ตอนที่ 47 เหล่าศิษย์แกนหลัก
ไม่นาน เล้งซาน ก็เดินหน้าเปื้อนยิ้มออกมาจากห้อง มันหรี่ตามอง อี้หลงหวัง เล็กน้อย ตอนนี้มันเปลี่ยนใบหน้าเป็นบุคคลอื่นเรียบร้อยแล้วเป็นผู้เยาว์อายุ 17-18 ใบหน้าเดียวกันกับตอนที่ลอบเข้ามาในพรรคเมื่อคืน แต่ยังคงไว้ซึ่งความหล่อเหลาที่สะท้านใจสตรี มันได้แจ้งแก่ อี้หลงเทียน และ อี้หลงหู่ ไว้แล้วว่ามันจะใช้ใบหน้าเช่นนี้ขึ้นเป็นตัวแทนพรรค และใช้ชื่อว่า หม่าเฉิน
"แม่นางอี้หลง เมื่อใดกันที่ข้าผู้อาภัพ จะมีโอกาสได้ยลโฉมท่านในชุดของอิสตรี"
อี้หลงหวังตกตะลึงเล็กน้อยด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนแปลงไป แต่บิดามันก็ได้แจ้งไว้ก่อนหน้านี้แล้ว จึงมิได้ไต่ถามอะไร และขมวดคิ้วขึ้นจากคำถามของเล้งซาน
"อย่าได้เฝ้าฝัน เราตั้งใจจะเป็นบุรุษเช่นนี้ไปตลอดชีวิตเพื่อรับตำแหน่งผู้นำพรรคกระบี่เหินคนต่อไป" นางเฉิดจมูกขึ้นเล็กน้อยพลางเอามือกอดอก
"พรรคท่านมีกฎว่า สตรีห้ามรับตำแหน่งผู้นำหรือ??"
"ไม่มี!! แต่ว่านอกจากพรรคที่รับแต่ศิษย์สตรีเพศ เจ้าเคยเห็นพรรคใดบ้างเล่าที่มีสตรีเป็นผู้นำ" นางขมวดคิ้วเล็กน้อย
"ฮ่าๆ แปลว่าท่านก็คิดเองเออเองคนเดียวน่ะสิ หากข้าเดาไม่ผิดบิดาท่านก็คงมิได้บอกให้ท่านแต่งเป็นบุรุษเช่นนี้ใช่หรือไม่"
"ข้าแต่งของข้าเอง แล้วจะทำไม?" อี้หลงหวังเริ่มเหวี่ยงใส่เล้งซานเล็กน้อย
เหตุแท้จริงที่ อี้หลงหวัง หลอกลวงผู้คนทั้งเมืองเมฆครามนั้น เป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างมาก เนื่องจากมารดาของนาง มักแสดงอาการซึมเศร้าด้วยเหตุผลที่ว่าบิดาของนาง มีอนุภรรยาหลายคน นางซึ่งเห็นเช่นนั้นตั้งแต่ครั้งเยาว์วัยจึงรู้สึกว่าการเป็นสตรีนั้นเสียเปรียบบุรุษในทุก ๆ ด้าน หลังการจากไปของมารดาด้วยโรคร้ายตอนนางอายุ 5 ปี นางจึงตัดสินใจจะเป็นบุรุษในยามที่เติบโต จึงขอให้บิดาและท่านปู่ของนางกำชับทุกคนในพรรคว่าให้ปฏิบัติราวกับนางเป็นบุรุษ เมื่อเวลาผ่านร่วงเลยไปนับสิบปี ทำให้ชาวเมืองทั้งหมด และศิษย์รุ่นใหม่ ๆ ในพรรคเข้าใจมาตลอดว่านางเป็นบุรุษเพศ
แต่เมื่อ อี้หลงหวัง เติบโตขึ้นกลับรู้สึกตัวว่าไม่ควรจะทำเช่นนี้ แต่การที่หลอกลวงผู้คนมาเป็นเวลาเนิ่นนาน ครั้นจะไปแก้ข่าวที่ว่านางไม่ใช่บุรุษนั้น ย่อมต้องกลายเป็นตัวตลกของคนทั่วเมืองอย่างแน่นอน นางจึงต้องจำใจแสดงละครเช่นนี้ต่อหน้าทุกคนไปเรื่อย ๆ
"เอาล่ะ เอาล่ะ ข้าไม่โต้เถียงกับท่านและ เรามาเริ่มเรียนวิชากันเลยดีกว่า"
