บทที่ 525 เฝ้าสังเกต(ตอนฟรี)
บทที่ 525 เฝ้าสังเกต
อาหารเย็นในวันถัดไปหลังจากกลับมาจากทัศนศึกษา ถูกจัดเตรียมโดยเซียวซูเหม่ย แม่ของจี้เฟิง ส่วนเซียวหยูซวนและถงเล่ยนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นอย่างสนุกสนาน ดูเหมือนว่าพวกเธอไม่มีท่าทีที่จะเข้าไปในห้องครัวเพื่อช่วยแม่ของจี้เฟิงทำอาหารเลย
ส่วนจี้เฟิงอยู่ในห้องหนังสือตลอดทั้งบ่ายโดยที่ไม่ได้ออกมาเลย
โดยปกติแล้วจี้เฟิงมีนิสัยชอบงีบหลับในตอนกลางวัน แต่เป็นการนอนที่ไม่นาน อย่างมากก็ 20 นาที ปกติแล้วบางครั้ง การหลับตาและนอนพักสัก 10 นาที ก็ทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าได้ตลอดทั้งบ่ายแล้ว แน่นอนว่านี่เป็นก่อนที่เขาจะได้เจอกับสมองหมายเลข 1
ตั้งแต่ที่จี้เฟิงได้พบกับสมองหมายเลข 1 เขาก็ไม่มีนิสัยงีบหลับอีก เพราะตั้งแต่ที่เขาฝึกยิมนาสติกชุดแรกในทุกๆคืน เขามักจะถูกสมองหมายเลข 1 ทรมานอยู่เสมอ แต่พอตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น เขากลับรู้สึกเต็มไปด้วยพลังงาน ไม่มีความรู้สึกเหนื่อยล้าเลย
เพราะแบบนี้เขาถึงไม่จำเป็นต้องงีบหลับในตอนกลางวันอีก
อย่างไรก็ตาม เซียวหยูซวนและถงเล่ยไม่ได้เป็นแบบเขา ทั้งสองสาวยังต้องการเวลาพักผ่อนในตอนเที่ยง จี้เฟิงจึงไม่อยากรบกวนพวกเธอ ดังนั้นหลังจากที่รับประทานอาหารกลางวันเสร็จ จี้เฟิงจึงตรงไปที่ห้องหนังสือทันทีและเริ่มเขียนแผนงาน
แผนงานของจี้เฟิงนั้นแตกต่างจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง หรือพูดง่ายๆก็คือ แม้ว่าจะเรียกว่าการเขียนแผนงานเหมือนกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว เนื้อหาที่จดบันทึกนั้นแตกต่างกันมาก เพราะสิ่งที่จี้เฟิงต้องทำคือแผนงานที่ครอบคลุม แต่ไม่ได้ลงรายละเอียด มันเป็นเพียงโครงร่างคร่าวๆไว้เท่านั้น เพราะแผนที่แท้จริงอยู่ในหัวของเขาทั้งหมดแล้ว
แผนกรักษาความปลอดภัย ฝ่ายวิจัยและพัฒนา... มันเกี่ยวกับโรงงานยาเถิงเฟย
หยางหยู แฮกเกอร์... นี่คือแผนงานเกี่ยวกับเทคโนโลยีและเครือข่าย
อันที่จริง เนื่องจากกระบวนการเรียนรู้ของจี้เฟิงเกี่ยวกับการสื่อสารเทคโนโลยีเครือข่ายได้มาถึงขั้นกลางแล้วในตอนนี้ จี้เฟิงจึงเริ่มจัดทำแผนงานในด้านนี้ขึ้น
เช่นเดียวกับที่ฮั่นจงเคยพูดไว้ หากหยางหยูยังอยู่ในโรงงานยาอยู่แบบนี้ เขาจะไม่ได้แสดงความสามารถที่แท้จริงของเขาออกมาเลย มีเพียงศาสตร์เดียวที่เกี่ยวข้องกับเขาเท่านั้นที่เขาจะได้แสดงความสามารถออกมาอย่างเต็มที่
นั่นก็คือในวงการอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ มันเป็นสิ่งที่จี้เฟิงใฝ่ฝันมานานแล้ว เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาในทางด้านนี้คือการสร้างม่านแสงที่สมองหมายเลข 1 เคยแสดงให้เขาเห็น แต่การมีเพียงแค่ฮาร์ดแวร์เพียงอย่างเดียวนั้นทำไม่ได้อย่างแน่นอน อย่างน้อยก็ต้องมีซอฟต์แวร์ที่เข้ากันได้
