ตอนที่ 19
หลังจากที่จีเจ๋อหยูตอบรับคำขอของเหว่ยอี้เฉิน อี้เฉินก็กลั้นยิ้มด้วยความสุขในดวงตาวของเขา เขาพูดต่อ "ฉันค่อนข้างคาดหวังนะ" ไฝที่น้ำตาที่หางตาของเขาขลับให้ดูอ่อนโยนและร้อนแรง
จีเจ๋อหยูตกตะลึง เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเหว่ยอี้เฉินต้องพูดขนาดนั้น เป็นเหตุผลที่เหว่ยอี้เฉินควรเกลียดเขาในฐานะตัวร้ายเหรอ…
ยังไม่ทันที่จีเจ๋อหยูจะคิดออก เหว่ยอี้เฉินก็หันหลังจากไปแล้ว จีเจ๋อหยูก็ตามมา และทันทีที่เขาเดินออกจากประตู เขาก็เห็นร่างสูงยืนอยู่ข้างประตูนั่น
ใบหน้าของลู่หนานหยุนมืดครึ้ม เขาถือถ้วยชานมอยู่ในมือ สายตาที่เย็นเยียบของเขากวาดมองาไปที่เหว่ยอี้เฉินแล้วก้มมองที่จีเจ๋อหยู
เขาตกใจกับดวงตาที่ไม่เป็นมิตรของอีกฝ่ายที่แทบจะกลืนกิน เขาหลบตาออกไป
ในขณะนั้นเอง ลู่หนานหยุนก็พูดขึ้นมาว่า “เหว่ยอี้เฉิน ฉันมีเรื่องจะถามนาย” น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่งและไม่อาจบบอกความรู้สึกได้
เหว่ยอี้เฉินหยุดเดินชั่วขณะและมองไปที่คนตรงหน้า มีบรรยากาศแปลกๆคั่นกลางกับทั้งสองฝ่าย
จีเจ๋อหยูมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีในใจ และอยากหนีไปจากสถาณการณ์นี้
หลังจากที่หนีออกมาได้ จีเจ๋อหยูก็ได้คิดเกี่ยวกับคำถามในใจของเขา: ทำไมลู่หนานหยุนต้องอารมณ์เสียหลังแข่งเสร็จ?
ทันใดนั้นก็ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่างได้—ลู่หนานหยุนหึงหวงงั้นเหรอ?
พระเอกหึงเพราะตัวเอกต้องไปถ่ายVlogกับตัวรั้าย อืม...มีเหตุผลนะ
จีเจ๋อหยูรู้สึกเสียใจที่ยอมรับคำขอของเหว่ยอี้เฉิน จะเกิดอะไรขึ้นถ้าลู่หนานหยุนมาทุบตีเขาเพราะหึงในวันใดวันหนึ่ง?
เมื่อเห็นเด็กหนุ่มเดินจากไป ลู่หนานหยุนก็มองตรงเข้าไปในดวงตาของเหว่ยอี้เฉิน และถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “ไม่ใช่ว่านายเคยเกลียดจีเจ๋อหยูก่อนหรือไง? ทำไมนายถึงไปชวนเขามาทำ vlog ด้วย?”
“ฉันไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม” เหว่ยอี้เฉินมองลู่หนานหยุนด้วยรอยยิ้ม เสียงของเขายังคงสงบและอ่อนโยน “นายสนใจความคิดเห็นของฉันเรื่องจีเจ๋อหยูด้วยเหรอ?”
