ตอนที่ 45 หลบหนี
เหลียวเหยียนรีบกล่าวถามพี่ใหญ่ของมัน “ถ้าสิ่งที่เจ้าเด็กนี้พูดเป็นเรื่องจริง พวกเราควรจะทำอย่างไรต่อ
ถ้าเราปกป้องสิ่งของไร้ค่าเช่นนี้ด้วยชีวิตจะไม่เป็นการเสียเกีรยติของพวกเราและยังผิดต่อดวงวิญญาณของพี่น้องที่สละชีวิตไป?”
“เจ้าหมายความว่า?” หลานเหลียงกล่าวด้วยแววตาที่ตึงเครียด
“ข้าว่าเราควรมอบสมบัติให้กลุ่มนักฆ่าพวกนั้นไปซะ” เหลียวเหยียนรีบแสดงความเห็น
ในขณะที่พวกมันทั้งสามกำลังหารือเรื่องสำคัญอยู่นั้น จู่ๆบังเกิดเสียงแหบแห้งดังเข้าปะทะโสดสัมผัสของพวกมัน
“ในที่สุดข้าก็หาหนูอย่างพวกเจ้าพบ”สิ้นเสียง เงาสีดำนับสิบปรากฎตัวล้อมรอบกลุ่มของหนิงเทียนไว้
เมื่อเห็นกลุ่มชายชุดดำที่ล้อมพวกมันไว้ ความรู้สึกหน้ามืดที่เกิดจากการเสียเลือดมากของหลานเหลียงก็แสดงอาการออกมาทันที
ความสิ้นหวังถึงขีดสุดประดังเข้ามาภายในจิตใจ การที่ตกอยู่ในวงล้อมของผู้ฝึกตนแห่งปราชญ์นับสิบทำให้หลานเหลียงไม่เหลือแม้แต่กำลังใจที่จะต่อสู้แล้ว
ชายชุดดำนับสิบคนแย้มยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม หัวหน้ากลุ่มของคนเหล่านี้ไม่ใช่ใครอื่น มันคือลั่วผอ หลังจากที่พวกมันล้อมจับหนูทั้งสี่ตัวนี้ได้แล้ว
มันตะโกนเสียงกึกก้องอีกครา “จะยอมส่งกล่องทมิฬมาดีๆหรือจะให้ข้าค้นจากร่างที่ไร้วิญญาณของพวกเจ้า” น้ำเสียงที่เหมือนกับประกาศิตที่สามารถตัดสินชีวิตกลุ่มของหลานเหลียงได้ดังขึ้นก้อกอยู่ภายในใจ
“ท่าน...ท่านลั่วผอผู้สูงส่ง ข้า...ข้าจะมอบกล่องทมิฬให้ท่าน โปรดไว้ชีวิตน้อยๆของพวกเราด้วย”เป็นเสียงของเหลียวเหยียนที่ดังออกมา หน้าที่เจราอย่างไร้เกียรติเช่นนี้ มันนั้นถนัดยิ่งนัก
“ฮ่าๆฮาฮาๆ”เสียงหัวเราะดังมาจากด้านหลังปรากฏชายในชุดดำอีกคน นามของมันคือลั่วหลี่ รองหัวหน้าของกลุ่มนักฆ่านี้
มันกล่าวด้วยความดุดัน“พวกเจ้าทำให้ข้าเสียเวลาอยู่หลายชั่วยาม ยังมีหน้ามาร้องขอชีวิตน้อยๆอีกหรือไง”
ได้ยินเช่นนั้นหัวใจของทั้งสามตกลงไปอยู่เบื้องร่าง หนทางรอดของพวกมันช่างมืดมิด
ลั่วหลี่ย่างก้าวอย่างช้าๆไปหยุดอยู่เบื้องหน้าของหลานเหลียง “เจ้าเป็นหนูที่คาบสมบัติมา”กล่าวจบมันใช้สองมือกำไปยังลำคอที่เปื้อนเลือดของหลานเหลียง “ยังไม่รีบส่งกล่องทมิฬมาอีก”
เวลานี้จิตใจของหลานเหลียงนั้นตกอยู่ในภวังค์ของความกลัว มันได้แต่ทำตามอย่างว่าง่ายสองมือของมันหยิบกล่องจงหลีมอบให้แก่ลั่วหลี่โดยไร้ซึ่งการขัดขืนใดๆ
“ดีดีๆมากนับว่าพวกเจ้ายังมีความฉลาดอยู่บ้าง” ลั่วหลี่หันไปทางพี่ของมัน “ฆ่าพวกมันเลยดีไหมพี่”
