ตอนที่ 43 ลมหายใจราชามังกร 2
เมื่อหลี่เฟิงเพ่งมองไปยังหนิงเทียนอย่างชัดแจ้ง ทันใดนั้นเองสิ่งที่ปรากฏในสายตาของมัน
ทำให้สองขาของมันสั่นออกด้วยความหวาดกลัว ตัวมันนั้นลืมเลือนความน่ากลัวลมหายใจของมังกรไปในทันที
ภาพตรงหน้าที่มันกำลังได้เห็นนั้นสลักเข้าไปในจิตวิญญาณอย่างไม่มีวันลืมเลือน
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น หนิงเทียนระบายลมหายใจออกมาอย่างเสียไม่ได้
มันพุ่งร่างเข้าสู่่ใจกลางลมหายใจมังกร ราวกับคนเสียสติ มือขวาของหนิงเทียนทะลวงเข้าไปในกระแสน้ำที่โหมกระหน่ำเข้ามา
ท่าเหมันต์ไร้ใจสุดยอดวิชาของมารดาห้าถูกใช้ออกในชั่วพริบตา ส่งผลให้คลื่นขนาดยักษ์กลายเป็นน้ำแข็งและหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศราวกับภาพประติมากรรมน้ำแข็งที่สวยสง่าอย่างไร้ที่ติ
จากนั้นมันมือซ้ายของมันใช้ออกด้วยท่าเพลิงเทพอสูรสุดยอดวิชาของบิดาสาม เพียงพริบตาเดียวที่คลื่นน้ำแข็งขนาดยักษ์ที่ถูกความร้อนจากเพลิงเทพอสูร
มันละลายออกในพริบตาไม่แม้แต่จะกลายเป็นน้ำที่หยดลงคืนสู่ท้องสมุทรอันกว้างใหญ่ด้วยซ้ำไป
เมื่อเพลิงเทพอสูรสัมผัสกับคลื่นน้ำแข็งขนาดยักษ์ส่งผลให้ก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่สลายหายกลายเป็นไอน้ำ จางๆปกคลุมขบวนคาราวานที่3อย่างหนาทึบ
ส่วนพายุน้ำวนขนาดใหญ่ที่ด้านหน้าขบวน ถูกเกาซุนและผู้คุ้มกันแดนปราชญ์นับสิบคนทำลายลงจนสลายไปได้ในที่สุด
ท้องฟ้าเริ่มเปิดขึ้นแต่อย่างไรผู้คนในขบวนที่1และ2ยังคงไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายใต้ไอน้ำที่ปกคลุมคาราวานที่3อย่างหนาทึบได้เลย
ภาพสุดท้ายที่พวกมันเห็นคือผู้คนนับร้อยกำลังถูกคลื่นยักษ์กลืนกินด้วยความละเหี่ยใจ
บางคนก็แสดงความเศร้าโศกอาทรบางคนก็แสดงสีหน้าดีใจกล่าวชมโชคชะตาของตนเองที่เลือกขึ้นขบวนได้ถูกต้อง
เวลานี้สีหน้าของผู้คนในขบวนคาราวานที่1และ2เริ่มมีสีเลือดขึ้นมาแม้ว่าพวกมัน ทั้งหมดจะสัมผัสได้ว่าอยู่ในสถานการณ์เป็นตายเท่ากัน
แต่ทว่าด้วยความสามารถของเกาซุนละซินเฉา สามารถนำพาพวกมันข้ามพ้นวิกฤติถึงชีวิตนี้มาได้
เกาซุนนั้นปาดเหงื่อบนใบหน้า มันเดินทางไปข้ามทะเลสาบมายามานับ1000รอบไม่เคยพบเจอกับลมหายใจมังกรเช่นนี้มาก่อน
มันจะต้องเป็นเพราะความลึกลับของกล่องสีทมิฬเป็นแน่ ในระหว่างนั้นมันได้ฉุกคิดขึ้นมา
เป็นไปไม่ได้เลยที่ขบวนคาราวานที่1และ2จะไม่ได้รับผลกระทบจากการล่วงหล่นของคาราวานที่3เพราะพวกมันทั้ง3ขบวนผูกติดกันด้วยเหล็กกล้าที่แข็งแกร่ง
สีหน้าของเกาซุนแสดงอาการโล่งใจอย่างที่สุด