ลู่หนานหยุนขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง " ฉันแค่อยากรู้ว่าทำไมนายถึงเปลี่ยนความคิดของนายที่มีต่อเขาไวขนาดนี้ "
“ฉันไม่เคยบอกว่าฉันเกลียดเขา” เหว่ยอี้เฉินยิ้มลึกลงไปในดวงตาของเขาและไฝที่หางตาของเขาก็ยิ่งสะดุดตามากขึ้นด้วยรอยยิ้ม “นายเป็นคนบอกว่าเขาน่ารำคาญแล้วก็อยากให้เขาอยู่ห่างไม่ใช่หรือไง ฉันอยากรู้ว่าทำไมจู่ๆนายถึงเริ่มสนใจเขาล่ะ”
ลู่หนานหยุนเงียบ แต่มองเหว่ยอี้เฉินอย่างว่างเปล่า
คลื่นน้ำที่ไหลผ่านเข้ามาระหว่างทั้งสอง และในที่สุดลู่หนานหยุนก็หันหลังและจากไปกับความเงียบ และไม่มีใครตอบคำถามของกันและกันเลย
เนื่องจากการแสดงใกล้เข้ามาแล้ว เหว่ยอี้เฉินจึงมีเวลาไม่มากในการถ่ายทำ vlog เขาจึงกำหนดเวลาถ่ายทำในคืนเดียวกันนั้น และสถานที่นั้นเป็นสตูดิโอซ้อมเต้นว่างๆ
นอกจากจีเจ๋อหยูแล้วก็มีกู้เว่ยเฉิงอีกด้วย
เนื้อหาของ vlog ที่จัดเตรียมโดยเหว่ยอี้เฉินนั้นเรียบง่ายมาก นั่นคือทั้งสามคนจะเต้นเพลงธีมด้วยกัน และในขณะเดียวกันก็ทำการดัดแปลงท่าเต้น เพิ่มการเคลื่อนไหวที่ยากยิ่งขึ้น
ทั้งสามคนเต้นเก่งมาก ภายใต้คำแนะนำของเหว่ยอี้เฉิน อีกสองคนเรียนรู้ท่าเต้นที่ดัดแปลงได้อย่างรวดเร็ว ขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาเพียงสิบกว่านาทีเท่านั้น และการเต้นครั้งสุดท้ายก็ถูกบันทึกเพียงครั้งเดียว
หลังการถ่ายจบ เหว่ยอี้เฉินก็ปาดเหงื่อออกจากหน้าผากของเขา เขาหยิบกล้องมือถือแล้วเดินไปหาจีเจ๋อหยูแล้วพูดว่า “ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักของนายนะ ฉันต้องฝึกมากกว่านี้แล้ว”
"ไม่ลำบากหรอก ฉันมีความสุขมากเลย" จีเจ๋อหยูยังคงยิ้มอยู่หน้ากล้อง
เขาเพิ่งเต้นเสร็จ แก้มของเขาแดงเล็กน้อย และคนทั้งหมดของเขาดูชัดเจน และจมูกอันบอบบางของเขาก็ถูกปกคลุมไปด้วยเหงื่อเม็ดเล็กๆ เขาหอบเบาๆ และรอยยิ้มที่มุมปากก็ทำให้ดวงตาของเหว่ยอี้เฉินสั่นไหว
หลังจากชะงักไปสองสามวินาทีเหว่ยอี้เฉินก็หยิบกล้องขึ้นมาเพื่อขอบคุณเหว่ยอี้เฉิน จากนั้นทั้งสามคนก็บอกลากล้องด้วยกัน
หลังจากถ่ายเสร็จ จีเจ๋อหยูก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและกำลังจะหนี แต่เหว่ยอี้เฉินก็รั้งเขาไว้ได้ทัน
“ไม่อยากคุยกับฉันแล้วเหรอ?”
เสียงฝีเท้าของจีเจ๋อหยูหยุดลงทันที
กู้เว่ยเฉิงที่ยืนข้างๆถามอย่างสับสน “นายสองคนมีอะไรเหรอ?”
“ไม่ได้มีอะไรหรอก” เหว่ยอี้เฉินพูดอย่างใจเย็นกับกู้เว่ยเฉิง " นายไปก่อนเลย "
แววตาของกู้เว่ยเฉิงแสดงความประหลาดใจ...เหว่ยอี้เฉินอยากคุยกับจีเจ๋อหยูเป็นการส่วนตัวเหรอ? ไม่แปลกเกินไปหรือไง…
หลังจากที่กู้เหว่ยเฉิงจากไปด้วยความสับสน จีเจ๋อหยูก็หายใจเข้าลึก ๆ และถามเหว่ยอี้เฉิน "ครั้งล่าสุดที่นายบอกว่าเวทีของฉันต้องการแนวทางที่แตกต่างออกไป นายคิดว่าควรทำยังไงเหรอ?"
เหว่ยอี้เฉินมองไปที่ดวงตาของจีเจ๋อหยู ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มน้อยๆและพูดช้าๆว่า " นายเชื่อฉันอย่างนั้นเหรอ?"
จีเจ๋อหยูตกตะลึงแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อยและถามกลับ " นายหมายความว่ายังไง"
“ฉันไม่คิดว่านายเป็นโรคความจำเสื่อมจริงๆ” เหว่ยอี้เฉินมองเขาด้วยสายตาที่คาดเดาไม่ได้ "เรื่องปัญหาที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ ทั้งกดดันและไล่ฉันออก นายลืมไปแล้วเหรอ?"
