WMR ตอนที่ 8 ถูกมองออก?
ครึ่งชั่วโมงหลังจากแอนนี่กลายเป็นฝุ่น
อีกด้านหนึ่งของท้องฟ้ายามค่ำคืน สถานการณ์ของกู้เป่ยก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันนัก
“เจ้าเต็มใจทำร้ายเพื่อนของเจ้าเพียงเพื่อโกหกข้า?”
ไม่ใช่ว่าจู่ ๆ กู้เป่ยก็รู้สึกถึงความยุติธรรมและต้องการต่อสู้เพื่อแอนนี่อะไรเทือกนั้น เพียงแต่เขาในตอนนี้ไม่รู้จะพูดอะไรอีกนอกจากประณามมิเชลในทางศีลธรรม
อย่างไรก็ตามเขาต้องพูดต่อไป หากหุบปากตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการนั่งรอความตาย ท้ายที่สุดแล้วเขากับมิเชลยังคงอยู่ในระหว่าง 'การเจรจา' แม้ว่าทิศทางของการเจรจาจะตรงข้ามกับที่กู้เป่ยวางไว้แต่แรกก็ตาม
ถึงกระนั้น นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของเขาในการเอาชีวิตรอด
“ทำไม ท่านมีปัญหา?” ทัศนคติของมิเชลก็เริ่มก้าวร้าวเช่นกัน “เซอร์ลิเธอร์ สงสัยข้าคงปฏิบัติต่อท่านดีเกินไปจนทำให้ท่านคิดว่าสามารถพูดอะไรก็ได้ตามที่ท่านต้องการ”
ฉิบหายแล้วฉัน
กู้เป่ยรู้สึกกดดัน เห็นได้ชัดว่ามิเชลฉีกหน้ากากที่เสแสร้งออก และพร้อมที่จะยกเลิก ’การเจรจา’ สำหรับกู้เป่ยแล้วนี่ไม่ใช่ข่าวดี
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อความอยู่รอดหรือเพียงเพื่อชะลอการตาย เขาจะต้องทำให้มิเชลพูดต่อไป
ดังนั้นเขาจึงพยายามทำตัวเข้มแข็ง “คุณหญิงมิเชล เจ้าต้องพึ่งข้าในการเปิดคลังสมบัติ และข้าอาจเปลี่ยนใจได้ทุกเมื่อ จงอย่าลืมไปว่าข้ามีพลังที่จะหยุดเจ้าไม่ให้ได้รับสิ่งที่เจ้าต้องการตลอดไป”
อย่างไรก็ตามคำตอบของมิเชลกลับมาเร็วกว่าที่เขาคาดไว้ “โอ้ ท่านเซอร์ที่รัก ท่านไม่ต้องรีบร้อนไป ข้าจะใช้แส้ของข้าดูแลท่านอย่างดี ข้าเชื่อว่าอีกไม่นาน ท่านจะรู้ว่าอะไรควรพูด”
“...”
กู้เป่ยต้องยอมรับคำขู่ที่พูดแบบเนิบ ๆ พวกนี้ฟังดูน่ากลัวเสียยิ่งกว่าพวกที่ใช้น้ำเสียงดุร้าย
ข้อความเบื้องหลังน้ำเสียงคือ: 'ข้าสามารถมองผ่านสิ่งที่เจ้าวางแผนได้ และไม่ว่าเจ้าจะพยายามมากแค่ไหน เจ้าก็จะไม่มีวันหลุดพ้นจากเงื้อมมือของข้า'
ดูถูก! นี่มันดูถูกกันชัด ๆ!
เมื่อเห็นกู้เป่ยไม่ตอบมิเชลก็นำแส้สีดำออกมาจากแขนเสื้อ เธอเขย่าแส้ต่อหน้ากู้เป่ย มันแวววาวราวกับผิวของน้ำมันภายใต้การอาบของแสงจันทร์
“ท่านชอบมันไหม?” เธอกล่าว
‘ชอบบ้านแม่เจ้าสิ!’ กู้เป่ยสบถในใจ
มิเชลสาวแส้ ขณะที่กู้เป่ยพยายามอย่างเต็มที่เพื่อดึงรอยยิ้มออกมา
“ร่วมมืออย่างมีความสุข!”