การที่ทั้งสองขบวนยังคงไม่ถูกลากลงไปด้วยแรงตกของขบวนคาราวานที่3นั้นหมายความว่าด้านหลังไอน้ำที่ปกคลุมอย่างหนาทึบ
ขบวนคาราวานที่3ยังสามารถยืนหยัดไม่ถูกคลื่นยักษ์ดึงดูดลงสู่ใต้ท้องมหาสมุทร เกาซุนและผู้คุ้มกันแดนปราชญ์นับสิบรีบทะยานตัวไปด้านหลังทันที
มีคำกล่าวหนึ่งบอกว่า ในห้วงเวลาแห่งความตายเวลาจะเดินช้ากว่าปกตินั้นไม่ได้เป็นคำที่กล่าวเกินจริงแต่อย่างใด
ช่วงเวลาที่หนิงเทียนทำลายคลื่นน้ำวนยักษ์ให้สลายลงไปจวบจนเวลาปัจจุบันที่ไอน้ำหนาทึบกำลังปกคลุมอยู่นั้น มันใช้เวลาเพียง10ลมหายใจเท่านั้นเอง
เวลานี้กลุ่มกันภัยหลานเหมือนตกอยู่ในความฝันเพียงแค่เสียววินาทีที่มันหลับตาลงเมื่อมันเปิดตาขึ้นมาอีกครั้งมันกลับไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อีก ทัศนียภาพรอบๆขาวโพลนไปด้วยไอน้ำอุ่นๆ
ผู้คนทั้งหมดบังเกิดอาการตื่นตระหนกต่างร่ำร้องว่าตนเองอยู่บนสรวงสรรค์สีขาว
หนิงเทียนทะยานขึ้นมายืนบนท้ายคาราวานที่3 มันทำเหมือนกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพียงแต่หันไปมองทางหลี่เฟิงที่กำลังนั่งทรุดเข่าลงกับพื้น
และจับจ้องมาที่มันด้วยสายตาเบิกกว้างจนแทบจะทะลุออกมาจากเบ้าตา
หนิงเทียนยื่นมือไปดึงหลี่เฟิงที่ทรุดอยู่กับพื้น พร้อมกล่าวออกว่า“ท่านทำเป็นไม่เคยเห็นสิ่งนี้ได้หรือไม่?”
ใบหน้าของหนิงเทียนแย้มยิ้มราวเด็กบริสุทธิ์ ไม่เหมือนกับคนที่ทำเรื่องราวปาฎิหาริย์เมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย
“...” ไม่มีคำตอบใดจากหลี่เฟิงมันเพียงแต่พยักหน้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นเพียงไม่นานไอน้ำที่ปกคลุมอยู่โดยรอบค่อยๆคายทัศนียภาพเบื้องหน้าออกมาทีละน้อย
ผู้คนนับร้อยที่เห็นขบวนคาราวานที่3ยังปลอดภัยอยู่ต่างส่งเสียงโหร้องด้วยความยินดี
แม้จะมีบางกลุ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นภายใต้ม่านหมอกไอน้ำหนานั้น แต่กลับไม่สามารถหาคำตอบได้จากผู้ใดเลย
แม้แต่เกาซุนยังคิดว่าในกลุ่มของพวกมันมีผู้อาวุโสในดินแดนแห่งวีรชนแฝงตัวขึ้นมากับขบวนคาราวานด้วย
หลังจากนั้นผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม มวลน้ำรอบๆสูญสิ้นความเกี้ยวกราด มันสงบลงจนน่าเหลือเชื่อ ภายใต้แสงอาทิตย์ น้ำใสสะอาดส่องแสงเป็นประกายสะท้อนแสงไปมา
แสงเจ็ดสีต่างพาดผ่านขอบฟ้าอย่างวิจิตรงดงาม สร้างความอิ่มเอิบให้แก่ผู้ที่จ้องมอง
ท้องฟ้าเวลานี้ปลอดโปร่งและอากาศอันบริสุทธิ์พัดโชยมาแตะที่จมูกของพวกมัน ระลอกคลื่นที่ถูกกล่าวขานว่าลมหายใจของราชามังกร ได้สงบหายไปหมดสิ้น