เมื่อเห็นนางเริ่มจะโกรธเล้งซานรีบตัดบทในที
"ชิ!!" นางสะบัดหน้าเล็กน้อย และพาเล้งซานเดินมายัง ลานฝึกยุทธ
เล้งซานแอบหัวร่อในใจกับการกระทำเช่นนั้นของนาง
ที่ลานฝึกยุทธ มีศิษย์แกนหลักของสำนักอยู่จำนวนหนึ่งราว 30 คน ทั้งหมดอยู่ในชั้นลมปราณสีคราม มีตั้งแต่ขั้นกลางจนถึงขั้นปลาย โดยพวกที่อยู่ในขั้นปลายนั้นส่วนมากจะอายุเกิน 20 ไปแล้ว และมีอาจารย์ผู้ฝึกสอนมีพลังอยู่ในชั้นลมปราณสีน้ำเงินขั้นที่ 8
เล้งซานประสานมือ โค้งตัวเล็กน้อยให้ผู้คนเหล่านั้นตามมารยาท อาจารย์ผู้ฝึกสอนยิ้มตอบรับ และพยักหน้าให้ ผิดกับเหล่าศิษย์แกนหลักทั้ง 30 คน กลับเหลือบตามองเล้งซานเพียงเล็กน้อย และหันไปอย่างไม่ใส่ใจ บางคนยังแสดงสายตาดูถูกเสียด้วยซ้ำ
เนื่องจากเล้งซานต้องการปกปิดพลังยุทธ จึงใช้การควบคุมลมปราณระดับสูง กระจายพลังลมปราณออกมาเพียงขั้นต้นของลมปราณสีครามเท่านั้น เพื่อมิให้ถูกสงสัยจากความโดดเด่นของระดับชั้นพลัง และเมื่อเห็นพฤติกรรมเหล่านั้นของศิษย์แกนหลัก มุมปากของเล้งซานเชิดขึ้นเล็กน้อย
'เย่อหยิ่ง จองหอง สมเป็นกลุ่มอัจฉริยะของพรรคใหญ่ ไว้มีโอกาสเมื่อไหร่บิดาจะจัดให้สาสมใจเลยทีเดียว หึหึ'
อี้หลงหวัง เห็นการกระทำเหล่านี้จนนับเป็นเรื่องปรกติไปเสียแล้ว นางจึงไม่ได้กล่าวสิ่งใด แต่ใช้การรีบเดินหลบเลี่ยงออกมายังมุมล่างสุดของลานฝึกยุทธ เพื่อป้องกันการกระทบกระทั่งกันระหว่างเล้งซานและศิษย์แกนหลัก ในจุดนั้นมีตำรายุทธของพรรคกองอยู่จำนวนหนึ่ง
"อย่าได้สนใจศิษย์พวกนั้น ขอให้เจ้าตั้งใจศึกษาก็พอ" อี้หลงหวังกล่าวขึ้นขณะพาเล้งซานมานั่งยังเก้าอี้ม้าหินอ่อน
"ทำไมสายตาของพวกนั้นถึงได้แปลกๆ ราวกับว่าข้ากระทำการอะไรผิด??"
"ก็เมื่อเช้าก่อนที่เจ้าจะมาที่นี่ ท่านพ่อได้ประกาศตัวผู้ที่จะเป็นตัวแทนของพรรคเข้าร่วมประลองรุ่นเยาว์ และได้ประกาศอีกด้วยว่าตั้งแต่วันนี้จะรับเจ้าเข้าเป็นศิษย์แกนหลัก และได้เป็นตัวแทนประลองในทันที"
เล้งซานพยักหน้าเล็กน้อย
"ข้าเข้าใจแล้ว พวกศิษย์แกนหลักนั้นคิดว่าข้าได้เป็นตัวแทนเพราะเส้นสายสินะ อีกทั้งข้ายังไม่เคยผ่านการเป็นศิษย์สายนอก และศิษย์สายใน กลับถูกดันขึ้นเป็นศิษย์แกนหลักในวันแรกที่เข้าพรรค ทำให้เกิดความไม่พอใจในตัวข้า"
"ฉลาดนี่ ทุกอย่างก็เป็นอย่างที่เจ้ากล่าวมานั่นแหละ เพราะฉะนั้นพยายามอย่าออกห่างจากข้า ไม่งั้นเจ้าตัวคนเดียวโดนพวกมันรุมกระทืบแน่!!"
อี้หลงหวังกล่าวพร้อมแสยะยิ้ม
"ฮ่าๆ กลัวแต่ว่าข้าคนเดียวจะรุม กระทืบพวกมันทุกคนเสียมากกว่าหน่ะสิ!!"