ยิ่งไปกว่านั้น จี้เฟิงไม่สามารถทำทุกอย่างด้วยตัวเองทั้งหมดได้ ดังนั้นเขาจะไม่รีบร้อน เขาจะต้องค่อยๆพัฒนาบุคลากรมืออาชีพในแต่ละด้านให้แข็งแกร่งและมั่นคงมากที่สุด
ไม่อย่างนั้น หากเขาจ้องจะทำทุกอย่างด้วยตัวเองคนเดียวทั้งหมด เขาจะเหนื่อยมากเกินไป
จี้เฟิงนึกถึงสิ่งที่อารองพูดกับเขาขึ้นมาอีกครั้ง จูกัดเหลียงตายยังไง? นั่นเป็นเพราะเขา ไม่ไว้วางใจผู้อื่น และทำงานด้วยตัวเองจนเหนื่อยตายยังไงล่ะ!
แน่นอนว่าจี้เฟิงจะไม่ทำให้ตัวเองต้องเหนื่อยตาย ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องสรรหา ฝึกฝนและพัฒนาบุคลากรให้มีความสามารถมากพอเพื่อที่จะได้สร้างทีมที่แข็งแกร่ง มั่นคงและมีเสถียรภาพ ด้วยวิธีนี้ เขาจะสามารถใช้ประโยชน์จากบุคลากรที่มีได้อย่างเต็มที่ และนอกจากนี้ มันยังช่วยให้จี้เฟิงมีพลังงานมากขึ้นในการทำอย่างอื่น
สิ่งที่สำคัญที่สุดในแผนงานนี้ก็คือคนที่มีความสามารถ
ไม่ว่าจะเป็นการรักษาความปลอดภัย การจัดการ การวิจัย.. และอื่นๆ เขาต้องการคนที่มีพรสวรรค์ในแต่ละด้าน หรืออย่างน้อยก็ต้องมีความสามารถเพียงพอที่จะทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม
หลังจากวางแผนโครงงานคร่าวๆเสร็จ จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะขยี้ตาของเขา แม้ว่าเขาจะมีพลังมาก แต่หลังจากทำงานติดต่อกันตลอดทั้งบ่าย ดวงตาของเขาก็มีอาการปวดเล็กน้อย และนอกจากนั้นดูเหมือนว่าท้องน้อยของเขาจะประท้วงให้เขาไปเข้าห้องน้ำเสียที
จี้เฟิงรีบเก็บแผนงานที่ตัวเองเขียนมาตลอดทั้งบ่ายไว้ในลิ้นชัก จากนั้นก็ตรงดิ่งไปที่ห้องน้ำ บางครั้งเขาก็คิดเล่นๆว่า การที่เหล่าบรรดาเซียนที่ฝึกฝนจนไม่ต้องดื่มไม่ต้องกินก็สามารถมีอายุยืนยาวได้ พวกเขายังจำเป็นต้องเข้าห้องน้ำอยู่หรือเปล่า?!
ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะแห้งๆให้ตัวเอง ฉันคงจะทำงานหนักจนสมองเบลอหมดแล้วมั้ง ถึงได้คิดถึงเรื่องไร้สาระพวกนี้?
หลังจากล้างหน้าล้างตาด้วยน้ำเย็น จี้เฟิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เมื่อเดินออกมาเขาก็มองไปรอบๆ และพบว่าห้องนอนทั้งสองห้องว่างเปล่า เซียวหยูซวนและถงเล่ยไม่ได้อยู่ที่นี่ ดังนั้นเขาจึงเดินลงไปชั้นล่างทันที และเป็นตามที่คาดไว้ เขาพบว่าทั้งสองสาวกำลังนั่งดูทีวีกันอยู่อย่างสนุกสนาน พวกเธอดูน่ารักน่าเอ็นดูมาก โดยเฉพาะถงเล่ย เธอสวมชุดนอนสีขาวและถือถ้วยชาใบใหญ่ไว้ในมือ เธอดูน่ารักมาก
ทันใดนั้นจี้เฟิงก็ได้ยินเสียงก๊องแก๊งดังมาจากในห้องครัว เขาตกใจและอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ใครอยู่ในห้องครัว? .... แม่ฉันกลับมาแล้วเหรอ?”
