WS บทที่ 330 หอคอยแบล็กมูน
หลังจาก พ่อมดโอเดนหลบหนีไป ทิ้งไว้เพียงร่องรอยการต่อสู้ที่ไหม้เกรียมบนพื้น
สีหน้าของเมอร์ลินดูหม่นหมองในขณะที่เขาจ้องมองไปในทิศทางที่พ่อมดโอเดนและคนของเขาหายตัวไป จริง ๆ แล้วเขาเสียเปรียบในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย หากพวกเขายังคงฝืนต่อสู้ต่อไป เขาอาจจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
“ดูเหมือนว่าความสามารถของฉันยังไม่เพียงพอ แม้จะทำดีที่สุดแล้วแต่ฉันก็แทบจะไม่อาจต่อกรกับนักเวทย์ระดับหกได้!”
เมอร์ลินเคยคิดว่าเมื่อเขาสร้างคาถาวังวนแห่งความมืดสำเร็จ นักเวทย์ระดับหกส่วนใหญ่จะไม่สามารถทำอะไรเขาได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาคิดจะไม่ตรงกับความเป็นจริง ถึงแม้ว่าวังวนแห่งความมืดจะแข็งแกร่งมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันได้รับการเสริมพลังจากดวงใจแห่งความมืด มันสามารถดูดกลืนพลังจิตของนักเวทย์ทำให้พวกเขาตกอยู่ในภาพลวงตา
อย่างไรก็ตาม วังวนแห่งความมืดยังคงเป็นคาถาลวงตาและนักเวทย์หลายคนเมื่อพวกเขาไปถึงระดับหกจะได้รับพลังจิตมามหาศาล ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะดักจับพวกเขาไว้ในภาพลวงตาได้
ยิ่งกว่านั้น หากฝ่ายตรงข้ามมีพลังจิตทะลุไปถึงระดับเจ็ด ภาพลวงตาที่ร่ายออกมาก็จะอ่อนแอลงอย่างมาก นี่คือเหตุผลที่วังวนแห่งความมืดสามารถดักจับพ่อมดโอเดนไว้ในภาพลวงตาได้ในเวลาเพียงพริบตา
นอกจากนี้ เพลิงวินาศของเขายังไม่สามารถเอาชนะคาถาระดับหกได้อย่างสมบูรณ์ เขาไม่สามารถเอาชนะแม้กระทั่งเวทมนตร์ป้องกันระดับหกทั่วไป ไม่ต้องพูดถึงความเสียหายต่อพ่อมดโอเดนที่เชี่ยวชาญเวทมนตร์ประเภทป้องกัน
คราวนี้โชคดีที่พ่อมดโอเดนระมัดระวังเมอร์ลินและไม่กล้าเผชิญหน้ากับเขา ไม่อย่างนั้น เขาก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าตัวเขาจะโชคดีแบบนี้ทุกครั้ง
ผู้เฒ่างูกลับมาร่างมนุษย์อีกครั้ง ใบหน้าของเขาซีดมาก ดูเหมือนว่าเขาต้องใช้พลังธาตุจำนวนมากและได้รับความเสียหายอย่างหนัก ในตอนแรกเขาป้องกันการโจมตีของพ่อมดโอเดนเพียงลำพัง
“พ่อมดเมอร์ลิน ต้องขอบคุณคุณมากสำหรับความช่วยเหลือของคุณในครั้งนี้ ไม่อย่างนั้นฉันเกรงสถานการณ์จะเลวร้ายยิ่งกว่านี้
ผู้เฒ่างูมองดูเมอร์ลินอย่างซับซ้อน ในขั้นต้น เขาคิดว่าเขาเข้าใจเมอร์ลินเพียงพอและรู้จักพลังของเขาดีแล้ว อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเขายังห่างไกลจากความเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงพลังของเมอร์ลิน เขาประหลาดใจที่เมอร์ลินไม่เพียงแต่ต้านทานได้ แต่ยังทำให้พ่อมดโอเดนหวาดกลัว นั่นไม่ใช่เรื่องที่พ่อมดทั่วไปจะทำได้