จีเจ๋อหยูกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เขารู้สึกว่าสายตาของเหว่ยอี้เฉินทำให้เขากดดันอย่างมาก
“แล้วนายเชื่อเหรอว่าฉันจะช่วยนาย?” เหว่ยอี้เฉินถามทีละคำ
จีเจ๋อหยูหายใจเข้าลึก ๆ พยายามสงบสติอารมณ์และพูดด้วยเสียงต่ำ " ไม่ต้องคิดมากหรอก หากว่านายไม่อยากจะช่วย ลาก่อน" จากนั้นเขาก็หันหลังกลับไปทันที เขาไม่ได้อยากจะชดใช้สิ่งที่จีเจ๋อหยูคนเก่าได้สร้างไว้หรอกนะ
เหว่ยอี้เฉินตกตะลึง เขาไม่ได้คาดหวังว่าจีเจ๋อหยูจะจากไปทั้งอย่างนี้ เขาก้าวไปข้างหน้าสองก้าวอย่างกระวนกระวายใจทันที คว้าข้อมือของอีกฝ่ายแล้วอธิบายว่า “ฉันล้อเล่นเอง ให้ฉันช่วยนายนะ”
นิ้วที่เรียวยาวของเขาเกร็งเล็กน้อย และจีเจ๋อหยูสัมผัสได้ถึงความสั่นเบาๆ บนฝ่ามือของเขา
จีเจ๋อหยูหันกลับมามองเหว่ยอี้เฉินอย่างสงบและทำท่าทางให้เขาปล่อยมือ
" ความคิดของฉันง่ายมาก ฉันเชื่อว่านายน่าจะคิดได้เหมือนกัน" เหว่ยอี้เฉินปล่อยมือและพูดอย่างจริงจังว่า “เพิ่มเนื้อหาในท่อนร้องกับการเต้นของนาย ลดส่วนการเต้นลง และเน้นไปที่เสน่ห์เฉพาะตัวของนายผ่านเนื้อเรื่องเพื่อปกปิดทักษะของเสี่ยวฮ่วยที่ขาดไป”
จีเจ๋อหยูตกใจ เขาเองก็เคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกัน แต่เขารู้สึกว่ามันเสี่ยงเกินไป เขาไม่ได้คิดว่าเหว่ยอี้เฉินจะคิดแบบเดียวกับเขา
ในเวลาเดียวกัน หลังจากที่กู้เว่ยเฉิงกลับมาที่หอพัก เขาก็นึกอะไรบางอย่างได้ เขาตบหัวตัวเองและพูดด้วยความประหลาดใจ: “บ้าจริง ไม่ใช่ว่าเหว่ยอี้เฉินอยากอยู่กับจีเจ๋อหยูเพราะต้องการแก้แค้นหรอกเหรอ?”
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุผล จีเจ๋อหยูเคยรังแกเหว่ยอี้เฉินมาหลายครั้งแล้ว ตอนนี้เหว่ยอี้เฉินก็คว้าโอกาสที่จะอยู่ด้วยกัน เขาอาจแก้แค้นจีเจ๋อหยูคืนก็เป็นได้
"เกิดอะไรขึ้น?" ลู่หนานหยุนขมวดคิ้วและถาม
"ฉันเพิ่งถ่ายvlogกับอี้เฉินและเสี่ยวจีเสร็จ แล้วก็ทิ้งเสี่ยวจีไว้กับอี้เฉินตามลำพัง" กู้เว่ยเฉิงพูดอย่างร้อนรน "ตอนนี้ฉันสงสัยว่าอี้เฉินจะทำอะไรกับเสี่ยวจีกันแน่ ... "
ยังไม่ทันได้พูดจบ ลู่หนานหยุนก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและถามว่า “ห้องซ้อมไหน?” ขณะที่เขาเดินไปที่ประตู
กู้เว่ยเฉิงตกตะลึงและบอกเลห้องซ้อมไปอย่างไม่รู้ตัว เมื่อเห็นแผ่นหลังของเขาหายไปจากประตู ทันใดนั้นก็รู้สึกสับสนมากขึ้นไปอีก...ลู่หนานหยุนกำลังจะทำอะไร?