หลี่เฟิงและเหลียวเหยียนทั้งสองทิ้งตัวลงกับพื้นด้วยอาการเหนื่อยหอบ เสื้อผ้าของพวกมันทั้งหมดเปียกชุ่มไปด้วยละอองน้ำที่สาดกระเซ็นมา
พวกมันทั้งหมดต่างนับรวมสมาชิกของพวกมัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโชคที่ดีหรือความสามารถของพวกมัน กลุ่มคุ้มภัยหลานนั้นไม่มีผู้ใดสูญเสียชีวิตตกตายลงเลยแม้แต่คนเดียว
ขณะที่เปาเปากำลังนับจำนวนคนจนใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว มันมองไปยังหนิงเทียนที่เป็นคนสุดท้าย ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยความสงสัย
“น้องชายหนิงเจ้าไปไหนมาเหตุใดเสื้อผ้าของเจ้าไม่เปียกเลยแม้แต่น้อย”
“ในสถานที่เช่นนี้ข้าจะไปไหนได้ละพี่เปา ข้านั้นเพียงแต่ไม่ชอบใส่เสื้อผ้าที่เปียกชื้นจึงแอบไปเปลี่ยนมาเมื่อครู่นี้”หนิงเทียนตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ฮ่าๆฮ่าๆเปาเปาหัวเราะอย่างดีใจ “ข้านับถือน้องชายหนิงอย่างสุดหัวใจจริงๆ ที่ยังกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นนี้ได้
แสดงว่าน้องชายหนิงไม่ได้มีความหวาดกลัวต่อลมหายใจของมังกรเลยแม้แต่น้อย นับถือ นับถือ” เปาเปายังไม่วายกล่าวอย่างติดตลก
“เรื่องนี้ต้องขอบคุณสวรรค์ที่ไม่ได้ต้องการชีวิตน้อยๆของน้องชายผู้นี้ ไม่เช่นนั้นคนอ่อนแอเช่นข้าต้องตกตายภายใต้ลมทะเลที่บ้าคลั่งแน่ๆ”หนิงเทียนกล่าวออกด้วยท่าทีสบายๆ
ได้ยินเช่นนั้น ขนในกายของหลี่เฟิง รุกชันขึ้น หัวใจของมันวูบตกลงไปยังข้อเท้า มันมองไปยังผู้ที่ทำลายลมหายใจมังกร กำลังยืนกล่าวกับเปาเปาเหมือนกับว่าตนเองเป็นเด็กหนุ่มธรรมดา
พร้อมกับละสายตาไปทางเหลียวเหยียนมันเพียงแต่ภาวนาไม่ให้เหลียวเหยียนสร้างความคับข้องใจใดๆให้แก่เด็กหนุ่มผู้นี้อีกเท่านั้น
หลังจากที่พวกมันพานพบกับลมหายใจของมังกรอันบ้าคลั่ง กลุ่มคาราวานทั้งสามที่นำโดยเกาซุนได้เดินทางผ่านทะเลสาบมายาอย่างปลอดภัยไร้ซึ่งอันตรายใดๆ
เวลานี้เบื้องหน้านั้นไม่ได้เป็นพื้นน้ำอีกต่อไปแล้ว หมาป่าปีกดำที่โบยบินอยู่กลางอากาศทะยานร่างที่ใหญ่โตของมันลงสู่พื้นดิน สีหน้าของมันอ่อนแรงเป็นอย่างมาก
แม้มันจะเป็นเผ่าพันธุ์สัตว์อสูรที่มีความแข็งทางร่างกายอย่างสูงแต่ด้วยการที่มันต้องเดินทางตลอดสามวันสามคืนไม่หยุดพักเลย มันถึงกับทรุดขาทั้งสี่ข้าง ลงนอนกับพื้น
เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้เกาซุนได้กล่าวสั่งให้พวกมันทั้งหมดหยุดพักผ่อนในบริเวณทางเข้าหุบเขาหมื่นอสูร
คำสั่งของเกาซุนส่งต่อออกไปเป็นทอดๆ