“ร่วมมืออย่างมีความสุข” มิเชลพยักหน้าขณะที่เธอค่อย ๆ เก็บแส้เข้าที่เดิมอีกครั้ง
กู้เป่ยรู้สึกอับอายมาก
อันที่จริงเมื่อมองย้อนกลับไป สาเหตุที่มิเชลสามารถหลอกเขาได้หลัก ๆ เลยเป็นเพราะเขาเพิ่งถูกเทเลพอร์ตเข้ามาในโลกนี้ และไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกนี้เลย เขาเป็นราวกับชาวนาที่เพิ่งเข้าเมืองที่แม้แต่เด็กสามขวบก็ยังหลอกเขาได้
ไอเทเลพอร์ตเฮงซวย ตัวเอกจากนิยายเรื่องอื่นล้วนมีความทรงจำจากเจ้าของร่างเก่า แต่ทำไมฉันถึงไม่ได้อะไรเลย?
ถ้าเขารู้ว่าไม่มีทหารไล่ตามตั้งแต่แรก ถ้าเขารู้มากกว่านี้...
ทุกอย่างจะต้องต่างออกไปอย่างแน่นอน
“คนทำความสะอาด อัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่โบสถ์ใช้จัดการกับพวกนอกศาสนา” ทันใดนั้น ระบบก็โผล่ขึ้นมาและพูดอย่างเคร่งขรึม “การเลือกคนทำความสะอาดนั้นเข้มงวดมาก ทุกปีจะมีอัศวินศักดิ์สิทธิ์กว่า 2,000คนที่สมัคร แต่มีเพียง 2 คนเท่านั้นที่สามารถเข้าร่วมได้และกลายเป็นหนึ่งในนั้นอย่างราบรื่น ว่ากันว่าคนทำความสะอาดทุกคนจะได้รับบัพติศมา1จากสมเด็จพระสันตะปาปาทำให้มีความแข็งแกร่งที่ผิดปกติ และเมื่อรวมกันความแข็งแกร่งของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเป็นเท่าทวี”
“อะไรว่ะ! นายช่วยอย่าโผล่ออกมาทำให้ตกใจในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ได้ไหม?” กู้เป่ยโกรธมากและพูดกับระบบในใจ
“นี่คือข้อมูลของคนทำความสะอาด” เห็นได้ชัดว่าระบบไม่ได้สนใจความโกรธของกู้เป่ย และยังคงพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน่ารำคาญ
“นาย…” กู้เป่ยอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็หยุดคิด “เดี๋ยวนะ นายเอาข้อมูลพวกนี้มาจากไหน”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน จู่ ๆ มันก็โผล่มาในฐานข้อมูล” ระบบตอบ
"มีอะไรอีกไหม? ขอข้อมูลที่มีประโยชน์กับฉัน ผู้วิเศษ! ผู้วิเศษในโลกนี้เรียนรู้เวทมนตร์ใหม่กันยังไง?"
