ตอนที่ 43 เบาะแสของดวงตามิติ(อ่านฟรี)
ตอนที่ 43 เบาะแสของดวงตามิติ
45 นาทีก่อนหน้านั้น ที่เมืองเรซี โรงแรมนักล่า
ฮอลลี่ อันนาและคอนเนอร์กำลังช่วยกันตรวจสอบเอกสารเพื่อหาเบาะแสของการลักลอบขนดวงตามิติเข้ามาที่เมืองเรซีของพวกลัทธิมืด
เอกสารเหล่านี้ได้มาโดยที่ทำการร้องขอไปทางสำนักงานของเมืองเรซีผ่านตัวแทนที่รู้เรื่องของหน่วยงานนักล่าความตาย ซึ่งพอมีการส่งเรื่องไป พวกตัวแทนก็รีบสั่งการและส่งเอกสารกลับมาโดยไม่มีการตกหล่นแม้แต่นิดเดียว
เกี่ยวข้องกับเรื่องการลักลอบขนเอาดวงตามิติเข้ามา นั้นค้นหาไม่ยาก แค่หาในเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งสิ่งที่มีโลหะอยู่ด้วย
เนื่องจากดวงตามิติจำเป็นต้องถูกกักเก็บในกล่องโลหะ เพื่อปิดผนึกมันไม่ให้เกิดการกระจายของพลังงานมิติโดยไม่คาดคิดและด้วยจำนวนที่พวกเขาคาดการณ์กันนั้นน่าจะมีมากกว่า 1,000 ชิ้น ด้วยจำนวนหลักพันชิ้นจะต้องใช้กล่องโลหะจำนวนมาก
การขนส่งที่ใช้กล่องโลหะมีอยู่หลายอย่างแต่ส่วนใหญ่นั้นเกี่ยวกับการขนส่งเหมืองแร่เป็นหลักนั้นทำให้วงการค้นหาแคบลงไปอีก
“เจอแล้ว ลองดูเอกสารพวกนี้สิ” ฮอลลี่หยิบเอกสารแผ่นหนึ่งวางต่อหน้าทั้งสองคน
“นี่คืออะไร แค่บริษัทขนถ่านหินจากเหมืองเข้ามาพักที่เมืองไม่ใช่หรือไง”
“บริษัทขนาดเล็กที่ขนส่งถ่านหินและแร่เข้ามาพักในเมืองเรซี”
“ลองดูตัวเลขเวลาที่พวกเขาวิ่งเข้าออกสิตรงจุดตรวจกำแพงเมืองสิ มันแปลก ๆ ไม่ใช่หรือยังไง รอบของพวกเขาถี่เกินไปแถมส่วนใหญ่ยังเป็นเวลากลางคืน นอกจากนั้นยังมีมากกว่า 1 คน” ฮอลลี่ชี้ให้ทุกคนดู
อันนาเงียบไปสักครู่ราวกับคิดอะไรออก ก่อนจะคว้าเอกสารบางอย่างออกมา “ถ้าพวกลัทธิมืดไม่อยากเป็นจุดสนใจเกินไปคงใช้งานพวกบริษัทขนาดเล็ก และต้องเป็นบริษัทที่ยินยอมทำด้วยตัวเอง ซึ่งพวกมันน่าจะไม่ขนเข้ามาครั้งเดียว ลองมาไล่ดูบริษัทพวกนี้กัน”
หลังจากตีวงแคบลงมา พวกเขาก็ดูจากเอกสารต่อ แต่ในตอนนั้นเองวิทยุก็ดังขึ้นมา “ฟาริสทีมของคอนราด มีใครได้ยินไหม”
“ฟาริส ฉันเอง”
“อันนาเหรอ ตอนนี้พวกเราถึงเหมืองเมฟเคียแล้ว ฝากรายงานให้ผู้จัดการเรซีด้วย”
“ไม่มีปัญหา แต่ทางคุณควรจะระวังมากขึ้นเพราะพวกมันไม่ลงมือทางนี้ดังนั้นที่นั่นน่าจะเป็นกับดัก”
“อืมผมจะระวังคุณก็ด้วย ไว้หลังจากนี้อีกหนึ่งชั่วโมงทีมคอนราดจะติดต่อกลับไปไหม”
หลังสิ้นเสียงฟาริสอันนาก็วางสาย ก่อนที่จะรีบจดเวลาที่ฟาริสติดต่อมา “ฮอลลี่เธอจะขึ้นไปรายงานผู้จัดการก็แล้วกัน”
“ตกลง”