เมื่อเห็นจี้เฟิงเดินลงมา เซียวหยูซวนก็ยิ้มหวานและตอบว่า “ใช่แล้ว คุณป้ากลับมาเมื่อตอนบ่าย และเห็นว่านายกำลังทำงานอย่างจริงจังอยู่ เธอเลยไม่อยากรบกวน... ว่าแต่นายทำงานเสร็จแล้วเหรอ?”
“มันเกือบจะเสร็จแล้วแหละ เหลือรายละเอียดอยู่อีกนิดหน่อย แต่เป็นเรื่องที่ฉันตัดสินใจคนเดียวไม่ได้ ต้องขอความเห็นจากคนอื่นก่อนถึงจะตัดสินใจได้!” จี้เฟิงตอบด้วยรอยยิ้มพลางเดินมานั่งลงข้างๆเซียวหยูซวน “จริงสิ! แล้วแม่ของฉันทำอะไรอยู่ในครัวคนเดียว ทำอาหารเหรอ?”
“อื้ม!” เซียวหยูซวนและถงเล่ยพยักหน้าพร้อมกัน ดวงตาคู่งามของพวกเธอจับจ้องไปที่โทรทัศน์ราวกับว่าละครน้ำเน่าที่กำลังฉายอยู่นั้นมันสนุกมากจนละสายตาไม่ได้
จี้เฟิงหัวเราะทันที “อะไรกัน? นี่ยังไม่แต่งเข้าบ้านสามีเลย เริ่มหัดอกตัญญูกับแม่สามีแล้วเหรอ? พวกเธอสองคนทำแบบนี้ไม่ถูกต้องนะ ทำไมถึงไม่ไปช่วยแม่สามีในอนาคตทำกับข้าวกับปลา?! ระวังตัวให้ดี คืนนี้ฉันจะตีก้นสั่งสอนให้หลาบจำ!”
เซียวหยูซวนเบ้ปากและกล่าวว่า “ไม่ไปหรอก!”
ถงเล่ยพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงว่า “ฉันทำอาหารไม่อร่อย คุณป้าทำอร่อยกว่า ให้คุณป้าทำนั่นแหละ!”
“เฮ้ย—!”
จี้เฟิงรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันที สองสาวไปกินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่า? ปกติแล้วเซียวหยูซวนกับถงเล่ยไม่ใช่คนแบบนี้นี่นา... แม้ว่าพวกเธอจะคิดว่าทำอาหารอร่อยสู้แม่ไม่ได้จริงๆ แต่อย่างน้อยพวกเธอก็จะต้องเสนอตัวเพื่อเข้าไปช่วยอย่างแน่นอน ที่สำคัญ ทั้งเซียวหยูซวนและถงเล่ยเป็นคนที่ขยันขันแข็งมาโดยตลอด ทำไมจู่ๆวันนี้ถึงได้ทำตัวมีปัญหา?
จี้เฟิงถามด้วยเสียงต่ำใบหน้าของเขาไม่มีรอยยิ้ม “พวกเธอสองคนทำอะไรกัน? เกิดบ้าอะไรขึ้นเนี่ย รีบพูดมาตามตรงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?!”
เซียวหยูซวนและถงเล่ยยิ้มอย่างกวนๆและถามว่า “นักเลงน้อย นายโกรธเหรอ? นายคิดว่าฉันกับเล่ยเล่ยเป็นลูกสะใภ้อกตัญญูจริงๆน่ะเหรอ?!”
จี้เฟิงส่ายหัวทันที “ไม่มีทาง ฉันรู้จักพวกเธอดี ดังนั้นอย่ามาพูดจาเหลวไหล!”