ไฟแห่งความหวังถูกจุดขึ้นมาในหัวใจของกู้เป่ยอีกครั้ง คำอธิบาย! ข้อมูล! แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าระบบมีการอัพเกรดหรือมีบัคที่ทำให้ได้รับข้อมูลเหล่านี้ แต่นี่คือสิ่งที่เขาขาดแคลนมากที่สุดในตอนนี้ เนื่องจากการเทเลพอร์ตเฮงซวยตัวเขาในปัจจุบันจึงแทบไม่รู้เรื่องของโลกนี้เลย
เขาต้องการข้อมูลเกี่ยวกับผู้วิเศษ
เขาจำเป็นต้องเรียนคาถาผูกมัด เพราะมันเป็นวิธีเดียวที่เขาจะออกจากสถานการณ์นี้ได้แบบมีชีวิต
“ไม่มีอะไรอื่น นอกจากบทพูดห่วย ๆ ที่ท่านเขียนไว้ สิ่งเดียวที่อยู่ในฐานข้อมูลคือสิ่งนี้”
กู้เป่ยหงุดหงิดมาก “ฉันไม่มีทั้งเวลาและใจมาเล่นตลกกับนายตอนนี้ ให้สิ่งที่มีประโยชน์แก่ฉัน! อย่าลืมไปว่าตอนนี้เราอยู่บนเรียนลำเดียวกัน นายจะรอดได้ก็ต่อเมื่อฉันไม่ตาย หากฉันไม่สามารถใช้คาถานี้ได้ พวกเราถูกยำเละแน่”
“ไม่มีก็คือไม่มี ระบบไม่เคยพูดเล่น”
“...” กู้เป่ยไม่แน่ใจว่าเขาควรแย้งประโยคแรกหรือประโยคสุดท้ายดี
ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ยอมแพ้ "พูดจริง นายไม่มีอย่างอื่นแล้วจริง ๆ?"
“ข้าไม่มีแล้วจริง ๆ”
“หืม? นายไม่มีแล้วแน่นะ?”
มีเสียงรบกวนจากระบบ จากนั้นหน้าจอดิจิตอลโปร่งแสงก็ปรากฏขึ้นตรงหน้ากู้เป่ยอีกครั้ง "หากท่านต้องการความช่วยเหลือจากมนุษย์ โปรดกดศูนย์"
“…”
ในที่สุดกู้เป่ยก็ล้มเลิกความคิดนี้ เวลานี้การพึ่งพาตัวเองดูจะมีโอกาสรอดมากกว่า
ถูกต้อง กู้เป่ยยังไม่ยอมแพ้ เมื่อสถานการณ์ถึงทางตัน หากเขาอยู่ในนิยายสักเรื่องหนึ่ง มันก็มักจะมีปาฏิหาริย์หรือไม่ก็ผู้กอบกู้จากสวรรค์ที่ช่วยเขาให้รอด แต่ชีวิตไม่ใช่นิยาย และโดยส่วนใหญ่แล้วมีแนวโน้มว่าสถานการณ์ที่สิ้นหวังไม่ได้นำมาซึ่งการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ แต่เป็นการเข้าคิวสู่สวรรค์และการอำลาชีวิตเก่า
ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเขาอยู่ในนิยายจริง ๆ ตัดสินจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา ผู้เขียนนิยายเรื่องนี้คงจะต้องเกลียดเขามากเป็นแน่
แต่...
จากช่วงเวลาที่ทัศนคติของมิเชลแย่ลง กู้เป่ยก็รู้สึกว่ามันมีบางอย่างแปลก ๆ เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มาจากไหน แต่สัญชาตญาณของเขามันกรีดร้องว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง และมิเชลคงกำลังปิดบังบางสิ่งจากเขา
“มันคืออะไรกัน....”
ภายใต้แรงกดดันมหาศาลจากความตาย กู้เป่ยรู้สึกถึงโอกาสเอาชีวิตรอดอันริบหรี่ ราวกับสัมผัสได้ถึงสายลมในถ้ำที่ปิดสนิท
เขาจะตามสายลมนั่นและคว้ามันไว้
ความสนใจของเขากลับสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง เวลานี้เขากับมิเชลยังคงซ่อนตัวอยู่ในต้นไม้ ดูเหมือนความคิดที่จะออกไปไม่ได้อยู่ในหัวเธอเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าเธอกลัวจะถูกพวกคนทำความสะอาดเจอตัว และต้องการรอให้พวกเขาออกไปจากบริเวณใกล้เคียงเสียก่อน
คนทำความสะอาด…
มิเชลดูเหมือนจะกลัวการมีอยู่ของพวกเขามาก และเนื่องจากระบบเพิ่งให้ข้อมูลจำนวนมากเกี่ยวกับพวกเขา บางทีเขาควรใช้สิ่งนั้นในการฝ่าฟันอุปสรรค แม้ว่าเขาจะไม่สามารถรับข้อมูลจากระบบได้มากกว่านี้ แต่อย่างน้อยที่สุดที่เขาทำได้ในเวลานี้คือทดสอบมิเชล
หลังคิดได้ดังนั้นกู้เป่ยก็พูดอีกครั้ง: “หรือแท้จริงแล้วพวกเขาไม่ได้มาหาแอนนี่ แต่เป็นเจ้า?”