ลั่วผอได้ยินเช่นนั้น มันจึงคิดอะไรบางอย่างออกมา“เดียวก่อน ข้าจะไว้ชีวิตน้อยๆของพวกมัน”ลั่วผอกล่าวตอบน้องมัน
พร้อมทั้งเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ากลุ่มของหลานเหลียงและกล่าวกับทั้งสี่คน “พวกเจ้าคลานรอดใต้หว่างขาของพวกข้าและหอนดังเช่นสุนัข ข้าจะปล่อยมันผู้นั้นไป”
ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของทั้งสามเหมือนเช่นคนที่กลืนกินอุจาระเข้าไป พวกมันใช้เวลาตัดสินใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เหลียวเหยียนจะกล่าวออกมาแก่พวกมันทั้งสามด้วยเสียวแผวเบา
“พี่ใหญ่หลาน แก้แค้นสิบปีก็ยังไม่สาย พวกเราต้องรอดชีวิตไปให้ได้”
เมื่อกล่าวจบ เหลียวเหยียนคุกเข่าลงเบื้องหน้าพวกมัน มันค่อยคลานรอดใต้หว่างขาของชายชุดดำทีละคน
ในระหว่างผ่านหนึ่งคนมันโดนทั้งตบ ทั้งถ่มน้ำลายใส่ บ้างก็โดนเตะตามหลังอย่างเจ็บปวด เมื่อมันคลานผ่านครบ10คนแล้ว
มันมาหยุดอยู่ตรงหน้าลั่วผอ พร้อมทั้งเห่าหอนดั่งสุนัข หู้วววว.... เป็นเสียงที่ทำให้คนที่ได้ยินนั้นบังเกิดความเวทนาเป็นอย่างยิ่ง
หนิงเทียนมองไปยังท่าทีของเหลียวเหยียนทำให้มันอดยิ้มออกไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม หนิงเทียนนั้นไม่ได้เกลียดคนอย่างมันสักเท่าไร
ถึงมันจะเป็นคนจิตใจคับแค้นแต่มันนับว่าเป็นคนที่รู้ถึงสถานการณ์ได้ดีคนหนึ่ง มีคำกล่าวที่ว่า ลูกผู้ชายต้องยืดได้และหดได้เหมือนเช่นวีรบุรุษ ‘โกวเจี้ยน’
*โกวเจี้ยน เยว่อ๋องโกวเจี้ยนผู้ทำลายรัฐอู๋
หลานเหลียงนั้นจิตใจเหม่อลอย มันคุกเข่าลงและเริ่มคลานดั่งคนไร้สติ เวลานี้เกียรติยศของหัวหน้าคุ้มกันหลาน ไม่หลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย เป็นสิ่งที่น่าอดสูยิงนัก
ในขณะคนที่สองได้ผ่านไป กลุ่มคนชุดดำยังคงหัวเราะอย่างสนุกสนาน พวกมันมีความสุขกับการได้ใช้ฝ่าเท้าเหยียบย้ำลงไปบนศีรษะของผู้ที่หมอบคลานอย่างสนุกสนาน
หู้ววววว...เสียงหอนของหลานเหลียงดังขึ้นท่ามกลางเสียงหัวเราะ
หนิงเทียนมองดูหลานเหลียง มันรู้สึกว่าประสาทสัมผัสในการประเมินคนของมันทื่อลง ที่แท้พี่ใหญ่หลานที่ใครๆต่างยกย่อง เป็นเพียงพวกท่าดีทีเหลวเท่านั้น
เมื่อมันต้องเผชิญกับความตายกลับไร้ซึ่งความสามารถที่จะครองสติอยู่ได้
เวลานี้สายตานับยี่สิบคู่ของกลุ่มชายชุดดำ จับจ้องมายังร่างของหลี่เฟิง ราวกับพวกมันกำลังรอว่า หลี่เฟิงจะคลานท่าไหนให้พวกมันดู
เวลานี้ใบหน้าของหลี่เฟิงซีดขาวมันหันมากระซิบอย่างแผ่วเบากับหนิงเทียน