ถงเล่ยพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวว่า “เขาโกรธแล้ว ยิ่งมาหงุดหงิดใส่พวกเรา พวกเราก็ยิ่งไม่บอกว่าเกิดอะไรขึ้น!”
เซียวหยูซวนหัวเราะ “นายได้ยินหรือยัง? นายไปยั่วโมโหองค์หญิงน้อยของเรา ระวังตัวให้ดีเถอะ!”
สีหน้าของจี้เฟิงหมองคล้ำลงทันที เขาได้ยิ้มอย่างขมขื่น เซียวหยูซวนและถงเล่ยเป็นอะไร? หรือว่าบางทีนี่อาจจะเป็นเรื่องระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้?
ในประเทศจีน ไม่ว่าครอบครัวจะมีสถานะอย่างไร เมื่อมีเรื่องของแม่สามีกับลูกสะใภ้ ก็เป็นเรื่องที่พูดยาก อย่างน้อยให้พูดว่าใครถูกหรือใครผิด ก็ไม่สามารถตัดสินออกมาตรงๆได้ เพราะต้องคิดด้วยว่าหลังจากตัดสินแล้วสมาชิกในครอบครัวจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร และถ้าเรื่องมันง่ายแค่การตัดสินผิดถูกไปตามจริง ละครโทรทัศน์คงไม่มีเรื่องแม่สามีกับลูกสะใภ้ทะเลาะกันร้อนแรงขนาดนั้นให้เกลื่อนไปหมด
เมื่อเห็นใบหน้าที่หมองคล้ำของจี้เฟิง เซียวหยูซวนก็แอบขบขันในใจ เธอยิ้มและกล่าวว่า “เอาล่ะๆ ดูจากท่าทางน่าสงสารของนายแล้ว เฮ้อ... บอกตามตรงนะ เมื่อกี้ฉันกับเล่ยเล่ยไปช่วยคุณป้าแล้ว แต่คุณป้าไล่เราออกมา ไม่ยอมให้เราเข้าไปยุ่ง เธอทำคนเดียวสะดวกกว่า พวกฉันคิดดูแล้วก็จริงอย่างที่คุณป้าว่า ก็เลยพากันออกมานั่งดูทีวีอยู่นี่แหละ!”
“แค่นั้นเหรอ?!”
จี้เฟิงมองเธอด้วยสายตาประหลาดใจ
“คิดเอาเอง!” เซียวหยูซวนกลอกตาใส่เขาก่อนจะพ่นลมออกจมูก “ถ้านายยังไม่เข้าใจเรื่องนี้อีก นายก็โง่เง่าสิ้นดี!”
“โง่เง่า?” จี้เฟิงมองไปยังทิศทางของห้องครัวอย่างงุนงง เขาขมวดคิ้วและถามว่า “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่....”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ จี้เฟิงก็หยุด เขาขมวดคิ้วและมองไปที่เซียวหยูซวนกับถงเล่ยจากนั้นก็มองไปที่ห้องครัวสลับกันไปมา และทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
“หยูซวน...” เสียงของจี้เฟิงสั่นเล็กน้อย “แม่ฉัน.. เธอ..”
เซียวหยูซวนพยักหน้า “นายเข้าไปหาเธอเถอะ พวกเราจะดูทีวีที่นี่”
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อย เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆและลุกขึ้นยืน แต่ในใจกลับรู้สึกผิดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ดูท่าว่าแม่ของเขาเห็นเขาสอบเสร็จแล้วแต่ก็ยังไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องไปเขตหมางซือ เลยกลัวว่าเขาจะกลับคำ จึงตั้งใจเดินทางมาจากบ้านของอารอง มาทำอาหารให้เขาอย่างพิถีพิถันด้วยตัวคนเดียว อาจจะเพื่อเอาใจเขา...
หัวใจของจี้เฟิงเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย นี่แม่ของเขากำลังกดดันเขาอยู่ใช่มั้ย...
