ตอนที่ 161+162 การเจรจาต่อรอง
ตอนที่ 161 การเจรจาต่อรอง
เมื่อเธอก้าวเท้าเข้าไปในห้องพัก เธอได้ยินเสียงเวินเสวี่ยฮุ่ยบ่นเกี่ยวกับใครสักคนที่มาบอกกับเธอว่าพ่อของเธอเรียกหา เธอบ่นว่าจริง ๆ แล้วพ่อของเธอไม่ได้เรียกหาเธอสักหน่อย เสียเวลาต้องเดินไปเปล่า ๆ แต่การเดินทางของเธอก็ไม่สูญเปล่าเสียทั้งหมด เพราะในที่สุด พ่อของเธอก็สัญญาว่าจะซื้อโทรศัพท์มือถือให้กับเธอ หลังจากที่เธอรบเร้าของมาระยะหนึ่ง
..
ที่เมืองจินโด
โจวเหวยฉีกำลังไตร่ตรองว่าเขาควรจะบอกลู่ชิงสี เกี่ยวกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นหรือไม่ เหตุการณ์นั้นสำคัญอะไร แต่หากเขาพูดว่าไม่สำคัญ มันก็มักจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจริงจังเสียทุกครั้งไป
โจวเหวยฉีมั่นใจว่าฉีเซียงจะไม่กล้ามารบกวนเจียงเหยาอีกต่อไปหลังจากที่รับสายเขา แต่ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าฉีเซียงเคยรบกวนเจียงเหยามาก่อน
เขาจะไม่รู้ได้อย่างว่าลู่ชิงสีปกป้องภรรยาของเขาอย่างไร? ย้อนกลับไปในตอนนั้น ลู่ชิงสีไม่อนุญาตให้ใครตำหนิเจียงเหยาลับหลัง เมื่อเธอไม่สนใจที่จะคุยกับเขา ตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาดีขึ้นมาก ลู่ชิงสีอาจจะปกป้องเจียงเหยาด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามี ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม
คนในเมืองจินโดจะไม่รู้ได้อย่างไรว่ายมทูตลู่ เมื่ออารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างไร? เขาสามารถทำหน้าเฉยเมยหรือทำสายตาเย็นชาได้ตลอดเวลา หากลู่ชิงสีรู้ว่าเจียงเหยาถูกฉีเซียงคุกคามแล้วล่ะก็ เขาต้องทิ้งงานในกองทัพและรีบตรงไปยังหนานเจียง เพื่อจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองแน่
หลังจากครุ่นคิด โจวเหวยฉีจึงตัดสินใจโทรไปหาพี่ใหญ่ของพวกเขา เหลียงเยวี่ยจือ เพื่อให้เขาเป็นคนช่วยหาทางจัดการเรื่องนี้ แม้ว่าจะเป็นการคุยกันผ่านโทรศัพท์ ทว่าโจวเหวยฉีก็สัมผัสได้ถึงความเยือกเย็นที่แผ่ออกมาจากตัวของพี่ใหญ่
“พี่ใหญ่ ทั้งหมดเป็นความผิดของฉันเอง ฉันเป็นคนเริ่มเรื่องนี้แล้วทำให้เกิดปัญหากับเธอ เดี๋ยวฉันจะขึ้นเครื่องบินไปที่หนานเจียงแล้วจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย อีกอย่างฉันต้องไปขอโทษเจียงเหยาด้วย” ความคิดของโจวเหวยฉีที่จะต้องไปขอโทษเจียงเหยาถึงที่นั่นดีมาก แต่เขายังคงหงุดหงิดกับความจริงที่ว่าตัวเขาตาบอด ที่ไปคบเพื่อนอย่างฉีเซียง
ปฏิบัติกิริยาแรกของเหลียงเยวี่ยจือคือต่อว่าในความเลอะเทอะของโจวเหวยฉี หลังจากฟังเรื่องที่เขาเล่าทั้งหมดแล้ว
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “อย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับชิงสี เขามักจะใช้อารมณ์ ไม่แน่อาจจะฆ่าฉีเซียงก็เป็นไปได้” เขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับการหายไปของฉีเซียง แต่ลู่ชิงสีกำลังจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งและเขาไม่อาจพลาดการรับตำแหน่งในครั้งนี้ได้ แต่ด้วยนิสัยของลู่ชิงสีแล้ว เขาคงยอมสูญเสียทุกอย่าง หากเป็นเรื่องของเจียงเหยา