กลุ่มของหนิงเทียนกำลังกลางกระโจมพร้อมทั้งก่อไฟเพื่อตะเตรียมอาหาร ไม่มีคนใดในหมู่ของพวกมันเลยที่นำสุราขึ้นมาดื่ม
พวกมันยังจำถึงคำสั่งของพี่ใหญ่หลานได้ดี บริเวณนี้เป็นสถานที่อันตรายที่สุดในการเดินทาง
แม้ว่าเส้นทางเดินของพวกมันนั้นจะเป็นเพียงรอบนอกหุบเขาหมื่้่นอสูรก็ตามแต่ไม่มีใครกล้าประมาทแม้แต่คนเดียว
ในทวีปฟ้าสวรรค์นี้ชื่อเสียงความน่ากลัวของหุบเขาหมื่นอสูรนั้นเป็นรองเพียงป่าพฤกษาทมิฬเท่านั้น
ในระหว่างที่พวกมันกำลังตั้งกระโจมอยู่นั้นหลานเหลียงได้เดินกลับมาอย่างไม่ช้าไม่เร็วนัก
ในสามวันที่ผ่านมานี้มันเป็นห่วงกลุ่มคุ้มภัยของมันอย่างมากแต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นมันก็ไม่สามารถจะปลีกตัวออกมาได้
มันทำได้เพียงแต่เชื่อมั่นในตัวหลี่เฟิงและเหลียวเหยียนว่าทั้งสองจะร่วมมือพากลุ่มของพวกมันให้ปลอดภัยได้
แล้วเป็นไปตามที่มันเชื่อ หลานเหลียงไม่รู้ว่าเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นกับกลุ่มของมันแต่เมื่อทุกคนในขบวนปลอดภัยทั้งหมด
นั้นก็เพียงพอแล้วที่มันจะตอกย้ำความเชื่อว่า หลี่เฟิงและเหลียวเหยียนเป็นผู้ที่ช่วยทุกคนให้ก้าวผ่านพ้นวิกฤติไปได้ มันใช้ฝ่ามือที่ด้านและใหญ่ตบไปยังบ่าของคนทั้งคู่
ขณะนั้นสายตาของมันเหลือบไปเห็นร่างของหนิงเทียนที่นั่งอยู่หน้ากองไฟ เวลานี้หนิงเทียนแต่งกายด้วยชุดขนสัตว์ที่เย็บด้วยมืออย่างประณีต มันช่างสง่าเหมือนกลุ่มคนชั้นสูงก็ไม่ปาน
หลานเหลียงรู้สึกประหลาดใจอย่างมากมันจึงกล่าวต่อ “หลี่เฟิง เจ้าทำให้พี่ใหญ่ตกตะลึงจริงๆ แม้จะพบกับลมหายใจของมังกร เจ้ายังช่วยเหลือน้องชายหนิงข้ามผ่านความตายมาได้”
ได้ยินเช่นนั้นหลี่เฟิงได้แต่ยิ้มแห้งๆมันไม่ได้ตอบคำใดๆออกไป หลานเหลียงที่ยืนอยู่ข้างๆได้ยินเช่นนั้น มันระบายลมหายใจขึ้นจมูกพร้อมจากไปด้วยโทสะ
เวลาผ่านไปในขณะที่ความมืดได้เข้ามาเยือน ด้วยหมู่พฤกษาน้อยใหญ่มันช่วยปิดกั้นแสงสว่างดวงจันทร์ได้เป็นอย่างดี ด้วยบรรยากาศที่เงียบและมืดมิดเช่นนี้
ผู้คนมากมายอดไม่ได้ที่จะเกาะกลุ่มกันด้วยความกลัว จะเหลือเพียงแต่ผู้คุ้มกันที่ยืนคุมเชิงอยู่โดยรอบเท่านั้น
หนิงเทียนที่อยู่ภายในกระโจมที่สร้างหยาบๆด้วยมือ มันเริ่มที่จะบ่มเพาะพลังด้วยหินลมปราณระดับสูงที่บิดาใหญ่ให้ไว้
เวลานี้มันใกล้ที่ถึงที่หมายอย่างเมืองใหญ่เช่นเมืองฉางผิงแล้ว และจากที่มันเห็นพลังฝึกตนของเกาซุนแล้วทำให้มันเปลี่ยนความคิดเล็กน้อย สามตระกูลใหญ่แห่งฉางผิงคงไม่ได้มีดีเพียงแค่ชื่อเสียง
และการจะเดินเข้าไปยังตระกูลมู่ที่เป็นสามตระกูลใหญ่อย่างสบายๆ นั้นมีแต่มันจะต้องทะลวงเข้าสู่แดนแห่งปราชญ์ให้ได้โดยเร็ว