คนที่ทำเรื่องเลวร้ายกับเขาคือญาติพี่น้องในเขตหมางซือ ไม่ใช่แม่ซักหน่อย แล้วทำไมแม่ถึงต้องมาทำดีกับเขาเพื่อคนพวกนั้นขนาดนี้ด้วย? คนพวกนั้นสำคัญกับเธอมากขนาดนั้นเลยเหรอ?!
จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อยและรีบเดินไปที่ห้องครัว และพบกับแผ่นหลังที่กำลังวุ่นวายกับการทำอาหารของแม่ เขาแอบถอนหายใจเบาๆก่อนที่จะยิ้มและพูดว่า “แม่ครับ วันนี้แม่ทำอะไรอร่อยๆให้ผมกินอีกแล้วล่ะเนี่ย?”
“เป็นเมนูที่เราชอบกินมากที่สุดน่ะสิ! พริกหยวกยัดไส้ กับก๋วยเตี๋ยวหลอด!” เซียวซูเหม่ยดีใจขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่าลูกชายลงมา “เสี่ยวเฟิง ต่อไปอย่าทำงานหนักขนาดนี้อีกนะ ตลอดทั้งบ่ายเราไม่ยอมลงมาพักบ้างเลย!”
จี้เฟิงพยักหน้า “แม่ครับ พรุ่งนี้เรากลับไปที่หมางซือกันเถอะ จางเล่ยและเล่ยเล่ยก็จะกลับไปหมางซืออยู่เหมือนกัน พวกเรากลับไปด้วยกันเถอะนะครับ!”
เซียวซูเหม่ยตกตะลึง ก่อนจะพยักหน้าอย่างดีใจ “ได้! ได้จ้ะ โอเคเลย!”
เมื่อเห็นท่าทางดีใจของแม่ จี้เฟิงก็อดถอนหายใจไม่ได้ คนพวกนั้นช่างโชคดีจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ที่อยากจะกลับไปหมางซือมากขนาดนี้ เขาคง…
“แม่ครับ ยังไงแม่ก็ไม่ต้องทำอาหารเยอะมากนะครับ มื้อเย็นผมกินไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่!” จี้เฟิงพูดด้วยรอยยิ้มและเดินออกไป
เขารู้ว่าต่อให้เขาเกลี้ยกล่อม แม่ก็จะไม่ยอมฟังอยู่ดี ที่จี้เฟิงดึงดันไม่ยอมกลับไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขารู้ว่าการกลับไปของแม่ อาจจะเป็นการทำร้ายตัวเธอเอง และอาจทำให้เธอรู้สึกเศร้าใจมากขึ้นก็ได้ รวมถึงตัวเขาด้วย มันจะทำให้เขานึกถึงเหตุการณ์แย่ๆ...
“เฮ้อ! ต่อให้ฉันต้องรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ฉันก็จะไม่ทำให้แม่ลำบากใจ!” จี้เฟิงถอนหายใจเบาๆและส่ายหัว เขาไม่ได้แวะไปที่ห้องนั่งเล่น แต่เดินขึ้นไปข้างบนทันที เขารู้สึกไม่ค่อยดี
“ตื้ด—! ตื้ด—!”
ในตอนนั้นเอง โทรศัพท์ของจี้เฟิงก็สั่นและส่งสัญญาณเตือนออกมา จี้เฟิงตื่นตัวขึ้นมาทันที ดวงตาของเขาส่องประกายเย็นเยียบ
นี่คือสัญญาณเตือนว่ามีคนบุกรุก!
จี้เฟิงรีบเดินไปที่ห้องหนังสือทันที ระหว่างนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมา และเปิดดูกล้องวงจรปิด ค้นหาส่วนที่ส่งสัญญาณเตือนอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากหน้าจอโทรศัพท์มีขนาดเล็ก จี้เฟิงจึงทำได้แค่เลื่อนดูทีละหน้าจอเท่านั้น
ในที่สุดเขาก็เห็นร่างๆหนึ่งอยู่นอกกำแพงของสนามหลังบ้าน
“หลิวเฉินเซิ่ง?!” เมื่อจี้เฟิงซูมเข้าไปบนหน้าจอและเห็นร่างนี้ เขาก็ตกใจมาก “เขามาทำอะไรที่นี่?!”
...จบบทที่ 525~❤️