แม้ว่าโอเดนจะหนีไปแล้วแต่เมอร์ลินก็ยังไม่กล้าลดความระมัดระวังลง เขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “พวกเราต้องรีบไปจากที่นี่ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจะเปลี่ยนใจหรือไม่ เรารีบไปกันดีกว่า”
ผู้เฒ่างูและคนอื่น ๆ พยักหน้าเห็นด้วย ถ้าองค์ชายสี่ส่งโอเดนมาหาพวกเขาแสดงความขัดแย้งระหว่างเจ้าชายคงจะทวีความรุนแรงจนเกินจุดเดือด อันที่จริง สถานการณ์อาจยิ่งแย่ลงไปอีกในเมืองอิมพีเรียล
การเดินทางไปเมืองอิมพีเรียลครั้งนี้จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ไม่มีใครรู้ได้
ในช่วงระหว่างการเดินทางนี้ เมอร์ลินกับผู้เฒ่างูได้จดจ่อกับพลังงานทั้งหมดในการเดินทางของพวกเขา เนื่องจากพวกเขาสูญเสียนักเวทย์ชราที่น่าเกลียดทั้งสองไป ผู้เฒ่างูและคนของเขาสามารถใช้เวทย์มนตร์บินได้
เมอร์ลินเองก็มีอุปกรณ์เวทนมนต์แบบบินที่ทำให้เขาสามารถติดตามพวกเขาได้แต่มันกินหินธาตุลมจำนวนมาก
ระหว่างทาง เมอร์ลินได้รับความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับเผ่าสัตว์อัลไพน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเร็วและความแข็งแกร่งของหมาป่าสาว เยเลน่าทำให้เขาประทับใจอย่างมาก
หากพลังจิตของเยเลน่าแข็งแกร่งกว่านี้เล็กน้อย เมอร์ลินอาจไม่สามารถพิชิตเธอได้ ตรงกันข้าม เธออาจจะฆ่าเขาได้แทน
เมื่อเผ่าสัตว์อัลไพน์แปลงร่างเป็นร่างที่แท้จริงแล้ว พวกเขาแต่ละคนก็มีจุดแข็งที่เป็นเอกลักษณ์
อย่างไรก็ตาม จำนวนเผ่าสัตว์อัลไพน์มีน้อยเกินไป ตัวอย่างเช่น เผ่างูมีประมาณสามพันคน แทบจะไม่เพียงพอที่จะรักษาเผ่าเล็ก ๆ ไว้ได้ พวกเขาหายากมากจริง ๆ
แม้แต่เผ่าสัตว์อัลไพน์ทั้งหมดมีประชากรเพียงไม่กี่หมื่นเท่านั้น แม้จะแข็งแกร่งและมีความสามารถมาก แต่ก็ประสบปัญหาในการเลี้ยงลูกเหมือนคนทั่วไป ทุกคู่ของเผ่าสัตว์อัลไพน์ที่ต้องการให้กำเนิดจะต้องประสบปัญหาต่าง ๆ บางครั้งถึงกับคุกคามถึงชีวิตเพื่อผลิตลูกหลาน
นี่เป็นจุดอ่อนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเผ่าสัตว์อัลไพน์ นักเวทย์โบราณอาจใช้วิธีการร่ายคาถาขั้นสูงสุดเพื่อสร้างเผ่าสัตว์อัลไพน์ แต่ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขากลับกลายเป็นผลงานที่ล้มเหลว บกพร่องจนที่ไม่สามารถแก้ไขได้
เมื่อนานมาแล้ว เผ่าสัตว์อัลไพน์มีประชากรไม่กี่ล้านคน อย่างไรก็ตาม หลังจากความยากลำบากในการแพร่พันธุ์ มีคนเหลืออยู่เพียงหลายหมื่นคนในวันนี้ พวกเขายังมีแนวโน้มที่จะอาศัยอยู่ในสถานที่ห่างไกลและในสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างเลวร้าย
เผ่าสัตว์อัลไพน์หลายคนอดไม่ได้ที่จะหลบหนีจากภูเขาที่เต็มไปด้วยอันตราย แต่เนื่องจากพวกเขาดูแตกต่างจากคนปกติ พวกเขาจึงสร้างความตื่นตระหนกให้กับคนทั่วไปและเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับสถานการณ์อันตราย