มิเชลยังคงเย็นชาต่อเขาเช่นเดิม “ขุนนางที่พูดมากเกินไปมักจะอยู่ได้ไม่นาน”
เขาไม่รู้ว่าหลังจากพูดมากเกินไปแล้วเขาจะสามารถมีชีวิตต่อได้หรือไม่ แต่เขารู้ดีว่าหากเขาพูดน้อยเกินไปชีวิตของเขาคงไม่ได้ไปต่อ
กู้เป่ยไม่เคยต้องการเป็นคนช่างพูด แต่พระเจ้าไม่มีทางเลือกให้เขา
“คนทำความสะอาด พวกเขาคืออัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่ศาสนจักรใช้จัดการกับคนอย่างเจ้า ปัจจุบันมีคนทำความสะอาดในโบสถ์เพียงไม่กี่คน แต่ทุกคนต่างก็เป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่มีประสบการณ์การต่อสู้โชกโชน ทั้ง ๆ ที่พวกเขามีจำนวนน้อยแท้ ๆ แต่เจ้ากลับมีคนทำความสะอาดไล่ตามมามากกว่า 10 คน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเจ้าคงไปเข้าตาศาสนจักรเข้า”
กู้เป่ยจงใจพูดอย่างช้า ๆ พยายามใช้ข้อมูลที่เขาเพิ่งได้รับจากระบบเพื่อทดสอบปฏิกิริยาของมิเชล
มิเชลไม่ตอบ
กู้เป่ยไม่ท้อแท้ก่อนจะพูดต่อ “เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าเจ้าจะสามารถเปิดคลังได้ทั้ง ๆ ที่ถูกศาสนจักรจับตาอยู่? คลังของทุกตระกูลจะได้รับการปกป้องโดยคนมากมาย แม้ว่าเจ้าจะกำจัดพวกเขาได้โดยไม่ทำให้เกิดความวุ่นวาย แต่มันก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่แจ้งเตือนพวกคนทำความสะอาด”
น้ำเสียงของเขาดูสงบ แต่ในใจของเขาร้อนรุ่มด้วยความวิตก
ได้โปรดเถอะ...ได้โปรด... ช่วยตอบสนองที!
เขารู้สึกเหมือนกำลังสอบการเมืองโดยกำลังพูดพล่ามเกี่ยวกับหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาเองก็ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร แต่เขาหวังว่าจะต้องมีสักประโยคหนึ่งที่โดนเข้าทางตันที่ไร้รอยแยกนี้อย่างจังและงัดเปิดเป็นช่องให้เขา สมองของเขาในเวลานี้ถูกใช้จนกระทั่งน้ำในสมองเกือบแห้งเหือด
โชคดีที่ในที่สุดมิเชลก็ขยับ
เธอหันกลับมามองที่กู้เป่ย และนั่นก็นับเป็นครั้งแรกที่กู้เป่ยเห็นหน้ามิเชล ภายใต้แสงจันทร์สลัว ฮู้ดที่ค่อนข้างใหญ่ปกคลุมใบหน้าของเธอเป็นเหตุให้ใบหน้าทั้งหมดยังคงพร่ามัว แต่ดวงตาสีทองซีดนั้นส่องประกายดูสะดุดตาภายใต้ความมืดราวกับนกเค้าแมว
เมื่อถูกดวงตาที่เหมือนสัตว์ร้ายที่เฉียบแหลมปราศจากความอบอุ่นจ้องมองมันก็ทำให้กู้เป่ยถึงกับขนลุก
“เจ้าเป็นใคร?”