เวลานี้มันจึงรีบทำการกลั่นลมปราณให้บริสุทธิ์โดยไว ในยี่สิบวันตลอดการเดินทางมานี้ แม้มันจะทำตัวเอ้อระเหยก็จริงแต่มันนั้นไม่ลืมที่จะกลั่นลมปราณของมัน
เวลานี้ทะเลลมปราณในแดนองครักษ์ของหนิงเทียนบริสุทธิ์9ใน10ส่วนแล้ว
โดยผู้ฝึกตนทั่วไปการที่ไม่ได้ฝึกฝนทักษะบ่มเพาะที่ช่วยในการกลั่นลมปราณ
ทะเลลมปราณของพวกมันจะมีความบริสุทธิ์เพียง5ใน10ส่วนเท่านั้นอีก5ส่วนจะเป็นพลังปราณที่เจือปนกับสรรพสิ่งภายนอก
เวลานี้ด้านนอกนั้นมีเพียงเสียงของสัตว์ป่าตัวเล็กๆที่ส่งเสียงท่ามกลางความเงียบและเสียงย่ำเท้าของเหล่าผู้คุ้มกันที่เดินผ่านไปมาเป็นครั้งคราว
เวลาผ่านเลยไปชั่วกาน้ำเดือด หนิงเทียนลืมตาขึ้น ดวงตาของมันหรี่แคบลงเล็กน้อย
แม้จะเบาบางแต่หนิงเทียนสามารถแยกออกได้ว่าฝีเท้าผู้ที่มาเยือนนั้นไม่ใช่ฝีเท้าที่หนักแน่นเฉกเช่นพวกผู้คุ้มกันที่เอาดีด้านทักษะกายา
แต่เป็นเสียงที่แผ่วเบาราวกับพวกมันฝึกท่าเท้าไว้เพื่อการลอบสังหารโดยเฉพาะ
มุมปากของหนิงเทียนยกยิ้มขึ้น ราวกับว่าทุกอย่างเป็นไปตามสิ่งที่มันคาดคิด มันเพียงแต่ปิดตาลง บ่มเพาะต่ออย่างไม่ใส่ใจ
ในช่วงกลางดึกอันเงียบสงัด ทันใดนั้นใบมีดสีดำพุ่งผ่านลำคอของกลุ่มผู้คุ้มกันที่เดินเป็นเวรยามไปมา เลือดสดๆไหลออกทันที
พวกมันไม่มีโอกาสแม้แต่จะเปล่งเสียงเนื่องจากใบมีดนั้นเฉือนตัดไปที่หลอดลมอย่างชำนาญยิ่ง หมดสิทธิ์ที่มันจะได้ส่งเสียงเตือนพวกของมัน
เพียงชั่วเสี้ยวลมหายใจที่แสงจันทร์ตกกระทบเงาร่างสีดำที่ขยายออกเป็นสิบๆเงา ทำให้เห็นชัดเจนว่าพวกมันเป็นกลุ่มของนักฆ่า
เวลานี้ไม่มีใครล่วงรู้ถึงการมาของพวกมันได้ เนืองจากกลุ่มขบวนทั้ง3นั้นกว้างขวาง
อีกทั้งด้วยความน่ากลัวของบรรยากาศในค่ำคืนนี้ทำให้จากเดิมที่มันจะกระจายตัวกันนอนอยู่ทั่วๆ กลับมากระจุกรวมกลุ่มกันอยู่บริเวณตรงกลางเท่านั้น
เพียงชั่วลมหายใจเข้าออกสิบครั้ง ร่างไร้วิญญาณของผู้คุ้มกันที่เดินลาดตระเวนค่อยๆล้มลงไปกับพื้นทีละคนสองคน
มีเงาร่างหนึ่งที่กำลังทำสัญญาณมือเป็นการสั่งการ ทันทีประกายเงามืดนับสิบกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
พวกมันลุกคืบกินบริเวณหมายที่จะค้นหาสิ่งของบางอย่างในขบวนคาราวานที่3
ทันใดนั้น คมมีดสีดำพุ่งเข้าใส่ร่างของหลานเหลียง แต่ด้วยสัญชาตญาณที่ทำหน้าที่ผู้คุ้มกันมานับสิบปี ทำให้มันบิดลำคอหลบคมมีดสีดำได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด
แม้มันจะหลบได้ทันท่วงทีก็ตาม แต่บาดแผลเล็กที่เกิดจากลมปราณยังปรากฏบนลำคอของหลานเหลียง เลือดของมันหยดลงสู่พื้นอย่างน่ากลัว