ที่ผ่านมา ตอนที่เขารู้ว่าเจียงเหยาเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องร้าย เขาถึงกับทิ้งงานกองทหารไว้และรีบกลับไปหาเธอโดยไม่ลังเล แม้จะรู้อยู่แล้วว่าเธอได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ไม่ถึงขั้นใกล้จะตายเสียหน่อย หากไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือจากเหลียงเยวี่ยจือ เขาคงต้องถูกลงโทษทางวินัยหลับจากที่กลับมายังกองทัพ แต่โชคดีที่เขาเพิ่งจะถือว่าได้ลางานไว้ล่วงหน้าแล้ว
“เหวยฉี ครอบครัวของนาย กำลังจับตาดูนายอยู่นะ ถ้านายทิ้งงานแล้วไปหนานเจียงในตอนนี้ ฉันเกรงว่า ครอบครัวของนายคงได้โอกาสเล่นงานนายที่นายละเลยงาน นายก็รู้อารมณ์พ่อของนายดีนี่...” พี่ของโจวเหวยฉีเป็นคนที่ถูกโน้มน้าวใจได้ง่าย ๆ หากเอาใจเขาเสียหน่อยทุกคนต่างได้รับความไว้วางใจจากเขา พ่อของเขาโกรธอย่างมาก ตอนที่โจวเหวยฉีตัดสินใจย้ายออกมาจากครอบครัว หากเขาว่าร้ายเขาในตอนนั้น พ่อของเขาอาจจะตัดพ่อตัดลูกกับเขาไปเลยก็ได้
เมื่อเหลียงเยวี่ยจือพูดถึงเรื่องนี้ เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “พรุ่งนี้ให้ซวีเหยาไปจัดการเรื่องนี้แทนนายก็แล้วกัน ถึงแม้ตระกูลฉีจะอยู่ที่หนานเจียง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะล้มพวกเขา”
“ได้ ฉันจะทำตามที่พี่บอก ให้ฉันโทรหาเจียงเหยาและอธิบายให้เธอฟังนะ” โจวเหวยฉีถอนหายใจ เขาคิดถึงคนในครอบครัวของเขา แต่ละคนไม่ง่ายที่จะรับมือได้เลย และนึกถึงพี่น้องสี่คนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดของเขาเลย ใคร ๆ ต่างบอกว่าเลือดย่อมข้นกว่าน้ำเสมอ ทว่าในตอนนี้คนที่รบกวนจิตใจเขามากที่สุดในโลกกลับเป็นคนในครอบครัวของเขาเอง ไม่มีใครในครอบครัวโจวสามารถเทียบได้กับเพื่อนสี่คนของเขา
__
ตอนที่ 162 พิธีเปิด
พิธีเปิดสำหรับนักศึกษาใหม่จัดขึ้นที่ห้องประชุมที่ใหญ่ที่สุดในมหาวิทยาลัย
เจียงเหยาถูกเวินเสวี่ยฮุ่ยปลุกตั้งแต่เช้า ในเมื่อถูกรบกวนจากเวินเสวี่ยฮุ่ย เธอจึงลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว เธอสวมชุดผ้าไหมสีแดงสด รองเท้าส้นสูงสีดำ
“แต่งหน้าหน่อยไหม?” โจวเสี่ยวเซี่ยนำเสนอเป็นคนแต่งหน้าให้กับเธอ “ฝีมือการแต่งหน้าของฉันไม่แพ้ใครหรอกนะ!”
“แต่งเถอะน่า! จางซีชิงคงแต่งหน้าอย่างแน่นอน” หลินเฉียวอยู่มองไปที่เจียงเหยาที่ถูกคนนั้นคนนี้พูดกรอกหูให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้มาครึ่งชั่วโมงแล้ว ดวงตาของเธอเต็มได้ด้วยความชื่นชม ทว่าไม่มีแม้แต่ความอิจฉาริษยา
โดยปกติเจียงเหยาจะสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย เธอไม่ชอบเป็นที่สะดุดตาของใคร ๆ เธอทำตัวราวกับดอกแมกโนเลียที่เบ่งบานอย่างอิสระอยู่ในความเงียบ และไม่ปรารถนาที่จะดึงดูดความสนใจของผู้คน ไม่ว่าโลกภายนอกจะน่าดึงดูดหรือผู้คนมากมายจะปฏิบัติต่อเธออย่างเฉยเมยก็ตาม เธอก็ยังสงบสติอารมณ์ได้