“เอาขึ้นไปพร้อมกับเอกสารพวกนี้ก็แล้วกัน” คอนเนอร์กล่าว
“เจออะไรแล้วใช่ไหม”
“เจอแล้ว พวกนี้คือรายชื่อของบริษัทที่ขนเอากล่องเหล็กเข้ามาจำนวนมากพร้อมกับถ่านหินและแร่โลหะด้วย แต่มีเพียงสามบริษัทเท่านั้นที่น่าสงสัย”
“น่าสงสัย? ยังไง?” ทั้งสองถามออกมาพร้อมกัน
“พวกเขากำลังล้มละลายภายใน 6 และต้องการเงินเข้ามาในบริษัท แต่ผ่านไปราวสองเดือนรายงานพวกนี้กับบอกว่าปัญหาด้านการเงินของพวกเขากลับดีขึ้นจนผิดสังเกต”
“ฉันจะเอาไปให้ผู้จัดการดูเอง” ฮอลลี่รับเอกสารพวกนั้นมาก่อนจะรีบขึ้นลิฟต์ไปที่ห้องทำงานของผู้จัดการ
ส่วนทางด้านคอนเนอร์ก็กลับเข้าไปที่ห้องยุทโธปกรณ์ อันน่าจึงถามออกมา “ลุงคอนเนอร์จะไม่กลับไปพักผ่อนหรือไงคะ”
“วันนี้คงไม่ ฉันว่าจะเข้าไปทำความสะอาดเจ้านั่นสักหน่อย เพราะรู้สึกว่าสถานการณ์ที่สงบตอนนี้เป็นเพียงความเงียบก่อนพายุจะมา บางทีอาจจะได้ใช้มัน”
“อืม ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องเตรียมพร้อมด้วย”
คอนเนอร์พยักหน้า ก่อนที่ทั้งสองจะช่วยกันคนเอากล่องไม้ขนาดใหญ่ออกมา
...
10 นาทีต่อมาหลังจากฮอลลี่ขึ้นไปห้องผู้จัดการ ทีมไดร่าพร้อมกับของทีมเบรนเดอร์ก็ออกเดินทางจากโรงแรมนักล่าไปยังตามที่อยู่ภายในเอกสารของทั้งสามบริษัทที่อยู่ในรายชื่อ
“หัวหน้าเราจะบอกเรื่องนี้กับเรย์หรือเปล่า” เซลีนถือเอกสารในมือ ในนั้นมีชื่อหนึ่งเขียนไว้อยู่ มาคัส เรนเดล ผู้ต้องสงสัยในการลักลอบขนดวงตามิติให้กับลัทธิมืด
“ยังก่อน ตอนนี้เราต้องดูให้แน่ใจก่อนว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่” ไดร่าตอบไปแบบเงียบ ๆ
อัลลิดาที่ขับรถอยู่ก็กล่าวแทรกขึ้นมา “หัวหน้าคิดว่าเรย์จะเกี่ยวข้องกับลัทธิมืดด้วยหรือเปล่า”
ไดร่าส่ายหัวเบา ๆ อธิบายให้ทั้งสองคนฟัง “ไม่ แม้พ่อของเขา มาคัส เรนเดลจะลักลอบขนเอาดวงตามิติเข้ามาให้กับพวกลัทธิมืด แต่ก็ใช่ว่าพวกลัทธิมืดจะบอกรายละเอียดสิ่งที่พวกเขาลักลอบขนเข้ามา เพราะมันเสี่ยงเกินไป ดังนั้นมาคัสก็คงจะไม่รู้เช่นกันว่าสิ่งที่ขนมาคืออะไร”
“ถ้าอย่างนั้นอุบัติเหตุที่เกิดเรื่องรอยแยกที่เปิดถึงสองครั้งที่บ้านของเรย์จะเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยหรือไม่” เซลีนพูดออกมาอย่างสงสัย
“น่าจะใช่ เดาว่ามาคัสคงไม่รู้ว่ามันคืออะไรจึงแอบขโมยดวงตามิติไปบางส่วนและด้วยความบังเอิญมันจึงเปิดรอยแยกมิติออกมา ดังนั้นนี่อาจจะใช้สันนิษฐานได้ว่ามาคัสและตระกูลเรนเดลไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับลัทธิมืด” อัลลิดาพูดด้วยความเป็นห่วง