ดังนั้นเผ่าสัตว์อัลไพน์จึงถอยกลับเข้าไปในเผ่าของตนและเริ่มเข้าร่วมกับกองกำลังต่าง ๆ ผู้เฒ่างูเลือกที่จะสนับสนุนองค์ชายแปดด้วยความหวังว่าหากองค์ชายแปดกลายเป็นราชาแห่งอาณาจักรแบล็กมูน เผ่างูจะได้รับที่ดินผืนใหญ่พอที่จะดำเนินชีวิตอย่างเงียบสงบ
เยเลน่า เธอมาจากเผ่าหมาป่าก็อาจจะมีความคิดเดียวกับผู้เฒ่างูเช่นกัน พวกเขาเลือกที่จะสนับสนุนเจ้าชายคนหนึ่งเพื่อที่ว่า ถ้าเขาขึ้นเป็นกษัตริย์ พวกเขาจะได้ที่ดินผืนหนึ่งและใช้ชีวิตอย่างสงบสุข
แต่ช่างหน้าเศร้าที่หนทางแห่งความสงบสุขนี้ มันเต็มไปด้วยการนองเลือด พวกเขาเลือกลงเอยด้วยการต่อสู้กัน อย่างที่ผู้เฒ่างูกับหมาป่าสาวเยเลน่าทำ แม้ว่าทั้งคู่จะมาจากเผ่าสัตว์อัลไพน์เหมือนกันก็ตาม
“โลกนี้น่าสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ…” เมอร์ลินพึมพำภายใต้ลมหายใจของเขา
ในโลกแห่งนักเวทย์นี้ เขาคิดว่ามันไม่มีเรื่องที่เกินกว่าจะเข้าใจ เขาคิดว่าเรื่องของประติมากรรมลึกลับถือว่าแปลกที่สุดแล้ว แต่ตอนนี้ดันมีเผ่าสัตว์อัลไพน์แปลก ๆ โผล่มาด้วยเช่นกัน
เผ่าสัตว์อัลไพน์มีพลังมากที่สุดในรูปแบบที่แท้จริงของพวกเขา ในขณะที่คาถา อักษรรูน ฯลฯ เป็นเพียงความสามารถเสริม อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาเปิดเผยรูปร่างที่แท้จริงของพวกเขาและหลอมรวมเข้ากับมัน พวกเขาช่างน่ากลัวจริง ๆ มันไม่น้อยไปกว่านักเวทย์ที่มีพลังปีศาจแพนโดร่าเลย
โลกนี้มีความน่าสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ และยังคงมีความลับที่ซ่อนอยู่มากมาย แต่เมอร์ลินรู้ว่าพลังนั้นมีความสำคัญสูงสุด มีเพียงพลังอันยิ่งใหญ่เท่านั้นที่เขาจะสามารถอยู่ได้อย่างปลอดภัย
การเดินทางไปยังเมืองอิมพีเรียลครั้งนี้ เขาต้องหาทางเข้าไปในห้องสมุดเวทมนตร์ของพระราชวัง เพราะท้ายที่สุด เมอร์ลินได้ตกลงที่จะไปยังเมืองอิมพีเรียลเพื่อจุดประสงค์นี้เท่านั้น
…
ตรงข้ามกับท้องฟ้าที่สดใส เงาดำเริ่มทอดยาวออกไปนอกกำแพงเมืองอันตระการตา เบื้องหลังกำแพงสีขาวสูงเหล่านั้นมีหอคอยสูงที่บิดเบี้ยว ยอดเขาทอดยาวไปถึงก้อนเมฆ เปล่งแสงระยิบระยับ
ใครก็ตามที่เห็นหอคอยนี้จะรู้สึกทึ่งในหัวใจของพวกเขา
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ เมอร์ลินกำลังจ้องมองไปที่หอคอยที่ไม่เหมือนใคร แม้ว่าเขาจะดูมันมาตลอดทั้งชั่วโมงแต่หัวใจของเขาก็ยังไม่สามารถสงบลงได้
หอคอยของนักเวทย์ เมอร์ลินเคยเห็นภาพดังกล่าวหลายครั้งในดินแดนมนต์ดำ แม้แต่หอคอยที่สร้างโดยนักเวทย์ระดับเจ็ดก็ถือเป็นสถานที่ธรรมดาในสายตาของเมอร์ลิน เนื่องจากดินแดนมนต์ดำเป็นองค์กรนักเวทย์ที่เชี่ยวชาญในศาสตร์อักษรรูน หอคอยที่บรรจุอยู่ในนั้นล้วนเป็นสุดยอดความรู้เกี่ยวกับรูน