“ฮะ?” กู้เป่ยชะงักไปครู่หนึ่ง
“เจ้าไม่ใช่แกรนท์ ลิเธอร์ เจ้าเป็นใครกัน? เจ้าสลับตัวกับเขาตอนไหน? เจ้าเอาเขาไปไว้ที่ไหน?” เพียงพริบตา มิเชลก็หยิบกริชออกมาก่อนจะนำมาทาบลงบนคอของกู้เป่ย แม้แต่น้ำเสียงของเธอก็กลายเป็นแข็งกร้าว
หัวใจของกู้เป่ยเต้นผิดจังหวะ ลางสังหรณ์ไม่ดีเริ่มปรากฏขึ้นในใจของเขา
“ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดถึงอะไร”
นัยน์ตาของมิเชลดุร้ายและเย็นชาดุจดั่งเสือดาว “เลิกแกล้งโง่สักที พวกคนทำความสะอาดมักเคลื่อนไหวด้วยจำนวน 14 คนเสมอ แต่เจ้ากลับทำเป็นไม่รู้ นี่ยังไม่นับเรื่องที่เจ้าบอกว่ามีผู้คุ้มกันมากมายปกป้องคลัง ตระกูลลิเธอร์นั้นภูมิใจในความลับของที่ตั้งคลังสมบัติและวิธีการเปิดที่ซับซ้อน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เคยส่งใครมาปกป้องคลัง แต่เจ้ากลับบอกว่ามีคนคอยปกป้องอยู่ด้านนอก ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลลิเธอร์ เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะไม่รู้เรื่องนี้”
หลังจากหยุดครู่หนึ่ง เธอก็เพิ่มน้ำเสียงของเธอ: "เจ้าเป็นใครกันแน่?"
ฝ่ามือของกู้เป่ยเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น
เขาเดินทางมาไกลเกินกว่าจะกลับมิหนำซ้ำมันยังออกนอกเส้นทางอีกด้วย เมื่อลองคิดดูแล้วสอบการเมืองยังดีกว่านี้เยอะ เพราะอย่างน้อยมันก็ไม่มีบทลงโทษสำหรับการพูดผิด
ตั้งแต่แรกเขานั้นไม่เคยเป็นแกรนท์ ลิเธอร์ เขาเป็นเพียงกู้เป่ยนักเดินทางข้ามโลกผู้อับโชค เขาไม่รู้ว่าตระกูลลิเธอร์คืออะไร นับประสาอะไรกับวิธีการเปิดคลัง ดังนั้นจะบอกว่าเขาเป็นแค่คนที่อยู่ผิดที่ผิดทางที่ไม่รู้ห่าอะไรเลยก็ไม่ผิด
แต่หากมิเชลรู้เรื่องนี้ เขาก็คงหมดประโยชน์และถูกเธอฆ่าทิ้งทันที
"สุดยอดระบบปัญญาประดิษฐ์อัจฉริยะสุดล้ำที่ไม่มีใครเทียบได้ ช่วยฉันด้วย!" กู้เป่ยตะโกนในใจ
“กำลังปิดเครื่อง บี๊บ-บี๊บ-บี๊บ-บี๊บ”
“เวรเอ๊ย!”