“น้องชายหนิงเจ้ารีบหาโอกาสหนีไป”สิ้นเสียงของมันหลี่เฟิงมันสลัดความหวาดกลัวทั้งหมดทิ้งไปและเดินออกไปยังเบื้องหน้าของลั่วผอด้วยเสียงหน้าเรียบเฉย
“ข้า หลี่เฟิง เกิดเป็นชาย ศีรษะของข้ามีไว้คำนับเพียงบิดามารดาและอาจารย์เท่านั้น”หลี่เฟิงกล่าวออกด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวไม่เกรงกลัวใดๆ
ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าอันอัปลักษณ์ของลั่วผอบิดเบี้ยวทันที มันได้ฉายาว่า หยิ่งผยองไม่กลัวตายจะต้องมีแต่มันเท่านั้นที่ไม่กลัวความตาย
“สารเลวไม่กลัวตายใช่หรือไม่ ข้าจะไม่ให้เจ้าตาย ข้าจะให้เจ้าลิ้มรสความหวาดกลัวและรู้สึกผิดที่ต่อต้านข้า”
สิ้นคำกล่าวมันตะโกนเสียงดัง “ฆ่าพวกมันทั้งสองตัวทิ้ง ข้าจะให้ไอ้เด็กนี้รู้ว่า การตัดสินใจของมัน ทำให้พี่น้องที่ยอมทิ้งเกียรติเห่าหอนเช่นสุนัขต้องตายฟรี”
‘รับคำสั่ง’ ดาบของชายชุดดำง้างขึ้นสูง เวลานี้สีหน้าของเหลียวเหยียนหวาดกลัวจนถึงขีดสุด ต่างจากสีหน้าของหลานเหลียงยังคงเหม่อลอยคล้ายคนเสียสติ
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เฟิงทั้งโกรธและรู้สึกผิด มันนั้นเป็นเพียงองครักษ์ขั้นกลางแต่กลับพุ่งตัวไม่สนหน้าอินหน้าพรมใดๆ เข้าปะทะกับชายชุดดำที่กำลังลงดาบใส่หัวหน้าของมัน
ทันใดที่ดาบของผู้ฝึกตนแห่งปราชญ์กำลังเข้าปะทะกับท่อนแขนของผู้ฝึกตนในแดนองครักษ์อย่างหลี่เฟิง
จู่ๆบังเกิดเรื่องแปลกประหลาดขึ้นมา คมดาบของชายชุดดำไม่สามารถตัดผ่านท่อนแขนของหลี่เฟิงไปได้ มันทำได้เพียงส่งร่างของหลี่เฟิงกระเด็นออกไปเท่านั้น
ชายชุดดำมองไปที่ดาบของมันด้วยสีหน้าตกตะลึง เวลานี้ดาบด้านคมของมันถูกปกคลุมไปด้วยชั้นน้ำแข็งบางๆ ส่งผลให้มันกลายเป็นดาบทื่อไร้ซึ่งคม
“ผู้ใด!! มันเป็นใครบังอาจสอดมือเข้ายุ่ง” มันตะโกนออกอย่างเดือดดาล
ทุกสายตาจับจ้องไปยัง เด็กหนุ่มแดนมนุษย์คนเดียวที่เหลืออยู่อย่างหนิงเทียน
ลั่วผอคำรามออกอย่างน่ากลัว “ในที่สุดก็ปรากฎตัว ข้าคิดแต่แรกแล้วว่าเจ้ามันแปลกๆ จะมีแดนมนุษย์คนใดหลบหนีการไล่ล่าของพวกเราได้นานเพียงนี้”
ลั่วหลี่ถามออก “พี่ใหญ่มันทำได้อย่างไร เห็นชัดๆว่ามันเป็นเพียงแดนมนุษย์เท่านั้น”
“ไม่ต้องสนใจ เพียงแค่ฆ่าและชำแระร่างของมันออกมาดูพวกเราจะได้รู้กันเอง” คำตอบของลั่วผอนั้นแม้แต่พวกเดียวกันยังอดไม่ได้ที่จะตัวเย็น
หนิงเทียนนั้นหาได้ใส่ใจกับคำกล่าวของลั่วผอไม่ มันเพียงแต่กล่าวออกด้วยเสียงดังแก่หลี่เฟิง
“สิ่งที่จะเกิดต่อไปนี้เป็นพียงเรื่องบังเอิญ เพราะฉะนั้นจงอย่าได้คิดว่าจะมีอีกเป็นครั้งที่2”