“แต่เบรนเดอร์ไม่น่าจะคิดอย่างนั้น”
“ถ้าเกิดเขาทำอะไรเกินเลย ฉันจะหยุดเขาเอง” ไดร่ากล่าวอย่างมั่นใจ
เรย์ยังถือว่าเป็นคู่สัญญาของเธอ ไดร่าลงทุนไปกับเรย์เยอะจึงไม่คิดจะให้ใครมาทำลายการลงทุนของเธออย่างแน่นอน
หัวหน้าดูจริงจังมาก แต่ถ้าหัวหน้าเอาจริงขึ้นมาเบรนเดอร์คงทำให้เบรนเดอร์ลำบากอย่างแน่นอน
เซลีนครุ่นคิดก่อนจะก้มหน้าลงอ่านเอกสารต่อ ขณะที่อัลลิดาก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก เธอยังคงขับรถด้วยความเร็วที่น่าทึ่งตรงไปยังที่ตั้งของบริษัทแรกกันในทันที
ส่วนทีมของเบรนเดอร์นั้นแยกออกไปจัดการอีกบริษัทหนึ่ง
ใช้เวลาสักพักรถหุ้มเกราะของทีมไดร่าก็มาถึงบริษัทแห่งแรก มันเป็นบริษัทเก่าของพ่อพระเอก ที่นี่มีอาคารสำนักงานหนึ่งหลังและโกดัง 4 แห่งที่เก็บแร่และถ่านหินอยู่ด้านหลัง พร้อมกับรถจำนวนหนึ่งที่จอดทิ้งไว้ หลังจากการหายตัวไปของมาคัส ริชาร์ดก็เข้ามา ก่อนที่เขาจะออกจากบริษัทของตัวเอง เพราะโดนฝ่ายบริหารของบริษัทบีบออก
ตอนนี้บริษัทก็ปิดตัวมาสักพักเพื่อรอเจ้าของไหมเข้ามาลงทุนต่อ มันจึงดูเหมือนถูกทิ้งล้าง แต่อันที่จริงแล้วที่นี่ต้องมียามเฝ้าที่นี่ แต่ตอนนี้บรรยากาศรอบ ๆ มันกลับเงียบจนน่าผิดปกติ
“เงียบเกินไป” ไดร่าขมวดคิ้วมน ขณะที่เดินลงมาด้านล่างและเดินไปที่ประตูรั้ว หันไปส่งสัญญาณให้เซลี
เซลีนที่เดินตามมาด้านหลังยื่นมือไปทางรั้ว ก่อนที่เธอจะใช้พลังจิตที่เชี่ยวชาญในการควบคุมวัตถุของตนปลดล็อกประตูรั้ว
ประตูรั้วมีกุญแจคล้องอยู่กับโซ่เส้นใหญ่อยู่สองตัวและตัวรั่วก็มีล็อกอยู่ด้วย หลังจากผ่านไปหนึ่งนาทีล็อกก็ถูกเปิดออกอย่างง่ายดาย
ประตูรั้วเปิดออก อัลลิดาขับรถเข้ามาด้านในทันที
“เริ่มจากตรงไหนก่อนดีหัวหน้า” อัลลิดาถาม
“ใช้เซลีนลองก่อนแล้วกัน”
เซลีนพยักหน้าก่อนจะเดินไปยังทางระบายน้ำหลับตาลงมือสัมผัสกับพื้น ในตอนนั้นเองก็มีเสียงของหนูตัวเล็กร้องจี๊ด ๆ วิ่งออกมาจากท่อระบายน้ำ
“พาไปหาอะไรแปลก ๆ ที่แกพึ่งเจอในช่วงนี้” เซลีนกล่าว เจ้าหนูสีน้ำตาลมองไปที่เซลีนอย่างลังเล เซลีนเห็นดังนั้นก็ยิ้มออกมา ล้วงไปในกระเป๋าคุกกี้ชิ้นเล็ก ๆ ออกมา
“พาไปแล้วฉันจะให้สิ่งนี้”
เมื่อมันเห็นขนมชิ้นนั้นก็พยักหน้า ก่อนจะหันไปมองซ้ายขวาราวกับมันกำลังตัดสินใจจะพาไปที่ไหนดีถึงจะทำให้เซลีนพอใจ
สุดท้ายมันตัดสินใจวิ่งไปยังส่วนลึกของบริษัท ซึ่งเป็นที่ตั้งของโกดังหลังที่ 4