ในโลกความจริง ความคิดของกู้เป่ยยังไม่ถูกเปิดเผย อันเนื่องมาจากการเคลื่อนไหวของมิเชลที่กะทันหันเกินไปจนทำให้กู้เป่ยรู้สึกหวาดกลัวมากจนตอบสนองไม่ทันส่งผลให้เขาไม่ได้เคลื่อนไหว ดังนั้นเขาจึงทำหน้าตายและแสร้งทำเป็นสงบ “ข้าคือแกรนท์ ลิเธอร์”
เวลานี้ดวงตาของมิเชลเสมือนมีดผ่าตัด รอคอยที่จะผ่ากู้เป่ย และนำอวัยวะออกมาตรวจดูเซลล์ของเขา
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตและความตายนี้ กู้เป่ยบังคับตัวเองให้นิ่งขณะที่สบตากับมิเชล
เขารู้สึกราวกับว่าตัวเขากลับไปในช่วงสมัยเรียนชั้นประถม เมื่อครูประจำชั้นจ้องเขาอย่างดุดันก่อนจะถาม “นี่เธอไม่ได้ทำการบ้านงั้นเหรอ?” เขาตอบ “ผมทำแล้ว แต่แค่ลืมเอามาโรงเรียน” ครูถามเขาอีกครั้ง “นี่เธอโกหกครู?” แน่นอนว่าเขาตอบว่า “ไม่ ผมไม่ได้โกหก!”
โชคดีที่เขาไม่ได้ทำการบ้านบ่อยนัก และผลจากการฝึกนั้นทำให้เขาสามารถยืนหยัดภายใต้สายตาอันน่าสะพรึงของมิเชลได้
ราวกับว่าเวลาผ่านไปชั่วชีวิต แม้แต่กู้เป่ยก็เริ่มรู้สึกหิวเล็กน้อย
ทันใดนั้นมิเชลก็ถอนกริชออกพร้อมกับเก็บบรรยากาศข่มขู่ทั้งหมดกลับไป ก่อนจะกลับไปนั่งบนกิ่งไม้และกลายเป็นรูปปั้นอีกครั้ง
เกิดอะไรขึ้น? กู้เป่ยยังคงหมกมุ่นอยู่กับ “ผมลืมเอาการบ้านมา” ที่สมบูรณ์แบบของเขา และไม่ได้ตอบสนอง
เขาสับสนเล็กน้อย
“ยอมแพ้ซะ ข้าไม่หลงกลอุบายของเจ้าหรอก” มิเชลบอกเขา
บ้าอะไรวะ... กู้เป่ยรู้สึกเหมือนเขาอ่านข้ามบทไปโดยไม่รู้ตัวขณะกำลังอ่านนิยายทำให้ไม่สามารถตามเนื้อเรื่องได้ ยอมแพ้? ไม่หลงกล? นี่ฉันทำบ้าอะไรลงไป ทำไมขนาดฉันเองก็ยังไม่รู้?
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะตอบโต้อย่างไร
แน่นอนว่าเบื้องหน้าเขาไม่มีวันแสดงความสับสนของเขาออกไปเด็ดขาด หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็คิดวิธีทดสอบที่ค่อนข้างปลอดภัยซึ่งจะไม่เปิดเผยข้อบกพร่อง นั่นคือทำซ้ำสิ่งที่เขาพูดเมื่อกี้ แล้วดูปฏิกิริยาของมิเชลเพื่อตัดสินสถานการณ์
“ข้าคือแกรนท์ ลิเธอร์”
มิเชลดูเหมือนจะเริ่มรำคาญ “หุบปาก! หยุดพ่นเรื่องไร้สาระของเจ้าซะ!”
กู้เป่ยจ้องไปยังร่างที่ไม่ขยับเขยื้อนของมิเชลและนึกถึงทุกรายละเอียดเมื่อครู่ ทัศนคติที่แปลกประหลาดของมิเชล ความหวังอันไร้เหตุผลในความสิ้นหวัง... ความรู้สึกแปลก ๆ ของบางสิ่งที่ถูกปกปิดอยู่เด่นชัดพอ ๆ กับผมหงอกท่ามกลางหัวที่มีแต่ผมสีดำรอวันให้เขาถอนออก
ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างวาบขึ้นในใจของเขา
“เจ้าพูดถูก ข้าไม่ใช่แกรนท์ ลิเธอร์”
.....
บัพติศมา1 หรืออีกชื่อคือ ศีลล้างบาป เป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาคริสต์ทำขึ้นเพื่อรับ "ผู้ที่เพิ่งรับเชื่อ" เข้าเป็นสมาชิกใหม่ของคริสตจักร