ทว่าวันนี้ เธอสวมชุดสีแดงสดที่สะดุดตา ผิวขาวของเธอราวกับหิมะ ตรงกันข้ามกับสีแดงสดของชุดผ้าไหม รูปร่างของเธอได้สัดส่วน กระโปรงยาวถึงเข่า มองเห็นน่องยาวและร่างผอมเพรียวของเธอ ผิวพรรณของเธอกระชับ แม้แต่ผิวบนหลังของเธอก็เนียนใสและนุ่มกว่าผู้หญิงทั่ว ๆ ไป รองเท้าส้นสูงสีดำคู่นั้นยังเพิ่มออร่าให้กับเธออีกด้วย
ผมยาวประบ่าของเธอถูกจัดแต่งด้วยกิ๊บติดผมประดับเพชร โดยเวินเสวี่ยอุ่ย ทำให้เธอดูน่ารักยิ่งขึ้นเวลาเธอยิ้ม
ในวันนี้หญิงสาวราวกับดอกบัวสีแดง แม้ว่าเธอจะดูบริสุทธิ์ แต่ก็เต็มไปด้วยพลังที่มีชีวิตชีวา ราวกับเปลวไฟที่ลุกโชติช่วง ให้ผู้มองเห็นเป็นประกาย
“ไม่ต้องหรอกน่า เจียงเหยาของเราแตกต่างจากผู้หญิงอวดดีอย่างจางซีชิง” เวินเสวี่ยฮุ่ยสแกนเจียงเหยาอย่างละเอียดและพอใจกับชุดของเธอ
“เจียงเหยาเกิดมาสวยอยู่แล้ว ไม่แต่งหน้าก็สวยกว่าเป็นไหน ๆ จางซีชิงน่ะแต่งหน้าหนาเตอะ แบบนี้สิถือเป็นโอกาสดีที่เราจะให้เจียงเหยาได้สอนบทเรียนให้กับจางซีชิง และสอนให้เธอได้เห็นว่าความงามจริง ๆ มันเป็นยังไง?”
เจียงเหยามองดูตัวเองในกระจก รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน เธอเพิ่งรู้ว่าตัวเองสวยมากในชุดสีแดง ความคิดที่อยู่จะให้ลู่ชิงสีได้เห็นก็แวบเข้ามาในหัวทันที
“เวินเสวี่ยฮุ่ย ตอนที่ฉันขึ้นไปกล่าวสุนทรพจน์ เธอช่วยถ่ายรูปให้ฉันทีสิ” เจียงเหยาโค้งริมฝีปากของเธอเป็นรอยยัก “ฉันรู้ว่าเมื่อคืนเธอเอากล้องติดมาด้วย”
เวินเสวี่ยฮุ่ยหัวเราะ “ฉันจะถ่ายรูปให้เธอสองสามรูปเก็บไว้เป็นความทรงจำดีไหม? ถือว่าเป็นเกียรติมากเลยนะที่เธอได้เป็นตัวแทนนักศึกษาใหม่ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์”
เวินเสวี่ยฮุ่ยพยักหน้าและตกลงที่จะช่วยถ่ายรูปให้เธอ จากนั้นเธอก็ยิ้มให้เจียงเหยา
“ฉันได้ตกลงกับพ่อไว้แล้วเมื่อคืน เธอจะได้ขึ้นพูดเป็นคนแรก หลังจากที่เธอได้ลุกขึ้นไปบนเวที อยากจะพูดอะไรก็พูดเลย ไม่ต้องสนใจเวลาสิบห้านาทีนั่น ถ้าเธอพูดเกินไปห้านาที จางซีชิงคนที่พูดถัดจากเธอก็จะถูกตัดเวลาให้สั้นลงห้านาที ให้เธอบ้าไปเลย”
“เสวี่ยฮุ่ย เธอเป็นเพื่อนที่ดีจริง ๆ” เจียงเหยาสวมกอดเวินเสวี่ยฮุ่ยทันที
“ไม่ต้องห่วง วันนี้ฉันจะทำให้เธอเป็นบ้าไปเลย”
นับเป็นข่าวดีสำหรับเธอที่ได้เป็นฝ่ายขึ้นไปกล่าวสุนทรพจน์คนแรก นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเธอถึงได้เปรียบ ก็เธอมีลูกสาวของอธิการบดีเป็นเพื่อนนี่น่า
เนื่องจากเป็นงานพิธีเปิดของนักศึกษาใหม่ นักศึกษาจึงตื่นเต้นเป็นพิเศษ ขณะที่เจียงเหยามาถึงโถงประชุม ทั้งห้องก็เนืองแน่นไปด้วยผู้คน
ฉีซวนกำลังรอเจียงเหยาอยู่หน้าทางเข้าห้องโถง เพราะเธอเป็นตัวแทนนักศึกษาใหม่ที่ต้องขึ้นไปกล่าวสุนทรพจน์บนเวที เธอจึงถูกกำหนดให้นั่งด้านหน้าของห้องประชุม
เมื่อฉีซวนเห็นเจียงเหยา เธอถึงกับตกตะลึง ความประหลาดใจส่องประกายผ่านดวงตาของเธอ ทว่าเธอ ระงับความรู้สึกนั่นไปอย่างรวดเร็วและพูดยกย่องเธอ “วันนี้คุณดูสวยมาก!”