"...เขาควรเข้าร่วมทีมแก้แค้นด้วยไหม!" กู้เว่ยเฉิงตกใจและรีบลุกขึ้นและไล่ตามไป
เมื่อลู่หนานหยุนมาถึงที่หน้าประตู เหว่ยอี้เฉินที่เพิ่งให้คำแนะนำเฉพาะเจาะจงเสร็จและกำลังพูดกับจีเจ๋อหยู
"นี่แค่คำแนะนำของฉัน นายจะเอาไปใช้หรือไมต้องสนใจมันก็ได้" น้ำเสียงของเหว่ยอี้เฉินนุ่มนวลเช่นเคย " ฉันหวังว่านายจะทำการแสดงออกมาได้ดีนะ "
จีเจ๋อหยู " ขอบคุณที่แนะนำฉันเยอะมากเลยในวันนี้ ฉันไปแล้วนะ"
เหว่ยอี้เฉินมองไปที่จีเจ๋อหยูที่แทบจะรอไม่ไหวอยากออกไป เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วถามว่า “ฉันมีข้อสงสัย ทำไมนายต้องหลบหน้าฉันด้วย”
แผ่นหลังของเขาแข็งทื่อ
ลู่หนานหยุนที่กำลังแอบฟังอยู่ที่ประตูก็กลั้นหายใจ
“ฉัน...” จีเจ๋อยู่มองกลับมาที่เหว่ยอี้เฉิน หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง เขาก็ตัดสินใจบอกความจริงไป “ฉันกลัวว่าลู่หนานหยุนจะมาเห็น”
เหว่ยอี้เฉินตกใจ
ความประหลาดใจส่องประกายผ่านดวงตาของลู่หนานหยุน
จีเจ๋อหยูคิดว่าลู่หนานหยุนและเหว่ยอี้เฉินชอบกันและกัน และเพื่อปกป้องชีวิตน้อยๆของตัวเอง เขาเลยตัดสินใจที่จะอยู่ห่างจากทั้งสองคนนั้นดีที่สุด
แต่เห็นได้ชัดว่าเหว่ยอี้เฉินและลู่หนานหยุนไม่คิดอย่างนั้น
ดวงตาของเหว่ยอี้เฉินเศร้าลง สิ่งที่เขาคิดคือจีเจ๋อหยูนั้นยังคงชอบลู่หนานหยุนอยู่ ดังนั้นเขาจึงกลัวความเข้าใจผิดของเขา
หลังจากที่จีเจ๋อหยูพูดจบ เขาก็รีบเปิดประตูออกไป แต่ก็ต้องเจอร่างสูงยืนอยู่หน้าประตู
ลู่หนานหยุนมองลงมาที่เขา พยายามต้านทานแรงกระตุ้นที่อยากจะยกมุมปากของตัวเองขึ้น และปิดบังความปิติยินดีภายในดวงตาของเขา
จีเจ๋อหยูตกตะลึงและพูดทันทีว่า " ขอโทษที " เขาก้มศีรษะแล้วเดินหลบลู่หนานหยุนและจากไปอย่างรวดเร็ว
กู้เว่ยเฉิงที่รีบตามมาเห็นฉากนี้และถามกับจีเจ๋อหยูว่า " เสี่ยวจีi พวกเขาทุบตีนายหรือเปล่า! สองคนนี้เกินไปแล้ว ... "
" ไม่เลย!" เขารู้สึกว่าคนนี้อธิบายไม่ถูก " นายหมายความว่ายังไง?"
กู้เหว่ยเฉิงเกาหัวด้วยความสับสน แต่เสี่ยวจีไม่ได้ถูกรังแกใช่ไหม?
จากนั้นเขาก็เห็นลู่หนานหยุนอีกครั้งที่ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มมุมปาก และดวงตาของเขาก็อ่อนโยนว่าตอนที่เขาออกมา ราวกับว่าเขาเจอเงินที่ร่วง
เหว่ยอี้เฉินซึ่งอยู่ไม่ไกลด้านหลังเขา ไร้ความรู้สึก แววตาเย็นชา
“เกิดอะไรขึ้น นี่คือ...” กู้เหว่ยเฉิงถาม “เกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกนายสามคนเนี่ย?”