ได้ยินคำกล่าวที่เต็มไปด้วยความยโสของหนิงเทียนแล้ว ชายชุดดำต่างมองหน้ากันไปมาอย่างงุนงงไม่นานนักพวกมันทั้งสิบเปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“ฮ่าฮ่าฮาฮาๆๆๆ เจ้าได้ยินไอ้เด็กนี้พูดหรือไม่”ลั่วหลี่กล่าวออกกับพวกของมันอย่างดูถูก
ถึงเด็กนี้จะมีความลับอยู่บ้างแต่การที่จะต่อสู้กับพวกมันทั้งหมดนี้ เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
ชายชุดดำคนหนึ่งก้าวเดินออกมาทางหนิงเทียน “ให้ข้าสั่งสอนเจ้าเด็กนี้เอง”
ตัวมันนั้นมีพลังอยู่ในระดับปราชญ์ขั้นที่6 การลดตัวลงมาสั่งสอนเด็กถือว่าเป็นเรื่องที่เสียเกียรติไปบ้าง แต่อย่างไรกับเด็กที่หยิ่งผยองเช่นนี้ต้องตายสถานเดียว
“เฮ้ๆ จูหยาน เจ้าไม่อายบ้างหรอที่เล่นกับเด็ก”เสียงของกลุ่มคนชุดดำตะโกนออกมาหยอกล้อเพื่อนของมัน
จู่ๆ ร่างของหนิงเทียนสลายหายไปดุจเมฆหมอกที่พุ่งผ่าน ความเย็นพุ่งผ่านร่างของมัน
“เด็กนี้มีทักษะท่าร่างสินะ” กล่าวจบมันมองไปยังพี่น้องของมันที่ดวงตาเปิดกว้าง ปากของพวกมันอ้าออกเหมือว่าจะกล่าวคำใดออกมา
คิ้วของลั่วผอขมวดผูกกันทันที ดวงตาของมันหรี่แคบลงทันใด
“จู...จูหยาน ที่อกเจ้า” เสียงของใครบางคนในกลุ่มของพวกมันดังขึ้นมา
ชายชุดดำที่ชื่อจูหยานก้มมองไปยังหน้าอกของมัน รูขนาดเท่ากำปั้นปรากฎที่หน้าอกข้างซ้าย หัวใจของมันหายไป ทันทีที่จิตใต้สำนึกตอบสนองแก่ร่างกาย มันล้มลงกลายเป็นร่างไร้วิญญาณทันที
โปะ!!! หนิงเทียนบีบหัวใจที่ชุ่มไปด้วยเลือดในมือของมันทันที
มันกล่าวต่ออย่างไม่สนใจในสิ่งที่มันพึ่งทำไปนัก “ชีวิตของใคร มันผู้นั้นที่เป็นเจ้าของสมควรดูแลด้วยตนเอง
พวกเจ้าจงจำคำพูดของข้าให้ดี นับจากนี้ขึ้นอยู่กับตัวพวกเจ้าเองแล้วว่าจะรอดจากสัตว์อสูรในที่แห่งนี้ไปได้หรือไม่”
ได้ยินเช่นนั้นเหลียวเหยียนรู้สึกเหมือนฟ้าผ่าลงมากลางศีรษะ เพียงแค่หวนคิดเรื่องที่มันเคยดูถูกหนิงเทียนพลันทำให้ขนในกายของมันรุกสู่
มันรีบพยุงร่างของหลานเหลียงขึ้นมาพร้อมรีบพุ่งตัวออกไปโดยเร็ว ก่อนกล่าวออกอย่างรวดเร็ว
“หลี่เฟิงถ้าเจ้าจะตายอยู่ที่นี้ ข้าก็ยินดี”กล่าวจบมันพุ่งร่างออกไปอย่างรวดเร็ว
หนิงเทียนเห็นเช่นนั้นจึงกล่าวออก “พี่ชายหลี่แล้วพบกันที่ฉางผิง”
หลี่เฟิงนั้นรู้ตัวดีว่ามันไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย มันทำได้เพียงกัดฟันแน่นพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า
“รักษาตัวด้วยน้องชายหนิง พวกเราต้องได้พบกันที่ฉางผิง” กล่าวจบมันทะยานร่างหายไปทันที