เล้งซานพูดขึ้นด้วยเสียงที่ดัง อย่างจงใจ สีหน้าของอี้หลงหวังซีดลงทันที พลางรีบเอามือมาปิดปากเล้งซาน อย่างรวดเร็ว และหันหางตาไปมองทางกลุ่มศิษย์แกนหลัก
"เจ้านี่มัน!!" นางสบถขึ้นอย่างเอือมระอา
คำพูดเมื่อครู่ของเล้งซาน มีหรือที่กลุ่มศิษย์แกนหลักที่ฝึกวิชาลมปราณและสัมผัสที่ดีเยี่ยมจะไม่ได้ยิน สายตาทั้งสามสิบคู่ พุ่งตรงมาโดยมีเล้งซานเป็นเป้า หากสายตาเหล่านี้เป็นดั่งลูกธนูแล้วล่ะก็ ร่างของเล้งซานคงจะพรุนเป็นเม่นไปแล้ว เล้งซานแสยะยิ้มและไม่ได้หลบสายตาเหล่านั้นแม้แต่คู่เดียว
เนื่องจากยังอยู่ในช่วงการสอนของอาจารย์ พวกมันจึงทำเพียงกำมือแน่นและหันกลับไปเรียนตามเดิม แต่ภายในใจทุกคนนั้นต่างลุกโชนไปด้วยโทสะ
เพื่อไม่ให้บานปลาย อี้หลงหวังรีบยัดตำรา ไปไว้ในมือเล้งซานทันที
"ศึกษามันซะ เจ้าจะไม่มีเวลายั่วยุผู้อื่น!!" นางถลึงตาใส่เล้งซานทันที
เล้งซานยิ้มกรุ้มกริ่มเล็กน้อย แต่ก็ยินยอมเปิดตำราอ่านอย่างเชื่อฟัง เล้งซานอ่านหน้าแรกก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ถึง สิบลมหายใจก็เปิดหน้าที่สอง หน้าที่สาม หน้าที่สี่ และหยิบตำราเล่มต่อไปอ่านต่อ....
"อะไรเนี่ย!! วิชาพวกนี้มัน" เล้งซานทำหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย
"อะไรของเจ้าอีก นี่เป็นวิชาท่าร่างของพรรคเรา วิชาท่าร่างแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ส่วนวิชากระบี่ลมปราณ แบ่งออกเป็น 5 ระดับ และวิชากระบี่จริงอีก 5 ระดับ ทั้งหมดคือวิชาของพรรคเรา
ใน 9 วันนี้ถ้าเจ้าใช้วิชาท่าร่าง และวิชากระบี่ลมปราณได้ อย่างละ 1 ระดับ ก็เก่งแล้ว ส่วนกระบี่จริงนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องฝึกเพราะการประลองนั้นมีการห้ามใช้อาวุธ"
อี้หลงหวังยืดอกเล็กน้อย ด้วยความภูมิในที่มันสำเร็จระดับวิชาในพรรคทั้งหมดแล้ว ถึงแม้ระดับสูงมันยังไม่ชำนาญก็ตาม
เล้งซานวางตำราลงจากนั้นก็ถอนหายใจเล็กน้อย และมองมาทางอี้หลงหวัง
"แม่นางอี้หลง..."