ทั้งสองไม่พูดอะไรและเพิกเฉยต่อเขาอย่างสมบูรณ์
กู้เหว่ยเฉิงรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะหาความจริงจากสามคนนี้ ยากกว่าสอบเข้าวิทยาลัยเสียอีก
แน่นอนว่าจีเจ๋อหยูไม่รู้ว่าตัวเอกทั้งสองเข้าใจเขาผิดอย่างลึกซึ้งไปแล้ว ส่วนตอนนี้เขาเต็มไปด้วยความคิดเกี่ยวกับการแสดงครั้งที่สอง
หลังจากฟังคำแนะนำของเหว่ยอี้เฉิน จีเจ๋อหยูก็นอนอยู่บนเตียงโดยครุ่นคิดอยู่นาน และในที่สุดก็คิดแผนการที่จะช่วยแก้สถานการณ์ของการแสดงนี้ได้ เขาลุกขึ้นจากเตียงทันทีและหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาเขียนและระบายสี
เช้าวันรุ่งขึ้น จีเจ๋อหยูก็นำกระดาษแผ่นนี้ไปที่ห้องเรียนเต้นและบอกกับเพื่อนร่วมทีมอย่างจริงจังเกี่ยวกับแผนของเขา
ไม่กี่นาทีต่อมา
ซูจิงเบิกตากว้างและพูดด้วยความประหลาดใจ: " นายอยากจะเพิ่มเนื้อเรื่องในการแสดงเหรอ?ม่ มันเสี่ยงเกินไปหรือเปล่า เราเหลือเวลาอีกแค่สามวันเองนะ..."
“ใช่ แผนของเรายังไม่ได้ฝึกซ้อม การเอามาปรับเข้าโครงเรื่องนั้นไม่ยาก” ถังเซี่ยหยานเหลือบมองที่เสี่ยวฮ่วยi และไม่เห็นด้วยกับคำแนะนำของจีเจ๋อหยู
" เหตุผลในการใส่พล็อตเรื่องเข้าไปนั้นเพื่อลดความยาก" จีเจ๋อหยูพูดอย่างใจเย็น "แต่พล็อตเรื่องจะต้องดึงดูดความสนใจของผู้ชม ดังนั้นพวกเขาจะไม่สังเกตว่าความยากของเราน้อยกว่าทีม A"
เมื่อทุกคนได้ยินประโยคดังกล่าว พวกเขาก็รู้สึกมีเหตุผลเล็กๆขึ้นในใจ
เพื่อเกลี้ยกล่อมเพื่อนร่วมทีม จีเจ๋อหยูจึงขอให้เพื่อนร่วมทีมซ้อมตามความคิดของพวกเขาเอง
ทุกคนมีโครงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ และจีเจ๋อหยูก็ทำหน้าที่เป็นบุคคลที่เชื่อมโยงโครงเรื่องเข้าด้วยกัน
หลังจากการแสดงจบ ทุกคนรู้สึกว่าองค์ประกอบต่างๆค่อนข้างดี แต่เสี่ยวฮ่วยก็ยังเป็นจุดอ่อนของทีมเหมือนเดิม
จีเจ๋อหยรู้อยู่แล้วว่าผลลัพธ์ต้องเป็นเช่นกันนี้ แต่ในไม่ช้าเขาก็คิดหาวิธีแก้ไขได้ เขาพูดกับเสี่ยวฮ่วยว่า " ไม่ต้องสนใจว่าจะเข้ากับคนอื่นได้ไหม แค่ใส่ใจกับตำแหน่งก็ไม่มีปัญหาเรื่องเต้น นายจะสามารถประหยัดเวลาได้มาก"
เสี่ยวฮ่วยตกตะลึง หลังจากนั้นไม่นาน เขาลังเลที่จะถาม
" ฉันไม่สนใจหรอก " จีเจ๋อหยูพูดเบา ๆ ทำให้ทุกคนตะลึง
เขาพูดแบบนี้ เพราะอยากให้เวทีดูสมบูรณ์แบบมากขึ้น อีกอย่างคือเป็นเพราะเขารู้ว่าถึงแม้กล้องจะจับภาพเขาน้อยลง ตราบใดที่เขาสามารถปรากฏตัวในเลนส์กล้องได้ เขาก็ยังมีความมั่นใจที่โดดเด่นในตำแหน่งเซนเตอร์อยู่ดี
หลังจากที่ทุกคนจัดแถวตามที่จีเจ๋อหยูบอก สายตาของทุกคนก็เผยให้เห็นถึงความน่าเหลือเชื่อ--
ดูเหมือนว่าจีเจ๋อหยูจะมีพลังที่จะเนรมิตทุกอย่างได้ราวกับเวทมนต์