“สารเลวคิดจะไปก็ไปอย่างนั้นหรือ” ลั่วผอคำรามด้วยความโกรธมันฟาดโซ่ดาราแดนเหนือ อาวุธลมปราณระดับปราชญ์ของมันอย่างสุดกำลัง
หนิงเทียนเห็นเช่นนั้นพุ่งร่างออกด้วยเก้าวิญญาณท่องนภาขวางทางโซ่ดาราแดนเหนือของลั่วผอทันที
ปัง!!!! ด้วยพลังของครึ่งก้าวสู่แดนวีรชน ส่งร่างของหนิงเทียนลอยออกไปถึงเจ็ดก้าว เวลานี้รอยเลือดจางๆปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของมัน
“โซ่ของเจ้ายังเบากว่าลิงที่บ้านข้าเลย” หนิงเทียนกล่าวออก พร้อมเช็ดเลือดที่มุมปาก คำกล่าวของมันนั้นไม่ได้เป็นเรื่องโกหกอันใด หมัดของพญาวานรภูผานั้นแรงกว่านี้มากนัก
ใบหน้าของลั่วผอดำมืดคล้ายปีศาจมันไม่สนใจอันใดต่อไป มันส่งสัญญาณให้ชายชุดดำด้านหลังของมันเข้าจู่โจมทันที “ฆ่ามัน”
เงาร่างทั้งเก้าทะยานใส่หนิงเทียนทันที ในหมู่พวกมันทั้งเก้ามีเพียงลัวหลี่ที่เป็นปราชญ์ขั้นสูง นอกนั้นอีกแปดคนเป็นปราชญ์ขั้นกลางทั้งหมด
ชายชุดดำที่มีแผลเป็นกลางใบหน้ากุมไปยังกริชสีแดงในมือ มันพุ่งเข้าโจมตีหนิงเทียนจากด้านหลัง
หนิงเทียนพลิกตัวกลับพร้อมทั้งปล่อยลมปราณสีดำพุ่งเข้าปะทะกริชสีแดง ส่งผลให้ชายชุดดำกระเด็นถอยออกไปไกล
เพียงชั่วครู่ร่างของชายที่มีแผลเป็นกลางใบหน้าสั่นเทิ่ม ก่อนที่ร่างของมันจะถูกปราณสีดำสูบกินเลือดจนแห้งเหี่ยว
พวกมันที่เหลือมองไปยังร่างของหนิงเทียนที่เวลานี้ถูกปราณสีดำทมิฬปกคลุมทั่วร่างราวกับว่ามันเป็นฑูตมรณะอย่างแท้จริง
แต่ถึงอย่างไรพวกมันนั้นก็เป็นนักฆ่ามืออาชีพ ไม่มีเสียเวลากับการตายของเพื่อนของมันแม้แต่น้อย
พวกมันนั้นรู้ดีสิ่งที่จะปลอบโยนความตายของสหายมันได้ มีแต่ความตายของศัตรูเท่านั้น มันเริ่มโจมตีกันอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง ลั่วผอตวัดมือไปยังร่างของหนิงเทียนอย่างดุร้าย
ขณะเดียวกันหนิงเทียน หลบโซ่ดาราแดนเหนือที่พุ่งเข้ามาใส่อย่างฉิวเฉียด
หนิงเทียนบิดร่างอยู่กลางอากาศ เวลาเดียวกันมันส่งเท้าเตะเข้าไปยังลำตัวของชายชุดดำที่พุ่งเข้ามาใส่อย่างจัง
ปัง!!!!ร่างไร้วิญญาณของชายชุดดำกระเด็นไปกระแทกหน้าผาเสียงดัง
ทันใดนั้นค้อนสีแดง ฟาดใส่กลางหลังของหนิงเทียน มันไม่สามารถหลบศาตราวุธทั้งหลายพร้อมกันได้ หนิงเทียนจึงใช้ออกด้วยกายาเทพอสูรเพื่อลดทอนความเสียหายที่จะเกิดขึ้น
ขณะที่มันกระเด็นไปข้างหน้าด้วยแรงฟาดของค้อนสีแดงนั้น ประกายแสงสีขาว สว่างจ้านับสิบสาย สาดลงไปยังร่างของหนิงเทียน มันเป็นลัวหลี่ที่ยิงคันศรดาราแดนใต้อาวุธลมปราณแดนปราชญ์อีกชิ้นใส่