวทย์จำนวนมากจึงค่อย ๆ ออกจากห้องโถงเพื่อไปเตรียมการที่จำเป็น ในอีกสองสามวันข้างหน้า
หลังจากที่ผู้ร่ายคาถาหลายคนจากไป มีเพียงนักเวทย์ระดับเจ็ดเพียงสามคนเท่านั้นที่ยังคงอยู่และพวกเขาทั้งหมดมองไปที่องค์ชายแปด
“ฝ่าบาท เราได้ยินมาว่าพ่อมดลีโอมาถึงแล้ว?”
องค์ชายแปดพยักหน้าและกล่าวว่า “ใช่ พ่อมดลีโอมาถึงแล้ว ฉันเกรงว่าฉันต้องพึ่งพาพ่อมดลีโอในเรื่องทานนินกับมอร์สตัน!”
เมื่อได้ยินว่าองค์ชายแปดตั้งใจจะให้พ่อมดลีโอรับมือทานนินและมอร์สตัน นักเวทย์ระดับเจ็ดทั้งสามก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้ากังวลปรากฏขึ้นเมื่อพ่อมดลีโอเป็นเพียงนักเวทย์ระดับหก
“ฝ่าบาท เรื่องที่พ่อมดลีโอต้องจัดการกับนักเวทย์ระดับแปดสองคน นี่จะไม่ใช่เรื่องยากเกินไปสำหรับพ่อมดลีโอหรือพ่ะย่ะค่ะ? ฝ่าบาททรงมีความมั่นใจในเรื่องนี้หรือไม่?”
"ความมั่นใจ?"
องค์ชายแปดมองออกไปและส่ายหัวเบา ๆ “ฉันไม่มีความมั่นใจเลย แต่เมื่อถึงจุดนี้ ฉันทำได้แค่ลองดูเท่านั้น นอกจากพ่อมดลีโอ พวกคุณคนไหนที่ยินดีจะรับมือกับทานนินและมอร์สตัน”
นักเวทย์ระดับเจ็ดสามคนนั้นรู้ดีถึงพลังของพ่อมดทานนินและพ่อมดมอร์สตัน ดังนั้น พวกเขาทั้งหมดจึงส่ายหัวเล็กน้อย
“เอาล่ะ ตอนนี้เราจะไปหาพ่อมดลีโอและพูดคุยกับเขาเกี่ยวกับการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้น ไปกันเถอะ ทุกคนตามฉันมาไปพบกับพ่อมดลีโอกัน!”
ทันทีที่องค์ชายแปดพูดจบ เขาก็ออกจากห้องโถงพร้อมกับนักเวทย์ระดับเจ็ดสามคน
…
“ฮึ่ม…”
ในจิตใต้สำนึกของเมอร์ลินสั่นเล็กน้อย ทันใดนั้น พลังธาตุดินได้พวยพุ่งเข้าสู่จิตใต้สำนึกและโครงสร้างคาถาอันใหม่ได้ดูดซับอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนพลังธาตุดินให้เป็นพลังเวทย์
“คาถาธาตุดินระดับสาม เกราะสัมบูรณ์! ในที่สุด ฉันก็สร้างสำเร็จแล้ว!”
เมอร์ลินถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก หลังจากดื่มน้ำยาโมคราสองขวดติดต่อกัน เขาได้เพิ่มพลังจิตเพิ่มขึ้นพียงพอที่จะสร้างคาถาได้ แม้ว่ามันจะต้องใช้เวลานานก็ตามแต่มันก็คุ้มค่า
ในเวลานี้ จิตใต้สำนึกของเมอร์ลิน มีแสงสีต่าง ๆ ระยิบระยับ หากสามารถมองเห็นได้ด้วยตา คงจะแปลกใจที่พบว่าแสงหลากสีเหล่านี้เป็นตัวแทนของโครงสร้างคาถา
จากคาถาระดับศูนย์ถึงคาถาระดับสาม มีทั้งหมดกว่ายี่สิบคาถาแล้ว!