อย่างไรก็ตาม หอคอยนี้เป็นอีกระดับหนึ่ง
ไม่ว่าจะมีหอคอยกี่แห่งในเขตเวทมนตร์แห่งความมืด พวกมันก็ยังห่างไกลจากหอคอยนี้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าต่อตาเขา นับตั้งแต่วินาทีแรกที่เมอร์ลินมองดูหอคอยนี้ เขาก็รู้สึกหนาวสั่นอย่างบอกไม่ถูก
"ฮิฮิ! พ่อมดเมอร์ลิน คนที่มองเห็นหอคอยแบล็คมูนมักจะตอบสนองแบบเดียวกัน ครั้งแรกที่ฉันเดินตามองค์ชายแปดไปยังเมืองอิมพีเรียลและเห็นหอคอยแบล็คมูน ฉันก็ประหลาดใจเช่นกัน เป็นการยากที่จะจินตนาการว่ามีคนในอาณาจักรนี้สามารถสร้างหอคอยที่งดงามและอธิบายไม่ได้ได้อย่างไร อันที่จริง นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่วิเศษที่สุดในการชมหอคอย คุณควรรอจนถึงเย็นนี้ซึ่งจะเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง หอคอยแบล็คมูนจะยิ่งรุ่งโรจน์และงดงามยิ่งขึ้นไปอีก”
ผู้เฒ่างูก็มองดูสิ่งก่อสร้างสูงตระหง่านที่ยืนอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆอย่างภาคภูมิ นี่คืออาคารสัญลักษณ์ของอาณาจักรแบล็คมูน หอคอยแบล็คมูน
เมื่อสามารถเห็นหอคอยแบล็กมูนได้แบบนี้ แสดงว่าหลังจากพวกเขาเดินทางกับข้ามวันข้ามคืน ในที่สุดพวกเขากำลังจะมาถึงเมืองอิมพีเรียลแล้ว
หลังจากนั้นไม่นาน เมอร์ลินก็ค่อย ๆ ถอนสายตาออก เขาสัมผัสได้ว่าหอคอยแบล็คมูนไม่เพียงแต่เต็มไปด้วยพลังลึกลับ แต่ยังห้อมล้อมทั้งอาณาจักรด้วย มันเกือบจะเหมือนกับว่ามันเป็นหัวใจและแก่นแท้ของอาณาจักร
หอคอยแบล็คมูนยังทำให้เมอร์ลินรู้สึกตึงเครียดอย่างผิดปกติ ภายในจิตใต้สำนึกของเมอร์ลิน แม็กซฺมแฟ่งไฟที่อยู่ห่างสงบอยู่เสมอ เมื่อเขาเข้าใกล้หอคอยแบล็คมูน เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันบางอย่าง
แม็กซิมแห่งไฟเป็นพลังที่เป็นของจอมเวทย์ในตำนานนิโคล่า กล่าวคือมันเป็นแก่นแท้ที่แสดงถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งของจอมเวทย์นิโคล่าที่มีต่อพลังธาตุไฟ
อนิจจา แม้ว่าแม็กซิมแห่งไฟเหมือนกัน แต่ก็มีความแตกต่างในระดับความเชี่ยวชาญระหว่างจอมเวทย์ในตำนานที่แตกต่างกันอย่างแน่นอน
สำหรับตำนานอย่างมหาจอมเวทย์ธาตุมืด โอลาส การที่เขาได้รับการขนานนามเช่นนี้แสดงว่าเขาได้บรรลุความเข้าใจที่ไม่มีใครเทียบได้ของความมืดและความเชี่ยวชาญธาตุมืดนอย่างสมบูรณ์
จอมเวทย์ในตำนานที่ได้รับฉายาในลักษณะนี้ถือเป็นพลังที่น่าจับตามองจริง ๆ พวกเขาสามารถขับไล่เทพเจ้าผู้มีอำนาจหรือพิชิตดาวเคราะห์ดวงอื่น
แต่ในขณะนี้ แม็กซิมแห่งไฟของเมอร์ลินถูกระงับการใช้งานโดยหอคอยแบล็กมูน นี่เป็นการพูดถึงผลกระทบที่ไม่ธรรมดาของหอคอยแบล็คมูนทางอ้อม
ตั้งแต่เมอร์ลินได้รับแม็กซิมแห่งไฟมา นี่เป็นครั้งแรกที่มันถูกระงับ!