"อย่าเรียกข้าว่าแม่นาง หากมิได้อยู่กันแค่ 2 คน" นางถลึงตาใส่เล้งซานอีกครั้ง
"เอ่อ...คุณชายอี้หลง หากข้ากล่าวอะไรบางอย่าง หวังว่าท่านจะไม่โกรธข้า"
"มีอะไร"
"วิชาทั้งหมดของพรรคท่านยังไม่สมบูรณ์"
อี้หลงหวังเบิกตากว้างทันที เล้งซานเห็นเช่นนั้นจึงกล่าวต่อ
"วิชาของพรรคท่านนั้นสืบทอดมาจากพรรคมังกรเหินในอดีต แต่ทว่า...วิชาของพรรคท่านมีพลังไม่ถึง สามในสิบส่วนของพรรคมังกรเหินเสียด้วยซ้ำไป"
"จะ..เจ้าจะบอกว่าวิชาที่สืบทอดมานับพันปีของพรรคข้า ยังมีข้อบกพร่องอย่างนั้นหรือ!! ไม่จริงข้าไม่เชื่อ หากเป็นเช่นนั้นพรรคข้าจะเป็นพรรคใหญ่ในเมืองนี้ได้เยี่ยงไร"
น้ำเสียงของนาง บ่งบอกถึงความเชื่อมั่นใจวิชาของพรรคตน
เล้งซานส่ายหน้าเล็กน้อย มันทราบดีอยู่แล้วว่าการพูดเช่นนี้ ไม่อาจสั่นคลอนความเชื่อมั่นของผู้สืบทอดพรรคได้อย่างแน่นอน มันจึงหยิบตำราขึ้นมา หนึ่งเล่ม ตำรานี้คือ วิชากระบี่ลมปราณระดับที่ 1 ดัชนีกระบี่ เล้งซานเปิดอ่านอยู่ราว ๆ 30 ลมหายใจ ก็วางตำราลง
"แม่...เอ๊ย คุณชายอี้หลง ท่านลองใช้วิชาดัชนีกระบี่ ไปที่หินด้านนู้นให้ข้าดูหน่อย" เล้งซานชี้ไปที่หินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง ซึ่งใหญ่ราว ๆ 8 คนโอบ
อี้หลงหวังลังเลเล็กน้อย แต่ก็ทำตามที่เล้งซานบอก นางโคจรวิชาดัชนีไว้ที่ปลายนิ้วชี้ และสะบัดข้อมือยิงออกไปทันที
ปึ้ง!
ดัชนีพุ่งชนก้อนหินอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงดัง แต่ไม่อาจทะลุหินไปได้ รอยนั้นลึกราว ๆ 1 ฟุต จากจุดที่ปะทะกับก้อนหินเกิดรอยร้าวขนาด 1 ฝ่ามืออยู่โดยรอบ
เล้งซานหรี่ตาเล็กน้อย จากนั้นก็โคจรวิชาดัชนีกระบี่จากตำราที่อ่านมาเมื่อครู่ สะบัดข้อมือยิงไปที่หินก้อนนั้นเช่นกัน
ฟุบ!!
ดัชนีพุ่งชนก้อนหินใกล้เคียงกับของอี้หลงหวัง แต่แทบไม่ได้ยินเสียงการปะทะใด ๆ อีกทั้งพลังดัชนีนั้นยัง ทะลุหินก้อนนั้น ไปโดนต้นไม้ที่อยู่ด้านหลังจนหักโค่นลงมา
ตึงงงง
อี้หลงหวังเบิกตากว้างพลางลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว ความรุนแรงของดัชนีนั้นไม่อาจเทียบกันได้แม้แต่น้อย!! ขนาดรอยบริเวณที่ปะทะก้อนหินของเล้งซานยังเรียบเนียนไร้รอยร้าวใด ๆ มีเพียงรูกลมๆขนาดเล็กที่เจาะทะลุหินราวกับเต้าหู้นิ่ม ๆ
"จะ...เจ้า ใช้วิชาอะไรกัน!!" เสียงของอี้หลงหวังสั่นเครือด้วยความตื่นเต้น
"ก็วิชาดัชนีกระบี่ที่อ่านไปเมื่อครู่นี้ไง?!" กล่าวจบ เล้งซาน ก็โยนตำรามาในมือของ อี้หลงหวัง นางรับไว้และเบิกตากว้าง
"เจ้าจะบอกว่า เจ้าสามารถใช้มันได้โดยการอ่านเพียงรอบเดียวเนี่ยนะ!! และยังอานุภาพนั่นอีก!!"
"อืม...ข้าอ่านรอบเดียว แต่ข้าบอกแล้วว่ามันยังไม่สมบูรณ์ข้าจึงปรับปรุงมันเล็กน้อยและก็เป็นอย่างที่เห็น"
เล้งซานแสยะยิ้มกว้าง จากนั้นก็หรี่ตาเล็กน้อย และใช้หางตาเหลือบมองไปในทิศทางหนึ่ง เนื่องจากมันสัมผัสได้ถึงการคุกคามบางอย่าง
ทันใดนั้นเอง กลุ่มศิษย์แกนหลักก็พากันเดินเข้ามาทางที่เล้งซานและอี้หลงหวัง นั่งอยู่ เนื่องจากอาจารย์ผู้สอน ได้ออกไปจากลานฝึกยุทธแล้ว
"ว่าไง ศิษย์น้องหม่าเฉิน เจ้าพึ่งมาวันแรกไม่คิดจะเข้ามาทักทายศิษย์พี่บ้างหรือ??" ชายคนหนึ่งในกลุ่มศิษย์แกนหลักกล่าวขึ้น....
......................................................................