พอวิ่งมาถึง แต่ยังไม่ทันเข้าใกล้ เจ้าหนูสีน้ำตาลก็หยุดลง มันชี้ขาหน้าทั้งสองไปด้านหน้าราวกับจะบอกว่า “อยู่ในนั้น สิ่งที่เธอตามหา แต่ฉันจะไม่เข้าไป”
เซลีนพูดในสิ่งที่มันคิดให้ไดร่าและอัลลิดาฟัง
ไดร่าส่งสัญญาณให้อัลลิดาลงมือ ส่วนเซลีนส่งขนมของตอบแทนให้เจ้าหนูสีน้ำตาล ก่อนที่มันจะวิ่งหายไปในท่อน้ำ
ประตูโกดังนั้นล็อกอยู่แต่นั่นไม่ใช่เรื่องยากเพราะเซลีนเปิดมันได้ไม่ยาก
พอเปิดประตูโกดังเข้ามา ก็ได้กลิ่นเลือดและกลิ่นเน่าเหม็นลอยออกมาจากด้านใน พร้อมกับเสียงร้องครวญคราง
อัลลิดาเดินไปเปิดสวิชไฟด้านข้างประตูโกดัง แต่มันกลับไม่ติด
“ไฟคงโดนตัดไปแล้ว” อัลลิดาหันมาบอกกับทั้งสอง
“ฟาลัน (บอลแสง)” ไดร่ายกมือขึ้นมา
บอลแสงปรากฏออกมาก่อนจะลอยขึ้นสูงราวกับแสงยามกลางวัน เมื่อมีแสงสว่างไปทั้งโกดัง พวกเขาก็มองเห็นด้านใน มันมีศพยามนอนตายอยู่ 3 ร่าง ศพพวกนี้ยังตายไม่นาน
ดังนั้นกลิ่นที่เน่าเหม็นในอากาศไม่ได้มาจากพวกมัน แต่มาจากเจ้าตัวที่กำลังกินศพอยู่
ซอมบี้ซากศพสามตัว...พวกมันมาที่นี่ได้ยังไง ไดร่าขมวดคิ้วเมื่อเห็นซอมบี้ซากศพทั้งสาม
เมื่อซอมบี้ซากศพทั้งสามเห็นไดร่า เซลี และอัลลิดาก็หันมาหาพวกเธอก่อนจะร้องคำรามในคอ ลุกขึ้นยืนเดินมาหาทั้งสาม
แต่ก่อนที่มันจะมาถึงตัว ไดร่าก็ชี้นิ้วไปที่มันและร่ายคาถา
“คาเซเบธ (บอลเพลิง)”
“คาเซเบธ (บอลเพลิง)”
“คาเซเบธ (บอลเพลิง)”
คาถาบอลเพลิงถูกร่ายออกมาติดต่อกันสามครั้ง อักษรเวทมนตร์ปรากฏขึ้นมาและกลายเป็นบอลเพลิงพุ่งเข้าไปเผาซอมบี้ซากศพทั้งสามตัว
ซอมบี้ทั้งสามตนถูกเผาจนตาย ร่างของพวกมันล้มทั้งยืน ไดร่าเดินเข้าไปที่ศพยามทั้งสามที่โดนกิน หลังจากเลือกศพหนึ่งที่สมองยังไม่โดนทำลาย
ไดร่าหยิบหนังสือเวทมนตร์ออกมา เปิดไปยังหน้าคาถาหนึ่ง
“เอเลนเซเต้ (คำตอบของศพ)”
อักษรเวทมนตร์ปรากฏขึ้นรอบศพของเป้าหมาย ก่อนที่พวกมันจะลอยหายเข้าไปในศพ
“เฮือก...!”
ผ่านไปสักพักศพยามที่ตกเป็นเป้าหมายของคาถาก็ลืมตาขึ้นมา มันพยายามสุดหายใจตามสัญชาตญาณ ก่อนที่พยายามจะลุกขึ้นยืน แต่มันไม่สามารถลุกขึ้นได้ เพราะช่วงท้องและกระดูกสันหลังตรงนั้นโดนซอมบี้กระชากออกไปแล้ว
มือของศพยกขึ้น สายตาของศพยามจับจ้องไปที่มือตนอย่างงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ราวกับมันกำลังสับสนกับความทรงจำครั้งสุดท้าย
“ฉันคือศพ” เสียงแหบแห้งของคนตายกล่าวออกมา ท่าทางของศพยามดูเชื่องช้าราวกับทุกส่วนของมันติดขัดไปหมด
“ข้าถามเจ้าตอบ” ไดร่ากล่าวออกมา
ศพยามเลิกสนใจมือของตนเอง มันมองไปที่ไดร่าก่อนจะพยักหน้าเข้าใจ