ด้วยเหตุนี้ เมอร์ลินจึงรู้สึกสั่นเล็กน้อยในหัวใจและอยากรู้อย่างมากเกี่ยวกับหอคอยแบล็คมูน เขาถามผู้เฒ่างูว่า “ผู้เฒ่างู นักเวทย์คนใดสร้างหอคอยแบล็คมูนนี้ ดูจากหน้าตาแล้ว คนสร้างต้องไม่ธรรมดาแน่นอน!”
ผู้เฒ่างูเหลือบมองเมอร์ลินเล็กน้อยแล้วสูดหายใจเข้าลึก ๆ “คำถามที่ว่าใครเป็นคนสร้างหอคอยแบล็คมูน ฉันเกรงว่าแม้แต่นักเวทย์ที่อายุมากที่สุดก็ไม่รู้” เขาตอบอย่างใจเย็น “อย่างไรก็ตาม หอคอยแบล็คมูนนี้ไม่ได้สร้างโดยอาณาจักรแบล็คมูนแต่มันเป็นเศษเสี้ยวจากจักรวรรดิมอลต้า
หอคอยแบล็คมูนมีพลังลึกลับ จอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่สองสามคนของอาณาจักรเข้าไปข้างในเพื่อศึกษาหอคอยและค้นพบว่าพลังของหอคอยแบล็คมูนสามารถเรียกใช้เพื่อปกป้องเมืองอิมพีเรียลทั้งหมด ทำให้ไม่สามารถโจมตีได้ทุกรูปแบบ อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับพลังลึกลับซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถเข้าใจได้…
อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพราะหอคอยแบล็คมูน เมืองอิมพีเรียลจึงปลอดภัยอย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่จะรวมตัวกันที่นี่กี่คน พวกเขาก็ไม่อาจคุกคามเมืองอิมพีเรียลได้
จากข่าวลือที่ลือ ๆ กันมา หอคอยแบล็กมูนมีพลังโจมตีที่แข็งแกร่งกว่าที่แม้แต่จอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่สามารถต้านทานได้ นั่นคือราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการเรียกพลังของหอคอยแบล็คมูนซึ่งยากจะหยั่งถึง…”
เมอร์ลินได้รับความเข้าใจทั่วไปเกี่ยวกับความสามารถของหอคอยแบล็คมูนมาแล้ว เนื่องจากมันถูกสืบทอดมาจากจักรวรรดิมอลต้า จึงมีแนวโน้มว่ามันถูกทิ้งไว้เบื้องหลังโดยจอมเวทย์ผู้ทรงพลังในตำนาน
เพื่อให้สามารถครอบคลุมทั้งเมืองอิมพีเรียลเห็นได้ชัดว่าเกี่ยวข้องกับพลังแห่งธรรมชาติ พลังที่จอมเวทย์ในตำนานเท่านั้นที่สามารถควบคุมได้ หอคอยแบล็กมูนต้องเชื่อมโยงกับจอมเวทย์ที่ทรงพลังจากอาณาจักรมอลต้าอย่างแน่นอน
เมื่อนึกถึงการปราบปรามแม็กซิมแห่งไฟของหอคอยแบล็คมูน จู่ ๆ เมอร์ลินก็รู้สึกถึงแรงกระตุ้นให้เข้าไปศึกษาหอคอย อย่างไรก็ตาม หอคอยแบล็คมูนเป็นแกนกลางที่ลึกลับที่สุดของราชวงศ์ โดยเฉพาะองค์ชายแปด พระองค์ไม่มีทางที่จะให้เขาเข้าไปได้อย่างแน่นอน
“พ่อมดเมอร์ลิน สถานการณ์ในเมืองอิมพีเรียลนั้นซับซ้อนมาก คุณสามารถทราบได้จากองค์ชายแปดโดยตรง เอาล่ะ ไปกันเถอะ”