เมอร์ลินเป็นนักเวทย์หกธาตุจึงมีโครงสร้างคาถาระดับศูนย์หกแบบ ระดับหนึ่งหกแบบและระดับสองหกแบบ รวมทั้งคาถาระดับสามที่สร้างขึ้นใหม่อย่าง วังวนแห่งความมืด หลอมเปลวเพลิงและเกราะสัมบูรณ์ เขามีทั้งหมดยี่สิบเอ็ดคาถา!
โครงสร้างคาถาจำนวนมากซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึกของเขาอย่างเงียบ ๆ ราวกับกำลังสร้างบล็อกที่ซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ทีละชั้น ดูน่าตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงสร้างคาถาจำนวนมากยังคงดูดซับพลังธาตุและเปลี่ยนเป็นพลังเวทย์ซึ่งจากนั้นก็จัดเก็บไว้ในโครงสร้างทั้งยี่สิบเอ็ดพร้อม ๆ กัน เกือบจะก่อตัวเป็นพายุธาตุขนาดเล็ก
อย่างไรก็ตาม ในจิตใต้สำนึก พลังธาตุเหล่านี้ถูกดูดซับและเปลี่ยนแปลงโดยโครงสร้างคาถาต่าง ๆ อย่างมีระบบระเบียบ
มีโครงสร้างคาถามากมายในจิตใต้สำนึกของเขา ในอนาคตจะมีคาถาระดับสี่ คาถาระดับห้าและคาถาระดับหก ไปจนถึงคาถาระดับเก้า เมื่อถึงเวลานั้น จำนวนเวทย์มนตร์จะมีมากจนคาดไม่ถึง
การผสมผสานคาถาเป็นความสามารถพิเศษของจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ คาถาเหล่านี้ในจิตใต้สำนึกสามารถรวมเข้าด้วยกันได้ แม้ว่าตัวนักเวทย์จะยังไม่ถึงขั้นตอนของการหลอมรวม แต่ก็สามารถจินตนาการถึงความยากของมันได้…
“ไม่น่าแปลกใจที่มีจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่เพียงไม่กี่คน!”
เมอร์ลินส่ายหัวเบา ๆ ระดับของจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ยังห่างไกลจากเขามากเกินไป ดังนั้นเขาจึงโยนความคิดเหล่านี้ออกจากหัวทันที
หลังจากรอครู่หนึ่ง เมอร์ลินก็มองไปที่โครงสร้างคาถาของเกราะสัมบูรณ์ในจิตใต้สำนึกของเขา มันสามารถถูกปล่อยออกมาได้หนึ่งครั้งหรือสองครั้ง ดังนั้น เมอร์ลินจึงทำการร่ายเกราะสัมบูรณ์ออกมาอย่างรวดเร็ว
เมอร์ลินคาดหวังไว้กับคาถานี้ไว้มาก เพราะตัวเขาจะได้มั่นใจในความปลอดภัย
“เกราะสัมบูรณ์!”
แสงสีกากีแวบวาบอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตา เกราะก็ควบแน่นอย่างรวดเร็วเหนือผิวกายของเมอร์ลิน
เกราะนี้ดูหนักมาก มันห่อหุ้มร่างกายของเมอร์ลินไว้อย่างครบถ้วน มันอาจจะถูกเรียกว่าเกราะ แต่ในความเป็นจริง มันเป็นแสงลวงตาที่ไม่มีมุมอับ การโจมตีจากทุกมุมจะถูกบล็อกโดยเกราะสัมบูรณ์
เมอร์ลินลุกขึ้นยืนอย่างนุ่มนวล พลังของเกราะสัมบูรณ์เดิมทีเป็นคาถาระดับสาม แม้ว่าพลังป้องกันจะยิ่งใหญ่มากแต่ก็ยากที่จะถูกมองว่า ‘สมบูรณ์แบบ’ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคาถาระดับสามจะแข็งแกร่งแค่ไหน มันก็ยังมีขีดจำกัด
อย่างไรก็ตาม ด้วยการเสริมพลังจากผสานผืนพิภพ สิ่งต่าง ๆ จะแตกต่างออกไปอย่างมาก มันสามารถเสริมความแข็งแกร่งของเกราะสัมบูรณ์ได้หลายเท่าและยังปรับปรุงพลังป้องกันอย่างมาก มีเพียงพลังที่เกินกว่าเวทมนตร์ระดับหกเท่านั้นที่จะมีโอกาสทำลายการป้องกันของมันได้
หากมองในแง่หนึ่ง ด้วยพลังของเกราะสัมบูรณ์ คาถาใด ๆ ที่ต่ำกว่าระดับเจ็ดแทบจะไม่มีโอกาสทำอะไรเขาได้เลย
แต่ถ้าหากคู่ต่อสู้ของเขาเป็นนักเวทย์ที่มีพลังปีศาจแพนโดร่า เช่น พ่อมดลีโอที่มีดวงตาแห่งความมืด มันจะไม่มีประโยชน์แม้ว่าเกราะสัมบูรณ์ของเมอร์ลินจะเสริมพลังจากผสานผืนพิภพก็ตาม
หลังจากที่เมอร์ลินสัมผัสได้ถึงพลังของเกราะสัมบูรณ์ เขาก็ได้ค้นพบสิ่งใหม่ ปรากฎว่าพลังเวทย์มนตร์ที่ใช้โดยเกราะสัมบูรณ์นั้น มันใช้พลังเวทย์ต่ำมาก ยกเว้นความจำเป็นในการปล่อยพลังเวทย์มหาศาลในช่วงเริ่มต้นของการร่ายคาถา มันต้องการพลังเวทย์เพียงเล็กน้อยในการบำรุงรักษาตัวเอง
สิ่งนี้สามารถยืดเวลาการต่อสู้ระหว่างนักเวทย์ได้อย่างมาก หากยื้อได้เขาก็มีโอกาสชนะมากขึ้น
“ตอนนี้ ฉันกล้าที่จะเผชิญหน้ากับนักเวทย์ที่ต่ำกว่าระดับเจ็ดแล้ว!”
เมอร์ลินเต็มไปด้วยความมั่นใจ ตอนนี้เขาได้สร้างเกราะสัมบูรณ์เสร็จแล้วและได้รับสิ่งที่ช่วยในการปกป้องตัวเขา เขาเพิ่งเริ่มเผยความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาเท่านั้น
ตอนนี้เขาสามารถเรียกได้ว่าเป็นนักเวทย์ที่ทรงพลังอย่างแท้จริง!
นอกจากนี้ หลังจากที่เขากลายเป็นนักเวทย์ระดับสี่แล้ว เขาก็สามารถต่อสู้กับนักเวทย์ระดับเจ็ดได้ บางทีเขาอาจจะเป็นเหมือนจอมเวทย์ในตำนานนิโคล่าที่ฆ่านักเวทย์ระดับเจ็ดในขณะที่ยังคงเป็นเพียงนักเวทย์ระดับสี่!
“เอ๊ะ? มีคนมาที่นี่!”
เมอร์ลินตื่นแล้วและพลังจิตของเขาก็คอยติดตามสถานการณ์ภายนอกอยู่ตลอดเวลา เขาสังเกตเห็นคนแปลกหน้าบางคนอยู่นอกห้อง หลังจากนั้น เมอร์ลินก็ผลักประตูออกและเห็นคนสี่คนเดินเข้ามา
“องค์ชายแปด!”
เมอร์ลินกวาดสายตาไปรอบ ๆ และตระหนักว่าผู้ที่เดินอยู่ข้างหน้าคือองค์ชายแปด ในขณะที่นักเวทย์สามคนที่อยู่ข้างหลังเขาคือนักเวทย์ระดับเจ็ดสามคนที่เมอร์ลินเคยพบมาก่อนหน้านี้
องค์ชายแปดได้นำนักเวทย์ระดับเจ็ดมาสามคน แน่นอนว่าต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น